6
บทบาทของวายร้าย
โรงน้ำชาแห่งเมืองหลวงค่อนข้างคึกคักในยามเย็น ดวงตะวันที่กำลังคล้อยต่ำพร้อมจะลาลับจากขอบฟ้าเป็นภาพอันงดงามที่ยากจะลายสายตาไปได้
บุรุษสูงศักดิ์ในอาภรณ์สีฟ้าครามนั่งอยู่บนที่นั่งพิเศษบนชั้นสอง เบื้องล่างมีชาวบ้านเดินสวนกันไปมาขวักไขว่ แม้บรรยากาศรอบข้างจะดูปกติเหมือนทุกวัน ทว่าจะมีสักคนที่รู้ว่าบริเวณใกล้เคียงต่างมีองครักษ์มากมายแฝงตัวอยู่ร่วมสิบคน
ทั้งหมดนี้... ก็เพื่ออารักขาคุ้มกันผู้ที่วันนี้มีนัดหมายกับคนนอกวังหลวง
“องค์...คุณชายขอรับ”
เสียงของข้ารับใช้คนสนิทดึงดูดให้ผู้ที่กำลังละเลียดดื่มชาหอมกรุ่นเบนสายตาไปมองเล็กน้อย
“ว่าอย่างไร”
“ผู้ที่ท่านนัดพบมาถึงแล้วขอรับ”
ซุนโม่เฉินวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างเชื่องช้า นิ้วมือกำเข้าหากันน้อยๆ ก่อนจะคลายออก
เสี่ยวกัวเป็นขันทีที่อยู่รับใช้ผู้เป็นนายมานาน ในยามที่องค์ชายสี่ทรงครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นก็มักจะเผลอกำพระหัตถ์โดยไม่รู้ตัว
หากแต่สิ่งที่บ่าวผู้ต่ำต้อยคาดเดาไม่ได้ คือภายในใจของอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องใดกันแน่
“ให้เขาเข้ามา”
เสี่ยวกัวรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อน้ำเสียงทรงอำนาจตรัสสั่ง ขันทีน้อยในชุดข้ารับใช้ชาวบ้านทั่วไปค้อมศีรษะก่อนจะล่าถอยออกไปด้านนอก
เป็นเวลากว่าสามปีแล้วที่องค์ชายสี่มักจะปลอมตัวออกมานอกวังเพื่อติดต่อกับผู้อื่น เนื่องจากอุปนิสัยหวาดระแวง เขาจึงมักจะมีผู้คุ้มกันจำนวนมาก
และผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็มักจะไม่รู้ตัวว่าจะถูกเรียกใช้จนกระทั่งถึงเวลา เหตุผลก็เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาที่อาจคิดทรยศวางแผนทำร้ายเขาล่วงหน้า
ซุนโม่เฉินหายใจเข้าออกอย่างมั่นคง จากนั้นก็หยิบหน้ากากสีขาวขึ้นสวม
ในที่สุด ชายฉกรรจ์ผิวคล้ำที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสี่ยวกัว
ก่อนหน้านี้ขันทีหนุ่มตรวจดูอาวุธของแขกที่ผู้เป็นนายนัดมาพบอย่างละเอียดแล้วจึงปล่อยให้เข้ามา ครั้นพวกเขาเตรียมจะพูดคุยกันเรื่องสำคัญ เขาจึงรีบเดินไปปิดบานหน้าต่าง และยืนบังเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
“คุณชายเมิ่ง” ชายหน้าบากค่อนข้างคุ้นเคยกับการทำตัวระแวดระวังของอีกฝ่ายมานานแล้ว พวกเขาทำการค้ากันมาระยะหนึ่ง และการจ่ายเงินหนักก็ทำให้เขาระมัดระวัง มิให้ละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของคู่ค้า
ผู้ที่มาพบเขาในฐานะ ‘คุณชายเมิ่ง’ ผู้นี้อาจเป็นใครก็ได้ แต่ตราบใดที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรู้ฐานะที่แท้จริงของกันและกัน
“เฮยจาง ข่าวที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาครั้งล่าสุดเป็นอย่างไร”
“อืม...” ชายฉกรรจ์แสยะยิ้มน่าเกลียด กวักมือกระดิกนิ้วเข้าหาตัว
ซุนโม่เฉินพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็หันไปส่งส่ายตาให้แก่เสี่ยวกัว
ตุบ!
ถุงเงินถุงหนึ่งถูกโยนลงบนโต๊ะ เฮยจางรีบเอามือมาตะครุบแล้วเก็บมันเข้าอกเสื้อตนเอง เมื่อเงินมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอิดออด
“ข้าไปสืบมาแล้ว ที่ชายแดนทางตอนใต้มีปัญหาจริงดังว่า ฟางอวี้รู้เรื่องปัญหาแม่ทัพในสังกัดที่ชื่อฉินเหมินลักลอบขนแร่ออกไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋า แต่ปกปิดไม่ให้ทางการรู้เพราะเห็นแก่คนของตัวเองที่เคยร่วมศึกกันมา เห็นคนในทัพบอกกันว่าฉินเหมินขอลาออกจากตำแหน่งเอง ข้าลองตามร่องรอยของเขาแล้ว คิดว่าน่าจะเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อพาลูกเมียหนีออกจากแคว้น ตั้งใจป้องกันไม่ให้ตัวเองกับฟางอวี้ต้องเดือดร้อน”
“อืม” น้ำเสียงของผู้ฟังไม่แสดงท่าทางยินดียินร้าย “แล้วทางชายแดนฝั่งเหนือเป็นเช่นไรบ้าง”
เฮยจางค่อนข้างเคยชินกับนิสัยไม่ค่อยพูดของคู่ค้ามานานแล้ว หน้าที่ของเขามีเพียงแค่สืบเรื่องราวทางชายแดน และมันก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แม้จะมีหรือไม่มีข่าว เขาก็มักจะได้รับผลตอบแทนที่ดีเสมอ
ตุบ!
เสี่ยวกัวโยนถุงเงินถุงที่สองให้เขาอย่างรู้หน้าที่
ชายฉกรรจ์รีบตะครุบเก็บอย่างตะกละตะกลามเช่นเดิม “ชายแดนทางเหนือค่อนข้างแห้งแล้ง พวกทหารต่างก็อยู่กันอย่างอัตคัด ไร้การเหลียวแลจากทางการ”
“อืม” ซุนโม่เฉินขานรับอย่างเฉื่อยชาเช่นเดิม จากนั้นก็หันไปสบตาคนสนิทพร้อมกับพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“คุณชายของข้าหมดธุระกับเจ้าแล้ว ตามข้ามา”
เสี่ยวกัวยื่นถุงเงินถุงสุดท้ายให้ จากนั้นก็เดินนำเพื่อพาอีกฝ่ายไปที่ประตู
เฮยจางฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันเหยเกน่าเกลียด “ขอบพระคุณคุณชายเมิ่ง ขอบพระคุณคุณชายเมิ่ง!”
น้ำหนักในถุงเงินวันนี้มากกว่าครั้งก่อนๆ ชายฉกรรจ์รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจะนำเงินนี้ไปดื่มสุราเคล้านารี เสวยสุขให้สมกับความยากลำบากในการเดินทางไปกลับชายแดนทั้งสองในระยะเวลาร่วมเดือนที่ผ่านมา!
เฮยจางคิดอย่างกระหยิ่มใจ เสี่ยวกัวเปิดบานประตูเพื่อส่งแขกเสร็จก็เบี่ยงกายเปิดทางให้
ทว่า... สิ่งที่รออยู่กลับทำให้ผู้ที่กำลังดีใจเบิกตาโพลง
“มะ...อ๊าก!”
ดาบใหญ่จากหน่วยสังหารปาดเข้าที่ลำคอของผู้ที่ส่งเสียงร้องโหยหวน โลหิตสีแดงสดพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ ซุนโม่เฉินถอดหน้ากากออกอย่างไม่รีบร้อน แม้จะเห็นคนตายต่อหน้าแต่แววตากลับไม่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย”
เสี่ยวกัวกลืนน้ำลายเฮือกพลางค้อมศีรษะ “ขอรับ”
เขาใช้เฮยจางมานานแล้ว คงถึงเวลาที่จะทำความสะอาดให้เรียบร้อย
ไม่ว่าอย่างไรเสีย เขาก็ยังมีตัวเลือกอีกมากมายที่มีการติดต่อกันมานาน จะเลือกใช้ใครก็ย่อมได้
ซุนโม่เฉินเบนหน้าหนีจากศพที่ถูกลากออกไปอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้จะโทษเขาก็ไม่ได้ ในเมื่อเฮยจางรู้อยู่แล้วว่าเขาทำงานอยู่ใต้ความเสี่ยงแบบใด หลายปีมานี้เขาได้เสวยสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อนทั้งชีวิต นั่นถือเป็นความเมตตาที่เขามีให้แล้ว
ทว่าข้อมูลที่เฮยจางได้มาในวันนี้ถือว่าล้ำค่ามากทีเดียว
ซุนโม่เฉินกระตุกยิ้มมุมปาก แม้ปัญหาเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ไกลถึงชายแดน ทว่าเหมืองแร่ก็ถือเป็นทรัพย์สินของฮ่องเต้และแผ่นดิน ความผิดของฉินเหมินว่าร้ายแรงแล้ว ทว่าความผิดของฟางอวี้ที่ช่วยปกปิดนั้นร้ายแรงกว่า!
ด้วยตำแหน่งโหว ซึ่งเป็นผู้กุมกำลังกองทัพหลายหมื่นอยู่ในมือ สถานะของฟางอวี้ย่อมมีอิทธิพลมากในราชสำนัก
อีกทั้ง... ฟางอวี้ผู้นี้ยังเป็นฐานสำคัญขององค์รัชทายาท
ฟางอวี้เป็นญาติห่างๆ ของซุนจื่อหมิง มารดาของเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระมารดาขององค์ฮองเฮาคนปัจจุบัน
แม้ความผูกพันทางสายเลือดจะค่อนข้างห่างไกล ทว่าความสัมพันธ์อันใกล้ชิดที่ช่วยเกื้อหนุนกันและกันก็ทำให้ตำแหน่งขององค์รัชทายาทกับตระกูลฟางค่อนข้างมั่นคง
หากตำแหน่งโหวของฟางอวี้ถูกถอดถอน ซุนจื่อหมิงคงไม่ต่างจากเสียแขนไปข้างหนึ่ง!
จู่ๆ ภาพของเด็กสาวในที่นั่งดีดพิณในงานเลี้ยงวันเกิดก็ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง วันนั้นนางเองก็ดูเหมือนจะสนทนากับฟางอวี้อย่างสนุกสนานเช่นเดียวกัน
องค์ชายสี่ทรงหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาแนบพระโอษฐ์สีชมพูระเรื่อ ตรัสพึมพำด้วยสุรเสียงแผ่วเบา
“ลี่หยวน ดูท่าในพิธีปักปิ่นของเจ้าในปีหน้า ท่านโหวฟางคงไม่มีโอกาสไปร่วมงานเสียแล้ว”
ณ จวนเสนาบดี เช้าวันต่อมา
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังพำนักอยู่ที่นี่อีกหลายวัน คุณหนูไตร่ตรองดูให้ดีเถิด หากมิอาจรับเงื่อนไขทั้งหมด ข้าก็มิอาจรับเจ้าเป็นศิษย์ได้”
เสียงของใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ยังคงกวนใจ แม้กระทั่งยามนอนหลับพักผ่อน
อาการปวดท้องของลี่หยวนค่อยทุเลาลง ทว่าความอ่อนเพลียยังมีอยู่มาก ไหนจะยังมียาพิษที่นางกินเข้าไปเพื่อให้ตนเองผ่านบททดสอบของเขาอีก
ลี่หยวนคิดพลางถอนหายใจเล็กน้อย เสียงของไก่ร้องขันบ่งบอกถึงรุ่งอรุณวันใหม่ที่แสนสดใส หลังจากชิงช่ายเปิดประตูเข้ามาก็มาช่วยนางล้างหน้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
“คุณหนู อาการดีขึ้นบ้างไหมเจ้าคะ จะให้บ่าวไปตามท่านหมอมาดูอาการดีหรือไม่”
คำว่า ‘ไปตามท่านหมอมาดูอาการ’ ทำเอาลี่หยวนหลุบตาพร้อมกับเอานิ้วนวดคลึงศีรษะ
วันนี้นางตั้งใจจะพักผ่อนอย่างสงบ หากให้ชิงช่ายไปตามหมอมา สุดท้ายผู้ที่จะตามมาก็คือคนที่ทำให้นางเหนื่อยล้ามาตั้งแต่เมื่อวาน จนกระทั่งบัดนี้นางยังไม่มีอารมณ์ไปดูดำดูดีลี่เผิง
แต่ถึงอย่างไรเสีย เขาก็เป็นบุตรชายที่มีสายเลือดแท้ๆ ของท่านพ่อ อีกฝ่ายลงโทษไม่ทันไรก็คงหายโกรธและปล่อยตัวลี่เผิงให้ออกจากเรือนมาอยู่ดี
คิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยถาม
“ท่านพ่อปล่อยตัวพี่ใหญ่ออกมาแล้วหรือยัง”
ชิงช่ายซึ่งช่วยสางผมให้เด็กสาวอยู่หน้าคันฉ่องมีสีหน้าอึกอัก
“ระ...เรื่องนี้...”
ผู้เป็นนายปิดเปลือกตาลงครึ่งหนึ่ง “ว่าอย่างไร”
สุดท้ายชิงช่ายก็ไม่สามารถปกปิดนางได้นาน “บ่าวได้ยินมาว่า... เมื่อคืนคุณชายใหญ่ไข้ขึ้นสูง นายท่านจึงยกเลิกการทำโทษและเรียกท่านหมอไปดูอาการแล้วเจ้าคะ”
ลี่หยวนได้ฟังดังนั้นก็เค้นเสียงหึออกมาเบาๆ บุรุษผู้นั้นปากก็บอกว่านางสำออย แต่เมื่อเข้าตาจน กระทั่งบุรุษตัวใหญ่ก็ยังหยิบยกเอาเรื่องที่น่าสงสาร น่าเห็นใจมาใช้
ในเมื่อเขาเลือกใช้วิธีนี้เพื่อเอาตัวรอด เห็นทีว่าลี่เผิงคงไม่มีทางหยุดราวีนางง่ายๆ คนผู้นี้ใจคอคับแคบเจ้าคิดเจ้าแค้น การมีคนเช่นนี้อาศัยอยู่ร่วมจวนช่างเป็นสิ่งที่เหนื่อยหน่ายโดยแท้
บางที... การเจียดเวลาไปอยู่ที่วังอ๋องตงฟางอาจจะยังดีเสียกว่า
แต่อารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้ของหมอปีศาจก็ช่างน่ากลุ้มใจพอสมควรเช่นกัน
ลี่หยวนรู้ว่าเขายอมอ่อนข้อให้นาง อาจเป็นเพราะความสนใจที่ฉาบฉวย หรืออาจเป็นไปได้ว่าเขามีแผนการที่คิดจะใช้นางหลังจากนี้
...เหมือนกับคนอื่นๆ ในจวนเสนาบดี ที่นางเติบโตมา
บทบาทของผู้ช่วยวายร้ายคือการเป็นหมากที่ต้องเดินให้ผู้อื่น แต่คอยดูเถิด นางนี่แหละที่จะปฏิวัติบทบาทนี้ พลิกกลับมาควบคุมชะตาชีวิตด้วยมือตนเอง!
ช่างพระเอก เขาอยากจะทำอันใดก็ทำไป
ช่างนางเอก นางอยากจะเต้นระบำเปลื้องผ้าที่หน้าห้องอย่างไรก็ช่าง