ขนมปัง แม้จะมีขอบไหม้เล็กน้อย และคุกกี้ไม่ค่อยเป็นรูปทรงเท่าไหร่ แต่ชาที่หญิงสาวนำมาด้วย ช่างหอมละมุนเข้ากับรสหวานของขนมตรงหน้าเหลือเกิน ซึ่งความจริงแล้ว อัลดีนควรจะเพลิดเพลินกับของตรงหน้า แต่กลับคิดถึงแต่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา และทุ่งดอกไม้ที่บ้านแรนเดอร์โคแทน
ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง? เห็นบอกว่าหิว จะกินอะไรหรือยัง?
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวหลายครั้ง แต่กลับไม่มีคำตอบ และสิ่งที่ตามมา คือภาพของเธอในตอนที่หมดสติไปเมื่อวันก่อน
ร่างกำยำด้วยกล้ามเนื้อสมส่วน มันชาไปทั้งร่าง เหมือนมีใครเอายาพิษชนิดคร่าชีวิตคนได้ในพริบตาฉีดเข้าไปในร่างของตน ไม่สามารถขยับร่างกายได้ แม้จะส่งเสียงเองก็ด้วย ได้แต่ตะลึงงันอยู่แบบนั้น ราวกับคนไร้สติ
“พี่ดีนคะ?” เสียงหวานเรียกคนจมลึกเข้าไปในห้วงความคิดสะดุ้งเล็กน้อย หันมาเจอใบหน้าสวยหวานอีกครั้ง ก่อนจะกรีดยิ้มออกมา “คิดอะไรอยู่หรือคะ เหม่อเชียว”
อัลดีนมองคนเด็กกว่าข้างบ้าน ใบหน้าเธอสวยละไมดั่งนางฟ้ามาจุติ แม้จะอยู่ในชุดกระโปรงสีเบจยาวคลุมเข่าไร้ยี่ห้อ แต่กลับไม่ได้ทำให้ความสวยของเธอลดลงเลย
สีเบจ...
อีกครั้งที่ภาพของไรรี่ย์ในชุดสีเดียวกันเข้ามาซ้อนทับ มันทำให้ชายหนุ่มต้องสะบัดหัวแรง ๆ หนึ่งที ก่อนจะเปิดยิ้มให้คนตรงหน้า “โทษทีโซเฟีย พี่คิดว่าพี่คงเหนื่อยเกินไปหน่อย”
“โซเฟียมารบกวนหรือเปล่าคะ?” คนเด็กกว่าทำหน้าเศร้า หลบสายตาไม่กล้ามองหน้าตรง ๆ มันเลยอดไม่ได้ที่อัลดีนจะเอื้อมมือไปวางบนกระหม่อมน้อยของเธอ “ขอโทษค่ะ โซเฟียน่าจะบอกก่อนที่จะมา”
“ไม่เป็นไร ปกติแล้ว โซเฟียเข้าออกที่บ้านหลังนี้เหมือนบ้านอีกหลัง ถ้าคุณแม่ไม่ว่า ก็ไม่มีใครกล้าว่าหรอก” เขายิ้มด้วยความเอ็นดูหญิงสาวตรงหน้า
“คุณป้าวันนี้ดูอารมณ์ไม่ดีเลยค่ะ จนโซเฟียคิดว่า ทำอะไรผิดเสียอีก” เธอยังคงทำหน้าเศร้าอยู่ อัลดีนจึงเกิดความสงสารขึ้นมาในใจ “คราวหลังโซเฟียโทร. มาบอกก่อนดีกว่า จะได้ไม่เสียมารยาท”
“โธ่~ เป็นเด็กขี้น้อยใจไปแล้ว” ชายหนุ่มยังคงลูบหัวคนเด็กว่าเบา ๆ ก่อนจะยกมือออก “จริงสิ วันก่อนวันเกิดโซเฟีย พี่ยังไม่ได้ซื้อของขวัญวันเกิดให้เลย โซเฟียอยากได้อะไรล่ะ?”
พอได้ยินเรื่องของขวัญ คนเด็กกว่าตาลุกวาวทันที พลอยทำให้ใบหน้าตึงเครียดของอัลดีนคลายลงบ้าง ก่อนเจ้าหล่อนจะเริ่มทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย เพราะยังคิดไม่ออกว่าอยากได้อะไร
“ว่ายังไง อยากได้อะไร เดี๋ยวพี่ซื้อให้” อัลดีนช่างคะยั้นคะยอเสียเหลือเกิน
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ” โซเฟียยิ้มเจื่อนเล็กน้อย ก่อนจะตาลุกโตขึ้นมาอีกครั้ง “จริงด้วย! ก่อนหน้านี้ดูรายการทีวีมา เห็นว่าถ้าใส่แหวนแล้วจะนำโชคมาให้ค่ะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็รีบควักโทรศัพท์มือถือเครื่องบางออกมาเปิดหน้าจอดู ไถมันจนเจอเข้ากับโน้ตที่ตัวเธอ ‘เพิ่งจด’ เอาไว้ ก่อนจะส่งให้ชายหนุ่มดูอีกครั้ง “เอาเป็นแหวนดีกว่า เห็นว่าถ้าใส่ที่นิ้วนางด้านซ้าย จะทำให้เรียกโชคเรื่องการเงินค่ะ”
“เอ๋~?” อัลดีนขมวดคิ้วดูหน้าจอสลับกับหญิงสาวคนสวยตรงหน้า ก่อนจะเปิดยิ้มออกมา “เพิ่งเคยได้ยินนะเนี่ย ได้สิ เดี๋ยวพี่ซื้อให้ แต่ว่านะ โชคเรื่องเงินเนี่ยนะ ตกใจเลยแฮะ”
“บ้านโซเฟียไม่ได้รวยล้นฟ้าเหมือนพี่ดีนนี่คะ เลยอยากมีโชคเรื่องนี้บ้างค่ะ” เธอรับโทรศัพท์มือถือกลับคืน และวางมันลงบนโต๊ะ ซึ่งเหมือนทุกทีตามนิสัย เจ้าหล่อนมักคว่ำหน้าจอลงเสมอ “สรุป เอาเป็นแหวนนะคะ”
“ได้ แล้วโซเฟียใส่ไซซ์อะไรล่ะ พี่จะได้ซื้อให้ถูก” อัลดีนตามใจเธอกว่าใคร ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย ตามด้วยคุกกี้แสนหอมเป็นคำแรก “อร่อยแฮะ รอบนี้กำลังดีเลย”
“เย้! ต้องลดน้ำตาลตั้งครึ่งหนึ่งสินะ ถึงจะถูกใจพี่ดีน” เธอยิ้มร่า ก่อนจะยื่นมือซ้ายไปให้ชายหนุ่มแทน “โซเฟียไม่มีเครื่องประดับใส่เท่าไหร่หรอกค่ะ ถ้าเอาให้พี่ดีนดูแบบนี้ จะสามารถรู้ไซซ์ได้หรือเปล่าคะ?”
อัลดีนก้มมองเรียวนิ้วเรียว มันทั้งขาว และดูนิ่ม เพราะถูกดูแลอย่างดี แต่ถึงจะมองด้วยตาเปล่าอย่างไร คนที่ไม่เคยซื้อแหวนให้ผู้หญิงคนไหนมาก่อน ก็ไม่รู้หรอกว่าต้องเลือกแบบไหน หรือไซซ์ไหนถึงจะดี
“เอาเป็นว่า เดี๋ยวไปเลือกเองดีกว่า” วิธีนี้น่าจะเหมาะที่สุดแล้ว
“จริงหรือคะ!?!” โซเฟียดีใจตาโต แต่ต้องสลดลงช้า ๆ “แล้วแบบนี้ จะไม่เป็นไรหรือคะ ถ้าเกิดเป็นข่าวขึ้นมาอีก คุณหนูไรรี่ย์...”
“อย่าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นเลย เขาจะไม่มายุ่งกับโซเฟียแล้ว สบายใจเถอะ”
“ทำไมละคะ?” โซเฟียเผลอขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย ตลอดเวลาหลายปีมานี้ ไรรี่ย์ตามหาเรื่องเธอตลอด จู่ ๆ จะมาล้มเลิกไปแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องปกติ
“เอาเถอะ เขาไม่ยุ่งก็ดีแล้ว” อัลดีนไม่อยากพูดอะไรมาก แค่เปิดยิ้มให้คนตรงหน้าสบายใจก็พอ
แต่ทุกอย่างต้องสะดุด เพราะโทรศัพท์ของชายหนุ่มเกิดสั่นขึ้นมาในกระเป๋ากางเกง อัลดีนหยิบมันขึ้นมาอ่านข้อความซึ่งเต็มไปข้อความง่าย ๆ เหมือนถามไถ่ทุกข์สุขธรรมดา แต่กลับแฝงไปด้วยงานสำคัญที่เขาต้องรับผิดชอบ จากรอยยิ้มเต็มใบหน้า กลายเป็นความเคร่งเครียดขึ้นมากะทันหัน
“โซเฟีย เรื่องแหวน พี่จะมาจัดการให้ทีหลังนะ พอดีมีงานด่วนเข้ามา ต้องไปทำงานก่อน” เขาดูรีบร้อน ก่อนจะยกชากระดกรวดเดียวหมดแก้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้น โซเฟียกลับก่อนดีกว่า”
“เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ” ชายหนุ่มลุกตามหญิงสาวทันที แต่อาการร้อนรนของเขา ใครจะกล้าตอบรับน้ำใจกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ดีนไปทำงานเถอะนะคะ เดี๋ยวโซเฟียกลับเองดีกว่า” เธอยิ้มกว้างขึ้น เพื่อบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องห่วง
“โทษทีนะโซเฟีย เดี๋ยวพี่กลับมาแล้วจะเลี้ยงข้าวนะ” อัลดีนเปิดยิ้มให้เธออีกครั้ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือและเดินออกไป
ทิ้งเอาไว้แค่หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปี มองวิวน้ำพุขนาดใหญ่ด้านข้าง และสนามหญ้ากว้างตรงหน้าเท่านั้น รอยยิ้มที่เคยปรากฏเด่นชัด ค่อย ๆ หายไป ใบหน้าสวยเรียบนิ่ง ก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดลบรายการที่เพิ่งเพิ่มเข้าไปเมื่อครู่
“น่าเสียดายจัง นึกว่าวันนี้ จะได้แหวนแล้วเชียว”
แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ มันคงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ข่าวลือชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องรายการทีวี หรือแหวนนำโชคอะไรนั่น... มันไม่มีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ข้อความบนหน้าจอ มันทำให้ชายหนุ่มลืมเรื่องทุกในทันที เพราะนี่ มันอาจจะหมายถึงชีวิตของคนนับพันจนไปถึงหมื่น ไม่รู้ว่าจริงมากน้อยเพียงใด แต่ก็แอบภาวนาในใจ ขอให้เรื่องที่กังวล มันไม่เกิดขึ้นจริง ๆ ด้วยเถอะ
ร่างสูงกำยำเดินเข้ามาในบ้านด้วยหน้าตาเคร่งเครียด จนกระทั่งได้เจอกับแม่ของตัวเองอีกครั้ง เธอทำหน้าไม่ต่างจากลูกชายเลย แถมในมือ ยังถือโทรศัพท์มือถือไม่ต่างจากตนอีก
“ระวังตัวด้วยนะดีน” เธอบอกด้วยเสียงสั่น ก่อนลูกชายเพียงคนเดียวจะเข้ามาโอบกอดเอาไว้ “หากเป็นไปได้ แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลย”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณแม่ นอกจากผม ยังมีอีกหลายคน และอีกอย่าง หากขาดผมไป มีหวังโดโนแวนโดนตำหนิไปหลายปีแน่” แต่ดูเอาเถอะ ลูกคนนี้กลับไม่สะทกสะท้านเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเอง กำลังไปเผชิญกับความตายแท้ ๆ
“แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงขึ้นมา มันเรื่องใหญ่มากแน่ ๆ จะไม่ให้แม่เป็นห่วงได้อย่างไรกัน ฮึ?” เอเรน่าน้ำตาคลอ เพราะเป็นหน้าที่ที่สืบต่อมานานหลายร้อยปี เธอเลยไม่สามารถทำตามใจได้
“แบบนั้นผมยิ่งต้องไปครับ แค่ไม่กี่วันเอง ยังไม่ถึงกับปะทะซะหน่อย ไม่อันตรายหรอก...”
“อย่าประมาท!” ไม่วายต้องเอ็ดลูกคนนี้จนได้ “เป็นถึงจ่าฝูง อย่าเอาความเป็นความตายมาล้อเล่น”
“ครับ ๆ ผมไปเตรียมตัวก่อนนะ” อันดีนเข้าไปหอมแก้มแม่ตัวเองทั้งสองข้าง ก่อนจะผละตัวออกและเดินขึ้นห้องชั้นสองด้วยความเร่งรีบ
เอเรน่ามองตามลูกชายด้วยใจสั่นไหว
‘วัลแคน’ คือกลุ่มคนที่ไร้สังกัด เป็นกลุ่มลึกลับซึ่งสืบทอดกันมาหลายร้อยปี มักอยู่เบื้องหลังคอยดูแลความเรียบร้อยของทั้งสามอาณาจักรอยู่เสมอ
ว่องไวราวสายลม
ไร้ตัวตนดั่งความมืด
และโหดเหี้ยมดั่งสัตว์ร้าย
ผ้าคลุมสีดำ และมีดปลายโค้งสองเล่ม เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มวัลแคน หากใครได้เจอ เท่ากับว่าพวกมัน จะต้องไร้ซึ่งลมหายใจ โดยจ่าฝูง หรือหัวหน้า มักจะเป็นคนที่เก่งกาจรอบด้าน ไม่ว่าจะต่อสู้ หรือความฉลาดหลักแหลม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายเลือดของโดโนแวนหรือเปล่า ที่ทำให้ตำแหน่งนี้ ถูกสืบทอดจากพ่อ ลงมาสู่ลูกอย่างสวยงาม
แม้จะเก่งกาจอย่างไร แต่มีหรือคนเป็นแม่จะไม่ห่วง หากเป็นงานธรรมดา เธออาจจะไม่หวั่นใจเลยสักนิด แต่เวลานี้ ความสงบสุขของทั้งสามอาณาจักรกำลังสั่นคลอน เพราะชายแดนระหว่างวัลดิสและเพลากัส กลับมีข่าวลือเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนออกมา
มันเคยเป็นแค่ข่าวลือ เหมือนตำนานเมืองมาเป็นร้อยปี แต่ถึงขนาดวัลแคนต้องลงมือแบบนี้ ข่าวลือพวกนั้น อาจจะมีเรื่องจริงปะปนมาบ้างไม่มากก็น้อย
มือเริ่มสั่น ความกังวลมีอยู่เต็มใบหน้า เอเรน่าหันไปหาสาวรับใช้ ก่อนจะเรียกเธอมา “เคท มาหาฉันหน่อย”
“ค่ะ นายหญิง” เธอในชุดสาวรับใช้สีฟ้าอ่อน เดินเข้ามาใกล้นายหญิงของบ้านทันที “มีอะไรหรือคะ?”
“ติดต่อหาคุณอาเธอร์ และให้เขากลับบ้านให้เร็วที่สุด”
“เข้าใจแล้วค่ะ” และเธอก็เดินจากไปเพื่อทำตามคำสั่งของเจ้านายทันที
ไม่นานคนซึ่งอยู่ในเงามืด ปรากฏอยู่ข้างกายนายของตนอีกครั้ง เพราะใบหน้าไม่สู้ดีของเธอ ทำให้นิกซ์อดเป็นห่วงไม่ได้ “นายหญิง ให้ผมไปกับนายน้อยดีหรือไม่?”
“ไม่ต้อง ไปจัดงานของเธอเถอะ เรื่องของดีน เขาจัดการเองได้” แม้จะเชื่อแบบนั้น แต่ใบหน้ายังกังวลไม่หาย “จริงสิ นายมีข่าวเกี่ยวกับพวกนั้นบ้างหรือเปล่า?”
“พวกนั้น... พวกยูซีเนียหรือครับ?”
“อืม”
“เหมือนจะได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เพราะมันก็นานมากแล้ว แต่ถ้านายหญิงอยากรู้เพิ่ม ผมจะลองหาข้อมูลให้นะครับ” เขายังคงนอบน้อม แม้ว่าเอเรน่า จะออกจากวัลแคนมานานมากแล้วก็ตาม
“ขอบใจมาก ฉันฝากด้วย”
“ครับ”
แม้จะยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเท่าไหร่ แต่อย่างน้อย แค่ครั้งนี้ ขออย่าได้ให้มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นเลยด้วยเถิด