14
“แล้วจะไม่ออกตามหาแล้วรึ” เขาเพิ่งนึกได้ เห็นญาติผู้พี่หยุดและครุ่นคิดอยู่นั่น คงไม่ใช่ว่าเขาเผยบางอย่างให้อีกฝ่ายรู้แล้วนะ ทบทวนความคิดของตนก็หาได้เปิดโปงนี่นา
“ข้าเพิ่งนึกได้ อีกไม่กี่วันคณะราชทูตจะเดินทางมาถึง” เขาก็ต้องออกไปต้อนรับด้วยเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะมาไม้ไหนกันแน่ แว่วมาว่ามีองค์รัชทายาทมาด้วยองค์เอง
“พวกแคว้นฉู่ล้วนป่าเถื่อนนัก” เขายังไม่รู้ว่าเจ้าฝาแฝดสองพี่น้องจะร่วมลงแข่งขันด้วย หากรู้เขามีหวังพวกเขาคงนั่งไม่ติดเป็นแน่
“ป่าเถื่อนไร้อารยธรรมข้าหาได้หวาดกลัวไม่” จ้าวหย่งคังควบม้าเดินทางกลับจวน เขาคิดได้เพียงแค่ว่าอีกไม่นานจะต้องพบนางเป็นแน่ ลางสังหรณ์นี้ค่อนข้างจะแม่นยำนัก
“มีเหล่าสำนักศึกษาหลวงส่งเด็ก ๆ ร่วมแข่งขันด้วยนะสิ” หลิวมู่ฉวนขมวดคิ้วเข้าหากัน
“แล้วอย่างไร” เขาไม่เคยรู้อันใดสักอย่าง เกี่ยวกับภรรยาและลูก ๆ ทั้งสอง เพราะเขาไม่เคยเหลียวแลภรรยามาหกปี
“พรุ่งนี้ก็เป็นวันชิวอิกแล้ว จวนก็วุ่นวายพอสมควร ข้าคิดว่าจะกลับไปหาท่านพ่อสักวันสองวัน” มู่ฉวนเฉไฉเปลี่ยนเรื่องทันใด นั่นก็เพราะอดสมเพชญาติผู้พี่ไม่ได้ เขาไม่รู้หรือว่าแกล้งโง่กันแน่ เด็กฝาแฝดนั่นเก่งกาจนัก ทำให้ท่านอาจารย์ใหญ่ออกปากชมเชยไม่ใช่เรื่องง่าย
เขาละอ่อนอกอ่อนใจพี่ชายคนนี้เสียเหลือเกิน เวลาเปลี่ยนคนย่อมเปลี่ยน แต่พี่ชายคนนี้ดูเหมือนกำลังถอยหลังลงไปอยู่ในคลองที่เต็มไปด้วยน้ำเน่าอย่างแม่นางถังม่านชิงนั่น
“ข้านึกไม่ถึงว่า ที่จริงแล้วหรงเอ๋อร์ทำงานหนักมาตลอด เป็นข้าเองที่ไม่เคยดูแลนาง ยังทำตัวต่ำทรามอีก” เขาเริ่มพูดความผิดของตนเอง
“สายไปแล้วละนะ ในเมื่อทุกอย่างมันเป็นเพราะท่าน พี่สะใภ้ข้าคงเจ็บปวดมาก ท่านเพิ่งจะผิดหวังเสียใจแค่วันเดียวเท่านั้น แต่นางเล่า หกปีมาแล้ว หรือมากกว่านั้น ท่านทำอะไรกัน เหลียวแลนางบ้างหรือไม่” มู่ฉวนอยากตบกบาลญาติผู้พี่เสียเหลือเกิน
“วันนี้พวกเราแวะดื่มสุรากันดีหรือไม่ พรุ่งนี้จะได้มีเรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิต” มู่ฉวนเปรี้ยวปาก นั่นเพราะห่างหายสตรีมาหลายปีแล้ว อยากปลดปล่อยเจ้าลูกชายให้เป็นอิสระนัก
“เชิญเจ้าตามสบายเถอะ ข้าไม่มีกระจิดกะใจ อยากร่ำสุรากับสตรี” จ้าวหย่งคังกระทุ้งท้องม้าเบา ๆ พลางจากนั้นก็ควบอาชากลับมายังจวนของตนเองอีกครั้ง
หลิวมู่ฉวนอมยิ้มกริ่มอย่างภูมิใจ ในที่สุดเขาก็ทำให้หน้าที่ท่านอาให้หลาน ๆ ได้บ้าง หลานสาวของเขาน่ารักถึงเพียงนั้น หากมีบิดาบุญธรรมแล้วเป็นคนจิตใจหยาบช้าเล่าจะทำอย่างไร
หลานชายของเขาก็เก่งกาจฉลาดเฉลียวช่างพูดจา ยโสโอหังอีกด้วยเขาชอบใจนัก หลานชายต้องเป็นเช่นนี้ อนาคตย่อมเจริญรอยตามบิดาเป็นแน่ แต่ก็คงไม่โง่งม หลงสตรีเหมือนบิดากระมัง ดูจะฉลาดเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ
ผู้ที่ถูกกล่าวถึงคือสองคนพี่น้อง ตอนนี้กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ข้าง ๆ มารดา ฟางหรงมองเห็นว่าลูกทั้งสองได้หลับแล้ว เพราะลมหายใจเข้าออกดูสม่ำเสมอนัก นางค่อย ๆ ลงจากเตียงนอน มายังอีกห้องหนึ่ง ในห้องนั้นจะมีตำราที่นางเคยฝึกฝนตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ
มารดาของฟางหรงล้างมือในอ่างทองคำมานานแล้ว แต่กระนั้นมิใช่ว่านางจะไม่ได้สอนสั่งบุตรีให้ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ และยังมอบความรู้นั่นโดยสอนให้กับฟางหลินผู้เป็นหลานสาวอีกด้วย
เมื่อก่อนมารดาของฟางหรง เคยอาศัยอยู่ในหุบเขา พื้นที่แห่งนั้นมีแต่สัตว์ป่าที่ดุร้าย ผู้คนจึงหวาดกลัวนัก จนกระทั่งทำให้ท่านแม่ของนาง ได้พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง เกิดเป็นรักแรกพบขึ้นมา ภูมิหลังพื้นเพใด ๆ ล้วนมิเคยกล่าวถึง
สำนักพยัคฆ์ขาว มีความเป็นมาอย่างไร เกี่ยวข้องอย่างใดกับราชสำนัก ผู้คนภายนอกล้วนไม่เคยรู้จัก ทุกสิ่งทุกอย่างเก็บเป็นความลับอยู่ในหุบเขาไป๋หรง
ฟางหรงหยิบตำราที่มีแต่ฝุ่นเกาะ นางยกขึ้นมาพลางเป่าเบา ๆ เพียงแค่นั้นก็เป็นอันว่าใช้ได้ อาชุนยังคงไม่นอน นางดูแลเจ้านายอยู่ในห้อง จากนั้นสาวใช้จึงได้จุดตะเกียงน้ำมันและโคมไฟ เพื่อให้มีแสงสว่างเพียงพอ
“อีกไม่กี่วันจะมีงานต้อนรับคณะราชทูต หากคุณหนูร่วมแข่งขันด้วยจะดีหรือเจ้าคะ” อาชุนกล่าวถาม พลางรินน้ำชาให้นายสาวของตนเอง
“ลูก ๆ ของข้าพวกเขาอยากเห็นข้ายืนอยู่บนเวทีประลอง” ไป๋ฟางหรงไม่อาจทำให้ลูก ๆ ผิดหวัง นางจะต้องรื้อฟื้นวิชาต่าง ๆ ในเวลาระยะสั้น ๆ ก็พอจะทำได้อยู่ แม้จะไม่ได้ฝึกฝนมาหลายปีแล้วก็ตาม มันคงไม่เกินความสามารถของนางกระมัง
“ถ้าสมมุติว่าเจอท่านแม่ทัพจะทำอย่างไร” อาชุนถามขึ้นอีกครั้ง เกรงว่าจะเกิดความบาดหมางจนกลายเป็นเหตุทะเลาะวิวาท ด้วยเพราะแม่ทัพจ้าวช่างเป็นชายหนุ่มฝีปากจัดจ้าน อีกทั้งยังเลี้ยงสุนัขเอาไว้ในปากหลายตัวทีเดียว
“เจอก็ไม่เป็นอันใด ในเมื่อข้ากับเขาตัดขาดกันแล้ว” ฟางหรงระบายยิ้มอ่อน จิบน้ำชาแล้วเปิดตำราหน้าแรก ก็ค่อย ๆ เริ่มฝึกฝนตั้งแต่พื้นฐานขั้นแรกเสียด้วยซ้ำไป
“และหากท่านแม่ทัพเป็นคู่ประลองกับคุณหนูเล่าเจ้าคะ” นางก็คิดไปใหญ่ มีหวังท่านแม่ทัพทำร้ายคุณหนูเพราะความแค้นส่วนตัวจะทำเช่นไร
ฟางหรงยิ้มเหี้ยมขึ้นมา แววตาเป็นประกายวาววับ มุมปากกดยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย น้ำเสียงแน่วแน่หาได้เหมือนฟางหรงที่อ่อนแอขี้โรคคนนั้นไม่ ตอนนี้นางเปลี่ยนไปแล้ว
“ก็ถือว่าข้าจะได้แก้แค้นให้สาสม ข้ากลัวเสียที่ไหนกันเก่งจริงก็ลองดูสิ! ข้าจะถลกหนังมาทำพรมเช็ดเท้า!”
ยามดึกดื่นค่อนคืน ฟางหรงกำลังฝึกฝนวรยุทธ์ที่นางละทิ้งไปตั้งแต่สิบห้าหนาว จวบจนถึงตอนนี้ที่นางไม่เคยจะจับมันอีกครั้งก็ผ่านมาหลายปี ตอนนี้อายุของนางก็ยี่สิบสาม เป็นหม้ายหย่าร้างตั้งแต่สาวสะพรั่งทีเดียว
เดิมทีนางเตรียมพร้อมเป็นภรรยาที่ดีของเขา อะไรที่ไม่ถนัดล้วนก็ต้องฝึกฝน อาหารทั้งคาวและหวาน นางก็ใช้เวลาเป็นปีฝึกฝนและหมั่นปรุง จนทำให้นางทำอาหารได้รสเลิศนัก การเรือนเฉกเช่นเย็บปักถักร้อยนั่น มีหรือดรุณีน้อยเช่นนางจะทำได้กัน
นางค่อย ๆ ลงฝีเข็มจนนิ้วตนเองนั้นถูกเข็มทิ่มแทงจนสะดุ้ง ตกใจออกจะบ่อยครั้ง ล้วนแล้วแต่ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเสียด้วยซ้ำไป สุดท้ายสิ่งที่นางทุ่มเทนั้นได้ตอบกลับมาด้วยความชิงชัง และทำให้นางหลั่งน้ำตาออกมาในที่สุด