“มะ ไม่อยากรู้แล้ว...” หญิงสาวเอ่ยออกมาเสียงสั่น ซึ่งเสียงของเธอทำให้อิทธ์ยกนิ้วมือขึ้นดีดหน้าผากของเธอด้วยความหมั่นไส้
ป๊อก!
“โอ๊ย!”
“ทีหลังอย่าอวดดีอีก” ชายหนุ่มพูดออกมาก่อนที่เขาจะก้าวขาลงจากเตียงโดยไม่สนว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเปลือยอยู่ ซึ่งพอเห็นแบบนี้แล้วก็ทำให้ใบหน้าของพัดชาเห่อร้อนขึ้นมาในทันที
อิทธ์เดินไปหยิบผ้าขนหนูก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ซึ่งไม่วายแง้มประตูออกมาเอ่ยแซวหญิงสาวอีกครั้ง
“อาบด้วยกันมั้ย เผื่อเธอสนใจ” พัดชาตาโตขึ้นเธอไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงเพื่อหนีความเขินอายที่เกิดขึ้น ขณะที่คนตัวโตก็หัวเราะออกมาอย่างคนชอบพอในท่าทีของเธอ
ตึกตัก ตึกตัก~
ใจดวงน้อยเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เธอค่อย ๆลดผ้าห่มลงเพื่อมองไปยังห้องน้ำ ก่อนจะพบว่ามันถูกปิดลงแล้ว
พรึ่บ!
หญิงสาวดีดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนที่เธอจะวาดเรียวขาลงจากเตียงแต่ความปวดหนึบที่ช่วงล่างทำให้ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยว พัดชากัดฟันเข้าหากันก่อนที่เธอจะพยายามลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าตัวเดิม พร้อมกับก้าวเดินออกจากห้องของเขาไปกลับเข้าห้องของตัวเอง แต่ก็พบว่ายังไม่มีกุญแจเข้าห้อง
"โอ๊ย! ลืมได้ไง" หญิงสาวร้องออกมาเสียงหลงก่อนที่เธอจะรีบเดินเท้าเปล่าลงไปยังชั้นหนึ่งของอพาร์ทเม้นท์ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก หญิงสาวลืมไปเสียสนิทว่าเธอสามารถขอกุญแจสำรองจากเจ๊ฝ้ายเจ้าของตึกได้
โชคยังดีที่เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ไม่ได้เซ้าซี้ถามเรื่องกุญแจห้อง ซึ่งสายตาของเจ๊เจ้าของตึกที่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้านั้นทำให้พัดชาได้แต่ยิ้มแห้งให้ และหลังจากที่ได้กุญแจมาเจ้าหล่อนก็รีบไขกุญแจเข้าห้องของเธอทันที
ความรู้สึกอับอายเกิดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืน ทั้งการเสนอเป็นเพื่อนนอนของเขา เสียงร้องครางเหมือนคนถูกเชือด รวมถึงเรื่องที่เธอโกหกว่าเธอเคยมีสัมพันธ์เช่นนี้มาก่อน
หญิงสาวอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ทำอะไรได้ในตอนนี้นอกจากทำใจ พัดชาส่ายศีรษะเบา ๆเพื่อสลัดความคิดน่าอายนั้นออกจากหัว ก่อนที่เธอจะก้าวขาเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย
ร่องรอยรักที่เกิดขึ้นทั้งที่ต้นคอ และร่างกายทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างขึ้น หญิงสาวยืนส่องกระจกอยู่นานสองนานและนึกคิดได้ว่าวันนี้เธอคงต้องพักการหางานข้างนอกไปก่อน ซึ่งอาจจะต้องหางานผ่านออนไลน์แทน
ขณะเดียวกันที่อิทธ์ออกจากอพาร์เม้นท์ตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปยังบริษัทแห่งหนึ่ง เขามีคำถามร้อยแปดอย่างถึงการปฏิเสธเข้ารับทำงาน ทั้ง ๆที่บริษัทนี้เป็นฝ่ายติดต่อเขามาเอง
ชายหนุ่มถูกติดต่อเข้ารับพิจารณาทำงานในหลายบริษัทก่อนเรียนจบเสียด้วยซ้ำ แม้ว่ายังไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม เพราะผลการเรียนที่มาเป็นอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทำให้หลายบริษัทสนใจในตัวของเขา หากแต่ว่าพอชายหนุ่มตัดสินใจเลือกไปเขากลับได้รับการปฏิเสธในอีกสองวันต่อมา
ร่างสูงใหญ่ในชุดสุภาพชาย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าคราม และกางเกงสแล็กสีเดียวกันทำให้เขาดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ อิทธ์ใช้เวลาในการเก็บเงินนานกว่าจะได้ใส่เสื้อผ้าราคาแพง เพราะคิดว่าตนจะได้ทำงานในสาขาที่ชอบ แต่พอถูกปฏิเสธมันก็ทำให้เขารู้สึกหัวเสียอยู่ไม่น้อย
“สวัสดีค่ะ ใช่คุณอิทธิกรใช่ไหมคะ”
กึก!
เสียงเรียกของใครบางคนทำให้ร่างหนาหยุดชะงัก เขาเอี้ยวตัวหันไปมองก่อนจะขมวดคิ้วและพยักหน้ารับ
“ได้ยินว่าคุณติดต่อขอคุยเรื่องรับเข้าทำงานกับฝ่ายบุคคล”
“ครับ” เขาตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบ ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเรียบยากกว่าจะคาดเดาว่าภายในหัวของเขานั้นคิดอะไรอยู่
“ค่ะ ฉันเป็นเลขาของประธานบริษัทนะคะ...”
“อ้อ งั้นนั่งคุยก่อนไหม ดูท่าจะยาว” ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์แปลก ๆ ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาไร้การเคารพผู้หญิงตรงหน้า
หน้าห้องโถงชั้นหนึ่งเป็นร้านคาเฟ่ หญิงสาวร่างบางเดินนำหน้าชายหนุ่มเข้าไป ก่อนที่เขาจะนั่งลงที่เก้าอี้พร้อมกับสบสายตากับเธอที่นั่งลงฝั่งตรงกันข้าม
“ฉันชื่อสาริกานะคะ พอดีว่า เราต้องขอโทษที่ไม่สามารถรับคุณเข้าทำงานได้ จริง ๆแล้วมันไม่ใช่หน้าที่ของดิฉันหรอกค่ะ แต่ว่าบอสมีความกังวลในอนาคตก็เลยให้ฉันมาคุย”
“อยากพูดอะไรก็พูดเถอะครับ ผมเริ่มนึกได้ว่ามันมีเหตุผลบางอย่าง...ใช่ไหม”
“ก็ประมาณนั้นค่ะ ทางเราสนใจในโปรเจกต์สุดท้ายก่อนเรียนจบของคุณมาก ก็เลยติดต่อไปโดยไม่ได้ดู...รายชื่อแบล็กลิสต์”
“แบล็กลิสต์?”
“ค่ะ ชื่อของคุณอยู่ในแบล็กลิสต์ของบริษัทในพันธมิตรของเราอย่างจีเอฟกรุ๊ป ยังไงดีล่ะ คือ...”
“ผมเข้าใจแล้วครับ” ชายหนุ่มพูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่เขาจะลุกพรวดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ก่อนที่เขาจะหมุนตัวออกไปด้วยความรู้สึกหัวเสียอยู่นั้น ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะทิ้งคำพูดไว้
“ขอบคุณที่ไม่รับผมเข้าไป เพราะผมไม่ชอบทำงานกับคนโง่” สิ่งที่ออกจากริมฝีปากหนาทำให้เลขาสาวที่ได้ยินผงะหน้าด้วยความตกใจ เพราะไม่นึกว่าสิ่งนี้จะออกจากปากของเขา
อิทธ์เดินออกจากร้านกาแฟด้วยท่าทีหัวเสีย สัญญาณเตือนที่เพียงฝันเพื่อนสาวของเขาได้มาเตือนคงเริ่มทำงานแล้ว ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผมด้วยความรู้สึกอับจนหนทาง เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถไปสมัครงานที่ไหนได้อีก
อีกด้านหนึ่ง
เวลาต่อมา...
-พัดชา-
ฉันยังไม่มีบริษัทไหนติดต่อมาเพื่อรับเข้าทำงานเลย ด้วยเกรดอันน้อยนิดทำให้ฉันต้องมานั่งจ้องหน้าจอโน้ตบุ๊กอยู่ในตอนนี้
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเดอะเกรทฟีเจอร์กรุ๊ปหรือเรียกสั้น ๆว่าจีเอฟกรุ๊ปคือเป้าหมายของหลาย ๆคนที่มุ่งไปสมัคร และแน่นอนฉันคงถูกปัดตกตั้งแต่แรกเพราะยังไงเขาก็คงไม่เลือกฉันหากว่ามีทางเลือกที่ดีกว่า
ด้วยความที่บริษัทนี้เป็นบริษัทอันดับหนึ่งในประเทศที่มีมูลค่าทางการตลาดมากที่สุด ซึ่งได้ข่าวว่าทางบริษัทมีโปรเจกต์สร้างหลายอย่างในอนาคตทั้งที่อยู่อาศัย สถานบันเทิง รวมถึงบริษัทในเครือใหม่ ๆอีกหลายแห่ง และแน่นอนว่ามีการประกาศรับสถาปนิกอยู่ตลอด
ฉันไม่รู้ว่าอิทธ์ได้ที่ทำงานหรือยัง แต่ได้ยินว่าเขาถูกจองตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ซึ่งการที่เขาจะทำเรื่องย้ายออกจากที่นี่มันก็คงเป็นคำตอบที่ดีว่าเขาได้ที่ทำงานแล้ว หรือว่าฉันจะแอบถามเขาก่อน ถึงคราวนั้นค่อยลองสมัครตามเขาดู
ฉันดูคลั่งรักถูกไหม?
ใช่!
คลั่งสุด ๆ เลยล่ะ
แต่ถ้าสมัครตามแล้วฉันจะได้ที่ทำงานไหมนี่ก็อีกเรื่อง ซึ่งพอคิดแบบนี้แล้วก็ทำให้ฉันคิดหนักเหมือนกัน งั้นตอนนี้ฉันควรสมัครมันทุกที่ไปเลย ถ้าได้รับเลือกก็ค่อยเลือกอีกที
คิดได้ดังนั้นฉันก็เริ่มเคาะมือลงแป้นพิมพ์เพื่อสมัครงาน เริ่มที่บริษัทจีเอฟนี่แหละสมัครไปเผื่อฟลุก และก็ตามมาด้วยบริษัทอีกหลายแห่งที่ฉันลองยื่นเรซูเม่ไป
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่ฉันจะทำเสร็จก็ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ที่รอบห้องของฉันเต็มไปด้วยความมืดสนิท
“ไวจัง” ความมืดสนิทรอบกายทำให้ฉันหันไปมองเวลาที่ปรากฏอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊กของฉัน ซึ่งตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนสองทุ่มแล้ว ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย
“เห้อ...” ฉันพ่นลมหายใจออกจากจมูกก่อนจะลุกจากโต๊ะทำงานพร้อมกับเดินออกไปเปิดตู้เย็น ก่อนจะพบว่าไม่มีอะไรให้กินแล้ว
จะว่าไปแล้ว...อิทธ์เงียบจังเลย
ฉันควรไปชวนเขาออกไปหาอะไรกินด้วยกันดีไหม
นั่นสิ...
มีอะไรให้อายอีกไหม...ก็ไม่
คิดได้ดังนั้นฉันก็เลยเดินไปแต่งหน้าที่ตู้กระจก ช่วงนี้ฉันยังคงมีเงินติดกระเป๋าจากการลาออกจากงานพาร์ทไทม์ที่ทำอยู่ ซึ่งฉันได้โบนัสมาก้อนหนึ่ง แต่ถ้ายังไม่ได้งานประจำทำ ฉันก็คงต้องไปหางานพาร์ทไทม์ใหม่ทำ หรือไม่อาจจะเป็นฟรีแลนซ์ออกแบบตึก หรือออกแบบอาคารไว้นำเสนอบริษัทใหญ่ ๆก็น่าจะได้ และถ้าได้ทำร่วมกับอิทธ์...ก็คงดี
ฉันใช้เวลาไม่นานในการแต่งตัว กะว่าจะไปเคาะประตูถามเขานิดหน่อยถ้าเขาไม่ไปก็ไม่เป็นไร...มั้ง
เวลาต่อมา...
ฉันยืนชั่งใจอยู่หน้าห้องของอิทธ์มาร่วมครึ่งชั่วโมง แม้ฉันจะไม่มีอะไรให้เสียแล้ว แต่ความอับอายก็ยังคงมีอยู่ในหัวฉัน
“เอาวะ” ฉันพูดปลุกใจตัวเองก่อนจะเงื้อมือขึ้นหมายจะเคาะประตู ทว่า
“พัดชา…”
“อ๊ะ!...นะ นาย” ฉันสะดุ้งให้กับเสียงทุ้มลึกที่ดังมาจากข้างหลังของฉัน
“ยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนน่ะ”
“ก็...ตอนไหนนะ ตั้งแต่เธอยืนเกาตูดอยู่มั้ง”
“ห้ะ!” สิ่งที่เขาพูดทำให้ฉันยืนอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก ซึ่งเจ้าของคำพูดเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาไขประตูพร้อมกับเปิดเข้าห้องของเขาไป
ยืนเกาตูดอย่างนั้นเหรอ?
กรี๊ดด~ น่าขายหน้าชะมัด ใคร ๆมันก็คันได้ไหมอ่ะ
“เธอจะเข้ามาห้องฉัน?” อยู่ ๆอิทธ์ก็แง้มประตูออกมาเอ่ยถามฉัน ซึ่งสิ่งที่เขาพูดมันทำให้ฉัน...
“ถามไม่ตอบ”
“คะ คือ...ฉันจะชวนนายไปกินข้าว” อิทธ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเอ่ยพูดขึ้น
“จ่ายใครจ่ายมัน?”
“หือ? แน่นอนอยู่แล้ว” ฉันไม่มีปัญหาในเรื่องนี้อยู่แล้ว กินใครกินมันก็จ่ายใครจ่ายมันอยู่แล้ว
“ดี...ขอเปลี่ยนชุดก่อน” ฉันยิ้มกว้างออกมาให้กับคำพูดของเขา วันนี้เขาแต่งตัวดูดีมาก หล่อกว่าชุดนักศึกษาที่เขาเคยใส่อีก
ฉันยืนรออิทธ์ที่หน้าห้องของเขานานพอสมควรก่อนที่เขาจะออกมาจากห้องโดยสวมเสื้อยืด กางเกงสามส่วนธรรมดา และรองเท้าแตะ ซึ่งแค่นี้ก็ชวนมองไม่วางตาเลย
“มาดิ ไม่หิวหรือไง”
“ก็หิวแหละ” ฉันเดินขนาบข้างของเขาไปเรื่อย ๆตามทางเดิน จังหวะการเดินและจังหวะการเต้นของหัวใจของฉันมันสวนทางกันหนักมาก ใจของฉันกระหน่ำเต้นอย่างแรงเลยก็ว่าได้
“เรื่องเมื่อคืน...”
“หือ?”
“ของฉันใหญ่ไหม”
“ห้ะ!” ฉันอุทานออกมาเสียงดังให้กับคำถามของเขา อย่าบอกนะว่าเขาเก็บเอาไปคิดมากขนาดนี้
“ตอบมาสิ”
“อะไรของนายเนี่ย” ฉันยกมือขึ้นลูบต้นคอที่อยู่ ๆเขามาถามอะไรที่มันทะลึ่งแบบนี้ได้ยังไง
“ไม่พูดด้วยละ”
“จะไปไหน!” อิทธ์ตะโกนถามไล่หลังฉันหลังจากที่ฉันรีบเดินนำหน้าเขามา ก่อนที่ฉันจะตอบกลับ
“ไปกินข้าวไง”
“ไม่ไปกับฉัน?”
“กะ ก็ไป”
“ถามแค่นี้ทำเป็นเขิน” ฉันหันหลังให้เขาทันที ก็ดูคำถามของเขาสิมันใช่เรื่องที่จะมาถามไหม แล้วยิ่งไปกว่านั้นภาพของสิ่งที่เขาถามมันกำลังลอยเข้ามาในหัวของฉันไม่หยุดเลย
ให้ตายสิ!
“หึ เธอตลกว่ะ ฮ่า ๆ” ฉันหันหน้าไปมองร่างสูงข้างกาย ซึ่งตอนนี้เขากำลังหัวเราะฉันอยู่ ฉันไม่เคยเห็นอิทธ์มุมนี้มาก่อนเลย ปกติเขาเป็นคนนิ่ง ๆ เหมือนกับว่าคิดอะไรในหัวตลอด แต่เวลานี้ที่เขาหัวเราะ และมองมาที่ฉันมันมีเสน่ห์มาก
เสน่ห์เกินต้านคงเป็นอีกชื่อของเขา
เพราะฉันต้านไม่ไหวแล้วน่ะสิ...