เมื่อวิญญาณของจินเยว่ได้ย้อนมาอยู่ในร่างของจินเยว่สาวน้อยยุคอดีตอีกครั้ง เธอก็เริ่มลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ทันที
เช้าของวันนี้จินเยว่ตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อไปหาป้าเจียงที่เป็นภรรยาของกัปตันทีมผู้ผลิตของหมู่บ้าน เพื่อที่จะให้ป้าเจียงช่วยเหลือเธอในการเกลี้ยกล่อมกัปตันเจียง ไม่ว่าเรื่องยากหรือเรื่องง่ายสิ่งที่ช่วยได้ดีที่สุดคือลมข้างหมอน
“ป้าเจียง ป้าเจียงอยู่บ้านไหมคะ”
จินเยว่ยืนเรียกป้าเจียงที่หน้าบ้านของเธอ วันนี้เธอจะมาคุยกับป้าเจียงเรื่องหนังสือรับรองจากกัปตันทีมผู้ผลิตหมู่บ้าน
“อ้าว นึกว่าใคร จินเยว่มา ๆ เข้ามาในบ้านก่อนข้างนอกอากาศเริ่มเย็นแล้ว”
สะใภ้เจียงเปิดประตูรั้วหน้าบ้านออกมาพบจินเยว่ จึงทักทายด้วยความคุ้นเคย ถึงแม้ว่าเธอจะแปลกใจที่จินเยว่มาหาถึงบ้านก็ตาม เพราะตั้งแต่หญิงสาวมาอยู่ที่หมู่บ้านจินเยว่ไม่เคยมารบกวนเธอที่บ้านเลยสักครั้ง นอกจากทักทายกันยามที่เจอหน้าช่วงเวลาทำงานในไร่ แต่ป้าเจียงก็ดึงตัวของเด็กสาวเข้ามาภายในบ้านอย่างมีน้ำใจ
“จินเยว่นั่งก่อน เธอมาหาป้าถึงบ้านมีธุระอะไรรึเปล่า?”
จินเยว่นั่งลงที่โต๊ะรับแขกที่ตั้งอยู่ภายในบ้านพร้อมกับรับถ้วยน้ำที่ป้าเจียงรินมาให้
“ขอบคุณป้าเจียง”
“เด็กคนนี้จะขอบคุณอะไรแค่น้ำถ้วยเดียว”
“ป้าเจียงที่ฉันมาวันนี้ ฉันอยากมาขอร้องให้ป้าเจียงช่วยเหลือฉันสักเรื่องค่ะ”
“จะมาขอร้องอะไรกัน บอกมาเถอะถ้าป้าช่วยได้ป้าจะช่วยเธอแน่นอน”
สะใภ้เจียงรับปากอย่างไม่อิดออดเพราะจินเยว่เป็นเด็กสาวที่นิสัยดี ถึงแม้ไม่ชอบพูดจากับใครแต่ก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง แม้ร่างกายจะไม่ค่อยแข็งแรงเพราะกินอาหารไม่อิ่มก็ตาม
เด็กสาวเป็นคนนิสัยดีไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับหมู่บ้านของพวกเธอเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ ไม่เหมือนยุวชนคนอื่น ๆ ที่ชอบก่อเรื่องและสร้างปัญหาตลอดเวลา
“ป้าเจียงฉันอยากจะรบกวนให้กัปตันทีมออกหนังสือรับรองให้ฉันหน่อยค่ะ”
“หนังสือรับรอง หนังสือรับรองอะไร จินเยว่เธออยากจะกลับไปเยี่ยมบ้านหรือ?”
สะใภ้เจียงถามด้วยความสงสัย เด็กสาวจะเอาหนังสือรับรองไปทำอะไรหรือว่าเธอยากจะกลับไปเยี่ยมบ้าน ตั้งแต่จินเยว่ถูกส่งตัวมาใช้แรงงานที่หมู่บ้านนี้ก็ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้มีนโยบายให้ยุวชนที่ออกมาใช้แรงงานตามชนบทสามารถลาพักกลับไปเยี่ยมบ้านได้ สะใภ้เจียงจึงเห็นยุวชนหลายคน มาของให้สามีของเธอช่วยออกหนังสือรับรองให้
แต่การกลับไปเยี่ยมบ้านก็มีเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนต้องไม่เกินสิบถึงสิบห้าวัน และยุวชนที่จะขอใบรับรองนี้ได้ต้องถูกส่งตัวมาทำงานที่ชนบทไม่ต่ำกว่าสามปี
เด็กสาวคนนี้ถูกส่งตัวมาตั้งแต่อายุสิบสองปี จินเยว่คงจะคิดถึงพ่อแม่เลยอยากจะกลับไปเยี่ยม สะใภ้เจียงคิดว่าเรื่องแบบนี้เธอสามารถช่วยพูดกับสามีได้ไม่มีปัญหา เพราะตั้งแต่จินเยว่มาอยู่ที่นี้ก็เจ็ดปีเข้าไปแล้ว เด็กสาวไม่เคยขอหนังสือรับรองเพื่อกลับไปเยี่ยมบ้านสักที
“ไม่ใช่ค่ะป้าเจียง”
“ถ้าอย่างนั้นเธออยากได้หนังสือรับรองไปทำอะไร?”
“ป้าเจียง ฉันจะไม่ปิดบังป้าเพราะฉันอยากจะให้ป้าช่วยจริง ๆ เมื่อวานฉันเข้าไปในเมืองแล้วโทรศัพท์ไปหาที่บ้าน พ่อของฉันบอกว่าให้ฉันไปเรียนต่อให้จบมัธยมปลาย แล้วพ่อจะทำเรื่องให้กลับกว่างโจวเพื่อเข้าทำงานโรงงาน ส่วนค่าเรียนพ่อจะส่งมาให้ ฉันจึงได้มาขอร้องป้าเจียงว่าช่วยพูดกับหัวหน้าทีมให้ฉันได้ไหม”
จินเยว่โกหกสะใภ้เจียงตาไม่กระพริบ เธอไม่สามารถบอกถึงที่มาของเงินสามพันหยวนในมือได้ จึงได้แต่อ้างถึงครอบครัวที่ทอดทิ้งเธอ และเธอเชื่อว่าพ่อแม่ของจินเยว่จะไม่ติดต่อหญิงสาวมาแน่นอน
เธอต้องมีหนังสือรับรองจากกัปตันทีมในการเข้าเรียนมัธยมปลายในเมือง และต่อไปถ้าเธอซื้อบ้านในเมือง ก็ต้องอาศัยให้กัปตันทีมออกหนังสือรับรองให้อีก
จินเยว่มีทะเบียนบ้านที่สำนักงานกลางของหน่วยงานผลิตที่หมู่บ้านนี้ เพราะพ่อแม่ของต้องการมีลูกอีกคน จึงต้องเอาชื่อเธอออกจากทะเบียนบ้านที่ปักกิ่ง
อีกไม่นานจะมีนโยบายให้แบ่งปันที่ดินทำกินให้กับชาวนา จินเยว่จะไม่ได้ผลประโยชน์ในเรื่องนี้ เพราะเธอไม่ใช่คนในพื้นที่ในหมู่บ้านนี้
แต่ในไม่ช้ายุวชนจะเริ่มเดินทางกลับเมืองมากขึ้น เธอจึงจำเป็นต้องหาทางซื้อบ้านให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการมากขึ้น
และผู้นำมีนโยบายแก้ไขปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของประชาชน ทำให้ประชาชนสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้บ้างแล้ว แต่ต้องมีใบรับรองจากผู้นำของเมืองนั้น ๆ หรือกัปตันทีมในหมู่บ้าน
สะใภ้เจียงมองดูเด็กสาวด้วยความสงสาร ถ้าเรื่องแค่นี้เธอสามารถช่วยพูดกับสามีได้อยู่แล้ว เพราะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เวลานี้ในหมู่บ้านมีหลายครอบครัวที่ส่งลูกเข้าไปเรียนต่อในเมืองหลังจากเรียนจบประถม
หน่วยผลิตนี้เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่มีหลายครอบครัวอาศัยอยู่ ทำให้มีการสร้างโรงเรียนประถมขึ้นภายในหมู่บ้าน และมีการจ้างยุวชนที่ถูกส่งออกมาชนบทให้เป็นครูผู้สอน และทางทีมผู้ผลิตจะมีเงินตอบแทนให้เดือนละสิบหยวน
“ได้ป้าจะช่วยพูดกับสามีให้ จินเยว่ถ้าเธอเข้าไปเรียนในเมืองเธอก็จะไม่ได้คะแนนทำงานแล้วจะมีอาหารกินได้อย่างไร”
“ป้าเจียงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น พ่อบอกว่าจะส่งเงินมาให้พร้อมกับตั๋วอาหาร เพราะตอนนี้พี่ชายคนโตได้ทำงานแล้วค่ะ”
“ดีแล้ว ดีแล้วที่พี่ชายคนโตของเธอยังคิดถึงน้องสาวอยู่ ตอนเย็นป้าจะคุยกับสามีให้ เธอไม่ต้องห่วงนะจินเยว่ป้ารับรองว่าเธอต้องได้ใบรับรองเข้าไปเรียนต่อในเมืองแน่นอน แต่เธออย่าเพิ่งพูดให้ใครฟังนะเรื่องแบบนี้เงียบไว้เป็นดีที่สุด”
“ฉันเข้าใจค่ะป้าเจียง ขอบคุณป้าเจียงอีกครั้ง ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะมารบกวนป้าเจียงนานแล้ว”
“ไปเถอะ”
สะใภ้เจียงมองตามแผ่นหลังที่บอบบางของจินเยว่ไปจนลับตา ก่อนจะถอนหายใจด้วยความสงสาร เธอเห็นเด็กคนนี้เดินทางมาที่ชนบทตั้งแต่อายุแค่สิบสองปี
เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ต้องทำงานเพื่อแลกกับอาหาร ถึงแม้เธอจะมีความสงสารแต่ก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ เพราะที่บ้านของสะใภ้เจียงมีแม่สามีที่คอยจับผิดและคอยควบคุมอาหารภายในบ้านอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้สะใภ้เจียงจะสงสารก็ทำได้แค่แอบเอาอาหารไปให้จินเยว่ได้นิดหน่อยและนาน ๆ ครั้งเท่านั้น
“สะใภ้ใหญ่ เมื่อกี้ฉันเห็นจินเยว่เดินออกจากบ้านของเรา หล่อนมาทำอะไรที่นี่มาขออาหารอีกแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ใช่จิวเยว่แค่มาขอบคุณที่พ่อซีห่าวได้ปันส่วนอาหารให้เธอก่อนใครเมื่อครั้งก่อน”
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าหล่อนเอาอาหารในบ้านให้ผู้หญิงคนนั้น”
"แม่ฉันไม่เคยเอาอาหารที่บ้านไปให้จินเยว่นะคะ"
"หล่อนอย่าคิดว่าฉันไม่เห็นนะสะใภ้ใหญ่ อาหารที่บ้านต้องเก็บไว้เพื่อส่งไปให้บ้านลูกคนที่สามที่กำลังทำงานอย่างหนักอยู่ในเมืองเธอเข้าใจไหม?"
"ค่ะ"
สะใภ้เจียงตอบรับเสียงเบา ลูกคนที่สามที่แม่สามีของสะใภ้เจียงพูดถึงก็คือเจียงห่าวลูกชายคนสุดท้องของแม่สามี เจียงห่าวได้แต่งงานกับลูกสาวของผู้อำนวยการโรงงานเหล็กที่อยู่ในเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน
ทำให้แม่สามีของเธอเมื่อสิบปีก่อนเป็นที่อิจฉาของคนทั้งหมู่บ้าน แม่สามีของสะใภ้เจียงจึงรักและภูมิใจในตัวลูกชายคนที่สามมาก เมื่อมีอะไรดี ๆ ในบ้านแม่สามีจะเก็บไว้ให้ลูกคนที่สามก่อนเสมอ
“คุณย่ากำลังพูดถึงใครอยู่คะ?”
เจินเจินที่เป็นลูกสาวคนสุดท้องของสะใภ้เจียง เปิดประตูเดินเข้ามาในบ้านทันได้ยินคำพูดของคนเป็นย่า จึงถามด้วยความสงสัย
“จะพูดถึงใครก็พูดถึงแม่แกนะสิ ชอบทำตัวเป็นคนดีเอาอาหารในบ้านไปแจกจ่ายคนอื่น”
“แม่เอาอาหารไปให้ใคร?”
“ฉันจะไปรู้กับแม่ของแกรึ ถามกันเอาเองเถอะ”
แม่สามีของสะใภ้เจียงตอบหลานสาวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ก่อนที่จะเดินกลับเข้าห้องไปพร้อมกับปิดประตูเสียงดังปัง สะใภ้เจียงแอบถอนหายใจ เธอรู้ว่าแม่สามีไม่ชอบลูกสาวของเธอเพราะสำหรับแม่สามีแล้วเด็กผู้ชายดีกว่าเด็กผู้หญิง
“แม่คะย่าหมายถึงใคร?”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่จินเยว่มาขอบคุณที่พ่อของลูกที่ปันส่วนอาหารให้เธอก่อนใครเมื่อครั้งที่แล้ว”
“ฉันคิดว่าเรื่องอะไร แต่จินเยว่ก็จริง ๆ เลยนะ ฉันได้ยินมาว่าหล่อนเอาอาหารปันส่วนของตัวเองไปให้ป๋อเหวินที่เป็นยุวชนชายด้วยนะแม่”
“ตายจริง! มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ?”
“ฉันได้ยินหนิงอันกับเจียฮุ่ยพูด ตอนนี้พวกยุวชนพวกนั้นต่างก็พูดกันว่าจินเยว่กำลังไล่ตามป๋อเหวิน”
“แกก็อย่าไปพูดต่อเข้าใจไหม ตั้งใจเรียนก็พอแล้วอย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่นให้มาก”
“ฉันเข้าใจแล้วแม่ แต่จินเยว่ก็ไม่ดูสภาพตัวเองเลยนะตัวก็ดำ หน้าตารึก็อัปลักษณ์ผู้ชายเขาจะมาสนใจได้ยังไง นอกจากหลอกลวงแล้วจะมีความจริงใจแค่ไหนกัน ฉันว่าป๋อเหวินไม่สนใจจินเยว่จริง ๆ หรอก”
“แกยังจะมาพูดมากอีก รีบเข้าห้องของไปอ่านหนังสือเลยนะ ถ้าปีนี้แกเรียนสอบได้คะแนนไม่ดีเตรียมตัวกลับมาทำไร่ที่บ้านเลย”
สะใภ้เจียงพูดเสียงแข็งกับลูกสาวคนเล็ก ถึงแม้เจินเจินจะเป็นลูกสาวคนสุดท้อง แต่สะใภ้เจียงก็รักลูกทุกคนเท่ากันเธอไม่ได้ลำเอียง ไม่ว่าเป็นลูกชายหรือลูกสาวก็เป็นลูกของเธอเหมือนกัน เพียงแค่เธอรู้สึกสงสารลูกสาวคนเล็กมากกว่าใคร เพราะแม่ของสามีเธอไม่ชอบเด็กสาวจึงไม่เคยพูดกับเจินเจินดี ๆ สักครั้ง
สะใภ้เจียงมีลูกทั้งหมดสามคน ลูกชายคนโตทำงานขายตั๋วที่สถานีรถไฟในเมือง ส่วนคนที่สองทำงานที่โรงงานทอผ้าลูกสาวคนเล็กยังเรียนไม่จบ สภาพของครอบครัวของสะใภ้เจียงจึงถือว่าดีมาก เพราะมีสมาชิกภายในครอบครัวทำงานมีเงินเดือนตั้งสามคน ในขณะที่บางครอบครัวมีอาหารแทบจะไม่พอกิน
"ก็ได้แม่ ฉันจะทำงานหนักขึ้น ฉันจะไม่ยอมกลับมาทำไร่ที่หมู่บ้านแน่นอน"
เด็กสาวทำท่าทางขึงขังก่อนจะวิ่งเข้าห้องนอนไป ก่อนที่แม่ของเธอจะบ่นยาวมากไปกว่านี้ เจินเจินรู้ว่าย่าไม่ชอบเธอแต่เด็กสาวก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะพ่อและพี่ชายรวมทั้งแม่ต่างก็ให้ความรักกับเธอมากพอแล้ว