ตอนที่ 9 เรื่องในตอนนั้น

2122 คำ
มันก็ดีอยู่หรอกที่ลูกสาวหันมารักตัวเอง แต่รักแบบนี้ คนเป็นแม่ความดันจะขึ้น!! เรเชลค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งโซฟาแสนสบาย โดยมีเด็กรับใช้ประคองแขนทั้งสองข้างเอาไว้ ต่อมาเป็นหน้าที่ของอีกคน ที่ยื่นยาดม พร้อมพัดวีให้อย่างชินมือ แม้ใบหน้ายังอ่อนเยาว์กว่าอายุมากนัก แต่อย่างไรก็หนีความจริงไม่ได้ว่าเธอนั้น เลขห้ากว่าเข้าไปแล้ว แต่ดูลูกสาวเธอสิ ทำไมกันนะ แค่ปล่อยให้ออกไปข้างนอกไม่กี่ชั่วโมง สร้างเรื่องใหญ่โตเสียจนสามอาณาจักรพูดแต่เรื่องของอัลดีนและไรรี่ย์ไปเป็นอาทิตย์แบบนี้!! แต่ตัวต้นเหตุ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ดูนู้นส่องนี่ เอามือไปลูบ ๆ คลำ ๆ ไปทั่ว เพราะไม่อยากสบตาขวางของแม่เท่าไหร่ ก็แน่ล่ะ เพิ่งโดนเอ็ดไประลอกหนึ่งของวัน และดูเหมือนระลอกที่สองจะมาเร็ว ๆ นี้ “แม่สั่งให้เขาลบวิดีโอนั่นแล้ว และอย่าทำแบบนี้อีก!” ระลอกสองกำลังจะเริ่ม “ให้ตายเถอะ ลูกคิดว่าลูกจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ แม่ละรู้สึกผิดกับพี่เอเรน่ามากรู้หรือเปล่า เขาต้องอับอายแค่ไหนที่ลูกชายเพียบพร้อมของเขาถูกทิ้งแบบนี้” “แล้วที่เขาพูดไม่ดีกับลูก ไม่เห็นมีใครว่าอะไรเลย” เป็นเสียงบ่นในลำคอไรรี่ย์ ค่อย ๆ ทำให้ความเดือดดาลของเรเชลลดลงบ้าง “เพราะไม่ได้ออกสื่อหรือคะ? เขาถึงทำได้โดยไม่มีใครว่า แต่พอลูกพูดไปบ้าง ทำไมมีแต่คนว่าลูกผิดล่ะ?” “แม่ไม่ได้จะว่าอย่างนั้นนะไรรี่ย์ แม่แค่จะบอกว่า มันมีวิธีมากมาย ที่จะประนีประนอมทั้งสองฝ่ายเท่านั้นเอง” เรเชลผลักพักในมือของสาวรับใช้ออกห่าง ก่อนจะเดินมานั่งกับลูกสาวอีกฝั่ง โอบไหล่เจ้าหล่อนเบา ๆ พอเห็นเธอน้ำตาคลอแบบนี้ เริ่มรู้สึกผิดที่ตัวเองเอาแต่โวยวายโดยไม่คิดถึงความรู้สึกของไรรี่ย์เลย“แม่ขอโทษ เอาเป็นว่าแม่จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกนะ ดีมั้ย?” อยู่ที่โลกใบนี้มาหลายวัน นิวไรรี่ย์ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ตั้งแต่อาหาร แม้จะมีหน้าตาคล้ายกัน แต่ก็เรียกไม่เหมือนกัน มีความสะดวกสบาย ความเหลื่อมล้ำก็ต่ำ ประชาชนมีหลายระดับเหมือนกัน แต่ที่เธอรู้สึกภูมิใจที่สุด คือแม่แสนสวยอย่างเรเชลคนนี้ที่สุด เรเชล แรนเดอร์โค มาจากตระกูลราชวงศ์เก่าของอาณาจักรเพลากัส เป็นคนใจดี แต่ก็ขี้เกรงใจเช่นกัน มักใจอ่อนกับลูกสาวอย่างไรรี่ย์เสมอมา ต่อให้เธอทำผิด หรือแสดงนิสัยแย่ ๆ มากแค่ไหน เพียงทำหน้าเศร้า หรือพูดจาน้อยเนื้อต่ำใจ ไรรี่ย์จะถูกแม่เข้ามาโอ๋ทันที เพราะเป็นลูกสาวคนเดียว เธอเลยรักมากกว่าอะไรทั้งหมด ยอมให้ไรรี่ย์ทำตามใจมาตลอด แม้ลึก ๆแล้ว จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับอะไรหลายอย่างก็ตาม แต่ถ้านั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ คนเป็นแม่ก็ทำได้แค่สนับสนุนเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้น วันนี้ลูกขอทานอาหารตะวันออกได้หรือเปล่าคะ?” ถามพร้อมยิ้มแป้น เห็นแบบนี้แล้ว คนเป็นแม่จะไม่ใจอ่อนได้อย่างไรกัน “ได้สิ แต่อย่าลืม…” “ออกกำลังกาย… รู้แล้วค่ะ ทานไปเท่าไหร่ ลูกจะเอาออกให้หมดเลย” เรเชลลูบผมยาวสลวยของลูกสาวอย่างเบามือ นานแค่ไหนที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มแสนสดใสของเธอ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น สามารถนับครั้งที่ไรรี่ย์ยิ้มกว้างได้เลย “ดีแล้วนะ ที่ลูกกลับมาสดใสแบบนี้ เรื่องในวันนั้น จะเกิดอะไรก็ช่าง ไม่ต้องไปพยายามนึกถึงมันก็พอ” “เรื่องอะไรคะ?” ไรรี่ย์หันไปถามคนข้างกายด้วยความสงสัย “จริงด้วย จะว่าไป ความทรงจำตอนเด็ก ๆ มันหายไปไหนไม่รู้ค่ะ พยายามนึกอย่างไร ลูกก็นึกไม่ออกเลย” “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องไปนึกถึงมันหรอกนะ เชื่อแม่” เรเชลพูดเสียงเบาอยู่ในลำคอ ดวงตากลมสวย เศร้าลงกะทันหัน “มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีหรือคะ?” ไรรี่ย์เอียงคอถาม และมองเลยไปหาคนอื่น ๆ ที่เอาแต่หลบตาเธออย่างพร้อมเพรียงกัน “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” “คุณหนูจำไม่ได้เลยหรือคะ?” คาร่าถามขึ้น ไรรี่ย์ทำได้เพียงส่ายหน้าเบา ๆ แม้ความทรงจำของไรรี่ย์จะอยู่ในสมองเธอทั้งหมด เว้นก็แต่เรื่องในสมัยเด็กเท่านั้น ที่ไม่มีความทรงจำแบบนั้นอยู่เลย “ตอนลูกอายุสิบเอ็ดปี ลูกถูกขังอยู่ในบ้านร้างในป่าไซคี ตอนนั้นทั้งแม่ และพ่อ ต่างตามหาลูกให้ทั่ว จนกระทั่งเจอลูกนอนสลบอยู่ในบ้านหลังนั้น เนื้อตัวมอมแมมเหมือนพยายามหาทางออกแต่ก็ไม่เจอ และหลังจากนั้น…” เรเชลกลืนน้ำลายลงคอ ยังใจสั่นเมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้น คิดว่าตัวเธอจะเสียลูกสาวเพียงคนเดียวไปแล้ว “… ลูกก็ไม่พูดกับใครเป็นเดือน ๆ” ไรรี่ย์คิดตามคำพูด เธอคิดไม่ออกเลยว่าเพราะอะไรถึงจำเรื่องแบบนั้นไม่ได้ แต่ลองคิดตามความเป็นจริง สำหรับเด็กอายุเท่านั้น อาจจะน่ากลัวจนไม่สามารถรับมันเอาไว้ไหว กลไกร่างกายเลยทำการจำกัดมันออกไปชั่วคราว “หลังจากนั้น พ่อของลูกก็จัดการซื้อป่านั่น และจัดการซะไม่เหลือเลย ตอนนี้กลายเป็นศูนย์การค้าไปแล้ว” เป็นการใช้อำนาจ และเงินได้ถูกต้องจนน่าหมั่นไส้ “คนเราก็มีปัญหาคล้าย ๆ นะคะ แต่การจัดการช่างแตกต่างกันจังเลย” เพราะสำหรับแก้วเจ้าจอม ในอายุเท่ากับไรรี่ย์ เด็กน้อยวัยสิบเอ็ดปีก็ต้องเผชิญกับความลำบาก ชีวิตดี ๆ ต้องมาล้มละลายด้วยพิษเศรษฐกิจ เคยกินดีอยู่ดีกลับมานอนอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่แค่ขยับก็ยังยาก จากความลำบาก เป็นความรู้สึกที่หนักอึ้งจนเกินรับไหว พ่อแม่เธอเลือกจะจากไป พร้อมทิ้งหนี้ก้อนโตให้ลูกสาวแทน ไรรี่ย์หันมองใบหน้าสวยของเรเชลอีกครั้ง หากเธออยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก มีพ่อแม่ที่ไม่ขี้ขลาดทิ้งความลำบากเอาไว้กับลูก มันจะดีกว่านี้หรือไม่? “มีอะไรหรือเปล่าไรรี่ย์?” เรเชลถามขึ้น เพราะลูกสาวเอาแต่จ้องหน้าตัวเอง “ขอโทษค่ะ หลังจากนี้ จะทำอะไร ลูกจะระวังให้มากขึ้น” คนเป็นแม่ตีแขนลูกสาวเบา ๆ “ที่แม่เตือน ไม่ใช่เพื่อตัวแม่เอง มันก็เพื่อตัวลูกทั้งนั้น แต่ช่างมันเถอะ ลูกสบายใจก็พอแล้ว” “ค่า~” ลูกสาวเข้าโอบกอดคนเป็นแม่เอาไว้ จากที่จะดุ ตอนนี้กลายเป็นส่งมอบความรักให้กันแทน เธอไร้ครอบครัวมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ และการกลับมามีครอบครัวใหม่ มันก็เหมือนความฝันมากพออยู่แล้ว มันเลยอดไม่ได้ที่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กตัวเล็ก และอยากให้พ่อกับแม่โอ๋สักหน่อย เรื่องที่ไรรี่ย์สร้างเอาไว้ ทำเอาคนหนึ่งนั่งไม่ติด งานมีอยู่ตรงหน้า แต่ใจนี่สิ อยากจะบินกลับบ้านตอนนี้เลย ไม่พอ เหล่าลูกน้องของตัวเองยังเอาแต่พูดเรื่องนี้แทนที่จะปรึกษากันเรื่องสำคัญอีกด้วย! “สรุป จ่าฝูงของเราโดนทิ้งจริง ๆ เหรอ?” หนึ่งในวัลแคนซึ่งได้รับภารกิจในครั้งนี้ยื่นหน้าเข้ามาถามหัวหน้าหน้าเข้มด้วยตัวเอง มือหนารีบคว้าด้ามดาบปลายโง้ง เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น คมดาบอันคมกริบได้มาจ่อที่คอเรียบร้อยแล้ว “เงียบ ถ้ายังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน ฉันฆ่าแกจริง ๆ แน่” “ครับ ๆ แสดงว่าเรื่องจริงสินะ” ไม่ใช่แค่คำขู่ แต่อัลดีนตวัดดาบในมือหมายเอาชีวิตคนพูดไม่รู้เรื่องจริง ๆ แต่ด้วยความที่ทั้งคู่เองก็เข้ารับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ ‘เซน่อน’ ลูกพี่ลูกน้องของอัลดีนกระโดดหลบได้อย่างทันท่วงที แม้ผ้าคลุมสีดำจะมีรอยขาดก็ตาม “โถ~ หงุดหงิดแล้วมาลงกับลูกน้องเหรอ? ยังไงหัวหน้าก็ไม่ได้สนใจเธออยู่แล้วนี่ แบบนี้ก็ทางสะดวก” ขนาดเกือบคอขาด แต่เขากลับวกมาพูดเรื่องเดิมอีกจนได้ “แกจะเงียบปากได้หรือยังวะไอ้เซ!!” อัลดีนหันไปเอ็ดคนเด็กกว่าหนึ่งปี ก่อนเขาจะไหวไหล่เล็กน้อย เพียงครู่ สายตาหลายคู่ได้จับจ้องไปยังจุดของกลุ่มคน ซึ่งลงมาจากรถยนต์คันใหญ่ แม้จะไกลแค่ไหน แต่เทคโนโลยีของทั้งสามอาณาจักร มันมาไกลพอจะผลิตแว่นสักอัน ที่มีมอนิเตอร์อยู่ในเลนส์ และกำลังซูมภาพตรงหน้าให้เห็นชัดมากขึ้น “นั่นมัน… ใช่ผู้นำตระกูลเทอร์ร่าหรือเปล่า?” “ใช่” อัลดีนไม่ได้ตกใจอย่างที่คิด เพราะทุกครั้งที่มีข่าวลือเรื่องของกบฏเข้ามา มักจะมีเขาอยู่ในกลุ่มคนที่ต้องสงสัยอยู่แล้ว “มาร์โก้ เทอร์ร่า” หนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของวัลดิส ซึ่งในระหว่างขึ้นปกครอง ถือว่าเป็นยุคมืดของวัลดิสไปช่วงหนึ่ง ทั้งทุจริต คอร์รัปชัน เปอร์เซ็นต์มันสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่เจ้าตระกูลคนใหม่ขึ้นมา ไม่คิดเลยว่า สิ่งที่สังหรณ์ใจเอาไว้ มันจะถูกเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ “โปตัส ยูซีเนีย” “ฮะ? ชื่ออะไร ทำไมมันดูเก่าจัง?” เซน่อนยังคงมองภาพตรงหน้าไปด้วย และเอียงตัวเข้าใกล้ญาติผู้พี่ “แต่มันก็คุ้น ๆ นะ เหมือนเคยได้ยินจากไหนมาก่อน” “กลุ่มคนที่ต้องการตั้งอาณาจักรที่สี่ เมื่อร้อยปีก่อน ตอนนี้ เรายังสรุปอะไรไม่ได้ จะบอกว่ามาร์โก้คนนั้นเป็นคนอยู่เบื้องหลัง มันน่าจะอ่อนไปหน่อย เพราะดูจากอาวุธที่วัลดิสและเพลากัสยึดมาได้ มีแต่ของแพง ๆ ทั้งนั้น ตระกูลที่มีแต่เปลือก คงไม่สามารถสนับสนุนกลุ่มคนเหล่านี้ได้ ต้องมีอีกแน่ แต่… นึกถึงคนอื่นไม่ออก” “แรนเดอร์โคก็น่าสง…” “ไม่ใช่” อัลดีนปฏิเสธทันที ก่อนจะเบี่ยงสายตาไปหาคนเด็กกว่า ตอนแรกเขาก็คิดจริงจังว่าเซน่อนกำลังสงสัยตระกูลแรนเดอร์โคอยู่ แต่ดูจากสายตาแล้ว... “อยากตายมากใช่มั้ย?” “อะไรเนี่ย แหย่นิดแหย่หน่อยเท่านั้นเอง” เซน่อนรีบชูมือขึ้นทั้งสองข้าง ยอมแพ้จ่าฝูงก่อนที่ใบมีดในมือของเขา จะเข้ามาตัดหัวตัวเองจริง ๆ “พวกมันเริ่มเข้าไปกันแล้ว ไปบอกทุกคนให้เตรียมตัว เราจะจับมันทั้งหมด และส่งในกรมกลางไปสืบสวน” “ครับ ๆ” ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่นาที ‘วัลแคน’ กลุ่มที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร ดูแลทั้งสามอาณาจักรให้อยู่เป็นสุข โดยมีพวกเขาจัดการเรื่องที่เป็นภัยต่อชีวิตประชาชนอย่างลับ ๆ ได้ชื่อว่าเป็นข่าวลือที่มีมาหลายร้อยปี จนหลายคนนำไปเป็นต้นแบบ ทำซีรีส์ หนังภาพยนตร์ และอีกมากมาย แต่หารู้ไม่ ว่าพวกเขานั้น อันตรายกว่าที่คนธรรมดาคิดเอาไว้มาก ผ้าคลุมสีดำสนิท มันเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องนึกถึงกลุ่มวัลแคนกันทั้งนั้น และการเคลื่อนไหวไร้เสียง แม้กระทั่งใบไม้สักใบยังไม่ขยับ ร่างกายราวกับไม่มีน้ำหนัก แต่แข็งแกร่งดั่งหินผา ดวงตาพวกเขาแดงดั่งเลือด แน่นอนว่ามันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น คนธรรมดาที่ไหนจะมีนัยน์ตาสีแดงกัน แต่ที่เอาไปลือ คงเป็นเพราะร่างกายพวกเขา มันเปรอะเปื้อนด้วยเลือดตลอดเวลา ราวกับสัตว์ป่าหิวกระหาย พร้อมฉีกร่างเหยื่อแม้จะวอนขอชีวิตอย่างไร... ก็ไม่มีวันปรานี ตำนานหลายร้อยปีที่ยังคงอยู่ สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่ไม่มีใครรู้ตัวจริงของพวกเขา นอกจากพวกเดียวกันเท่านั้น “ไปกันได้แล้ว” แค่พริบตาเท่านั้น ร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวกว่าสิบชีวิต ค่อย ๆ ถูกความมืดกลืนกินเข้าไป ราวกับว่าพวกเขา... ไม่ได้อยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม