บทที่ 3 หนูปันปัน

2086 คำ
“ฮัลโหล ได้ยินหรือเปล่า รินลดา” [ดะ ได้ยินค่ะ อาจารย์] เสียงของเธอดังตะกุกตะกัก จนคนที่ถือสายอยู่นั้นรู้สึกแปลกใจ “ถ้ามีปัญหาอะไรเราคุยกันได้นะ บางอย่างมันอนุโลมได้อาจารย์เข้าใจ ถ้าคุณจะขอซ่อมแล็บที่ขาดไปครับ แต่ถ้าขาดอีกคาบหนึ่งก็คงยากที่จะขอซ่อมนะครับ ผมอาจจะช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ใช่แล็บที่ผมคุม” [...] ปุณณกันต์เอ่ยพูดยาวเหยียด ไม่ได้เป็นการขู่ แต่เป็นการอธิบายด้วยเหตุผล ทว่าปลายสายกลับเงียบอีกครั้ง “ได้ยินผมพูดหรือเปล่าครับ” [ดะ ได้ยินค่ะ เอ่อ อาจารย์คะ คือถ้าหนูลาออกต้องไปทำเรื่องไหมคะ หนูนึกว่าถ้าขาดก็โดนให้ออกเลย คือต้องทำเรื่องใช่ไหมคะ] กึก! ฝ่าเท้าหนาชะงักอีกครั้ง ทำให้คนที่เดินขนาบข้างชะงักไปด้วย ลัลนามองฝ่ามือหนาที่คลายออกจากมือของเธอ เขาเท้ามือที่เอว ส่วนมืออีกข้างนั้นถือโทรศัพท์แนบหู “คือคุณจะลาออกเหรอครับ นักศึกษา” [เอ่อ คือหนู...เอ่อ คือหนู] “มีเรื่องไม่สบายใจใช่ไหม ยังไงก็มาพบอาจารย์ก่อนนะ แล้วค่อยคุยกันว่าจะเอายังไง มีทางหนึ่งคือดร็อปเรียนไว้ก่อนถ้าคุณไม่ไหว แต่ถ้าปัญหามันไม่ได้หนักมาก ผมยินดีช่วยคุยกับอาจารย์ท่านอื่นครับ” ปกติแล้วจะมีประชุมภาควิชาเสมอ แน่นอนว่าปัญหานักศึกษาขาดเรียนนั้นต้องถูกเอาเข้าห้องประชุมแน่นอน [เอ่อ ขอบคุณอาจารย์มากนะคะ เอ่อ...นะหนูขอวางสายก่อนนะคะ] คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน เธอพูดเสียงสั่น กระซิบกระซาบราวกับว่ากำลังแอบคุยโทรศัพท์อยู่ “โอเค ถ้างั้นก็...” ติ๊ด! ยังพูดไม่ทันจบเสียด้วยซ้ำ เธอก็วางสายเสียแล้ว ปุณณกันต์มองหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ “มีเรื่องเครียดเหรอคะ” ​ลัลนาเห็นอย่างนั้นก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ เธอเงยหน้าถามคนเป็นสามี ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าเบา ๆ “เหมือนเด็กจะมีปัญหา แต่ไม่อยากบอก แล้วก็จะลาออกด้วย” ฟังดูเหมือนง่าย ก็ให้ลาออกไปให้จบ ๆ แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น หากเด็กนักศึกษามีปัญหา อาจารย์ที่ปรึกษามีหน้าที่ช่วยแก้ปัญหา พยายามพยุงให้นักศึกษาเรียนจบให้ได้ “เหรอคะ คงมีปัญหาจริง ๆ” “งั้นมั้ง เดี๋ยวคงเข้ามาพบแหละ” เขาฉีกยิ้มบาง ๆ ให้กับภรรยาสาว เธอเป็นเพื่อนคู่คิดของเขามาโดยตลอดตั้งแต่แต่งงานกันมาเข้าปีที่เจ็ดนี้ “ค่ะ อย่าเครียดเลยนะคะ” เธอเห็นสีหน้ากังวลของเขา ปุณณกันต์คงกังวลไม่น้อย “ครับ เดี๋ยวเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า” ว่าแล้วก็เลื่อนมือลงกุมฝ่ามือของเธออีกครั้ง จูงมือน้อย ๆ นี้ไปนั่งที่ม้านั่ง “กินอะไรครับ ผมสั่งให้” “เอา...กะเพราไก่ค่ะ” “ไข่ดาวสุกนะ” “ค่ะ” เขาพยักหน้ารับก่อนจะไปสั่งอาหารให้เธอ ปุณณกันต์ดูแลเธอได้ดีอย่างกับเป็นเจ้าหญิง เขาดูแลทุกคนได้ดีเสมอ เธอรู้ดีด้วยวิชาชีพของเขาด้วย หญิงสาวเท้าคางมองแผ่นหลังหนาไม่วางตา โดยที่เขาเองก็หันมามองเธออยู่บ่อยครั้ง ...ลัลนาสวมชุดเดรสยาวคลุมเข่า เธอสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่ ใบหน้าสวยเฉี่ยวนั้นเอาแต่มองเขาไม่ละสายตา หันไปทีไรสายตาก็ปะทะกันตลอด อดที่จะยิ้มไม่ได้จริง ๆ เธอเป็นคนสวย สวยในแบบของหญิงไทย ผิวของเธอไม่ได้ขาวมาก ออกไปทางน้ำผึ้งหน่อย ๆ ลายจมูกโด่งรั้นขึ้น รับกับคิ้วโก่งดั่งคันศรธนู เธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มาก มองทีไรก็ไม่น่าเบื่อ สวยเซ็กซี่ตลอดเวลา ยิ่งเวลาอยู่บนเตียงก็ยิ่งเร่าร้อน เธอมีดีที่ผู้ชายคนไหนก็ไม่มีโอกาสได้เห็น ยกเว้นเขาคนเดียว “เอาแต่มองอยู่นั่น จะกินไหมคะข้าวน่ะ” “หึ ก็นาน่ามองนี่ เอานี่ครับ...บรอกโคลี วิตามินเยอะ” “ง่ะ ไม่ชอบกินผักเลย” “น่า...กินหน่อยนะ” เธอหน้ามุ่ยเล็กน้อย ปกติเขาเองก็รู้ว่าเธอไม่ชอบกินผัก แต่เพราะตอนนี้มีลูกก็เลยต้องกินผักเยอะ ๆ “ถ้าผมกินแทนนา นาต้องกินน้ำผมนะ” “ห้ะ...” เธออ้าปากเหวอเล็กน้อย ก่อนจะกะพริบเปลือกตาปริบ ๆ เขานี่มันไม่พ้นเรื่องใต้สะดือเลยจริง ๆ คุณหมอหื่น ลัลนาคิดในใจ “หึ ล้อเล่น แต่มันมีวิตามินนะ” “บ้า...พูดอะไรน่ะ” เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ด้วยความเขินอาย ก่อนจะรีบกินผักที่เขาตักให้ ไม่งั้นก็คงได้รับวิตามินจากตัวเขา “หึ เวลานาเขินน่ารักมาก” ดูสิ...คนยิ่งเขินก็ยิ่งมาชมกัน ลัลนาหน้ามุ่ยพร้อมกับทำหน้าตึงไปด้วย “จะกินไหมน่ะข้าว หืม!” “กินสิค้าบ~” “กินก็ต้องเลิกพูดนะ ไม่งั้น...จะ” “จะ? จะทำอะไรผมครับ” “จิ๊! หยุดเลยรีบกิน” เธอย่นจมูกใส่เขาไปอีกที นอกจากคนเป็นสามีจะดูแลเธอดีแล้ว เขาก็ยังติดนิสัยขี้แกล้งเธออีกด้วย อะไรที่ทำให้เธอรู้สึกเขินอายก็มักจะยกมาพูดเสมอ แต่นี่ก็เป็นสีสันของชีวิตคู่ที่เธอชอบมากเลยทีเดียว... เวลาต่อมา... ลัลนากลับบ้านด้วยรถแท็กซี่ เพราะคนเป็นสามีต้องเข้าทำงาน และวันนี้ก็คงขึ้นเวรอีกวัน ยิ่งขึ้นเวรมาก รับเคสเยอะเขาก็จะมีเงินเยอะมาจ่ายค่าผ่อนบ้าน จ่ายค่าเทอมลูกที่ส่งเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ พอมาถึงบ้านก็รู้สึกเหนื่อยจนอยากจะงีบสักหน่อย แต่ก็ไม่อยากจะทำอย่างนั้น “เฮ้อ...เล่นงานแม่แล้วเหรอลูก” ฝ่ามือบางวางลงที่หน้าท้องที่ตอนนี้ยังไม่นูนเลย คุณหมอบอกว่าท้องได้หนึ่งเดือนแล้ว ลัลนาถอนหายใจออกมายาว ๆ สับสนไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจ เรื่องการมีลูกนี้บอกตรง ๆ เงินไม่พร้อมก็ไม่ควรมี สามีก็ทำงานหนัก ไม่มีเวลาให้ เขาก็เริ่มเครียดด้วย ทางบ้านก็ไม่สนับสนุนเขาอีก แถมคุณปู่ของหนูปันปันยังอยากได้หลานชายมากกว่าหลานสาวอีกด้วย “เฮ้อ...” เธอพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะคว้าเอาโทรศัพท์มาโทรหาเพื่อน ซึ่งรอไม่นานอีกฝ่ายก็กดรับ [ว่าไงวะ] เพื่อนวิศวะฯ ของเธอส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ลัลนาเป็นวิศวกรโยธา แน่นอนว่าเธอมีแต่เพื่อนผู้ชายที่ปรึกษาไม่ค่อยได้เท่าไรนัก “คืองานที่ถามไว้น่ะ คงไม่ได้ไปทำแล้วนะ” [อ้าว! กูบอกหัวหน้าไว้แล้วนะเว้ยนา] “คือว่า...ฉันท้อง” [ห้ะ...] “เออ ท้องเลยไม่ได้ทำงานแล้ว ขอโทษนะนันต์” [โธ่ อยากให้มึงกลับมาทำงานว่ะ คนเก่ง ๆ จะอยู่บ้านเลี้ยงลูกไปถึงไหนวะ] “แหม ก็แกไม่ยอมมีเมีย มีลูกก็ไม่เข้าใจหรอก” อนันต์เป็นเพื่อนเธอมาตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย จนตอนนี้อายุสามสิบห้าแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมแต่งงาน [หึ ชีวิตโสดสนุกจะตาย ไม่ต้องปวดหัวกับเมีย ไม่ต้องมีลูกให้ส่งเงินให้] “_” คราวนี้เธอพูดไม่ออกเลยทีเดียว มันจริงทุกอย่าง การมีครอบครัวต้องสูญเสียอะไรหลายอย่าง กระนั้นถ้าให้เธอเลือกก็เลือกที่จะแต่งงานกับเขาและมีลูกที่น่ารักแบบนี้เหมือนเดิม [เออ ๆ แค่นี้แหละ ไว้ไปหาก็แล้วกัน] “อือ มาบ่อย ๆ ก็ดีนะ เหงาอะ” [เหงา? แล้วผัวหมอมึงอ่า ชมดีนักว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วทำไมไม่อยู่กับผัวล่ะ] เพื่อนของเธอนั้นฮาร์ดคอเสมอ ไม่เคยอ่อนโยนเลยสักครั้ง “แกก็รู้ว่าหมอเขาทำงานหนักแค่ไหน ค่าใช้จ่ายก็เยอะด้วย” [เออ ๆ เข้าข้างผัวตลอด ระวังผัวจะไปมีเมียน้อยก็แล้วกัน] “บ้า พูดอะไรของแก หมอไม่ได้เจ้าชู้เหมือนแกนะ” [หึ ก็ไม่แน่หรอกนะ สันดานผู้ชาย แถมไม่ค่อยได้เจอกันอีก] ลัลนาได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับส่ายหน้า ไม่ชอบให้เพื่อนชายดูถูกสามีของเธอเลย ไม่ให้เกียรติสามีของเธอแม้นแต่นิดเดียว หญิงสาวเชื่อมั่นในตัวของคนเป็นสามีอย่างกับอะไรดี เธอไม่เคยคิดว่าเขาจะหักหลังเธอแม้นแต่วินาทีเดียว ...วางสายจากเพื่อนไปได้ไม่นานก็ถึงเวลาไปรับลูก ที่บ้านมีรถอยู่สองคัน มีรถของสามีที่เขาขับออกไปทำงานเป็นประจำ และรถของเธอที่ซื้อไว้ตั้งแต่สมัยยังทำงานอยู่ โชคดีที่รถทั้งสองคันนี้ผ่อนหมดแล้ว หญิงสาวขับรถมารับลูกที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากบ้านของเธอเท่าไรนัก เป็นโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมแพงมากที่สุดในประเทศ เธอพยายามบอกเขาแล้วว่าอย่าทำอะไรเกินตัว แต่คนเป็นสามีก็เชื่อมั่นว่าตนจะหาเงินส่งลูกเรียนได้ ด้วยความที่อยากให้ลูกสาวได้เรียนโรงเรียนดี ๆ เหมือนกับตนที่เคยเรียนมาตั้งแต่เด็ก “มารับหนูปันปันอนุบาลสามค่ะ” เธอเอ่ยปากบอกครูเวรหน้าประตูโรงเรียน ก่อนที่ครูสาวจะหันมาบอก “โอเคค่ะ เดี๋ยวไปตามให้นะคะ คงเล่นอยู่กับเพื่อน เอ่อ...ว่าแต่คุณแม่สนใจให้หนูปันปันเรียนพิเศษกับทางโรงเรียนไหมคะ ตอนนี้เรามีโปรโมชันพิเศษอยู่นะคะ” “เรียนพิเศษเหรอคะ” เธอทำสีหน้าแปลกใจ เด็กสมัยนี้เรียนพิเศษกันตั้งแต่อนุบาลสามกันเลยทีเดียว “ใช่ค่ะ” “โห เรียนกันไวมากเลยค่ะ ว่าแต่โรงเรียนค่าเทอมแพงขนาดนี้ยังมีเรียนพิเศษอีกเหรอคะ” “อ้อ อันที่จริงทางโรงเรียนไม่ได้มีนโยบายนี้หรอกค่ะ แต่ว่าทางผู้ปกครองของเด็กน่ะสิคะอยากให้มีสอนพิเศษหลังเลิกเรียนด้วย เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กบางคนก็ยังไม่เลิกงานกันเลยอยากฝากลูกไว้กับครูสอนพิเศษต่อน่ะค่ะ” ลัลนาพยักหน้าเข้าใจ โรงเรียนระดับนี้พ่อแม่ผู้ปกครองก็คงมีงานการที่ต้องรับผิดชอบสูง แต่แล้วอยู่ ๆ ก็คิดอะไรดี ๆ ออก “แล้วทางโรงเรียนสอนราคาเท่าไรยังไงคะ” เธอแอบสอบถามราคา เพราะตนนั้นได้ไอเดียใหม่ ถึงจะท้องอยู่แต่ก็ยังพอสอนหนังสือเด็กเล็กได้ ไหน ๆ ก็เลี้ยงลูกอยู่แล้ว เอาความรู้ที่ตนมีมาสอนหนังสือง่าย ๆ ให้เด็กดีกว่า “ประมาณสองหมื่นบาทต่อคอร์สค่ะ วันละสองชั่วโมงหลังเลิกเรียน” “อ้อ...โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอฉีกยิ้มให้คุณครู ก่อนที่ครูสาวจะไปตามลูกสาวมาให้ ซึ่งไม่นานหนูปันปันก็วิ่งหน้าตั้งมาหา “คุณแม่!!” เสียงร้องเรียกของลูกสาวนั้น เหมือนกับกระดิ่งบอกเวลาแห่งความสุข หนูน้อยวัยย่างหกขวบวิ่งหน้าตั้งมาหา “อย่าวิ่งสิลูก! เดี๋ยวก็ล้มกันพอดีหรอก!” ลัลนาเป็นห่วงลูกสาว แต่หนูน้อยเคยเชื่อเธอตั้งแต่เมื่อไร “คิดถึงคุณแม่ที่สุดในโลก!!” พอวิ่งเข้าใกล้ก็ตะโกนบอกอีก หนูปันปันวิ่งมาสวมกอดขาของคนเป็นแม่ “หึ แม่ก็คิดถึงหนูที่สุดในโลก!” ลัลนาย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ให้ความสูงเท่ากันกับลูก ก่อนจะโน้มหน้าหอมแก้มลูกสาวฟอดใหญ่ “แม่มีข่าวดีจะบอกนะ” “ข่าวดีอะไรคะ” เจ้าหนูเอียงคอสงสัย ข่าวดีที่ว่านั้นคือข่าวอะไร ทำไมแม่มีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกับกำลังดีใจอะไรบางอย่าง “หนูกำลังจะมีน้องจ้ะ” “น้อง? แม่กำลังจะมีน้อง” เด็กหญิงเอ่ยพูดตามคนเป็นแม่ กะพริบเปลือกตาปริบ ๆ ไม่ได้แสดงออกว่าดีใจอย่างที่คนเป็นแม่คาดหวัง ราวกับลูกสาวไม่ได้อยากมีน้องอย่างไรอย่างนั้น...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม