กิ่งแก้ว (3)

3874 คำ
บทที่ 3 จบเพื่อเริ่มต้นใหม่ กลางเดือนสิงหาคม 2564 บรรจบชวนกิ่งแก้วไปเที่ยวบ่อนไก่ชนที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งวันนั้นเองที่ทำให้กิ่งแก้วตระหนักว่าบรรจบเป็นนักพนันตัวยง เขาคุ้นเคยกับเจ้าของบ่อนและคนที่ไปดูการชนไก่ กิ่งแก้วยกมือปิดตาอย่างสงสารสัตว์ที่ถูกนำมาให้ตีกันเพื่อความสนุกของผู้ชมและเพื่อเป็นเครื่องมือการพนัน เสียงเชียร์และท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของบรรจบทำให้กิ่งแก้วมองเขาอย่างงุนงง เขาออกท่าออกทางและตะโกนสุดเสียงเมื่อไก่ตัวที่เขาพนันกำลังเป็นต่อ “เอามันให้ตายไปเลย!... ดีดมันให้จั๋งหนับ!” ดูเหมือนชายหนุ่มกำลังอยู่ในมิติแท้จริงของเขาที่ไม่มีเธอเข้าไปเกี่ยวข้อง กิ่งแก้วกะพริบตาปริบเมื่อเห็นชายเสื้อที่หลุดลุ่ยออกมาจากขอบกางเกงของเขาที่กำลังเต้นแร้งเต้นกา บรรจบใช้เวลาหลายชั่วโมงที่บ่อนไก่ชนแห่งนั้นโดยเขาปล่อยให้กิ่งแก้วนั่งรอที่ลานจอดรถด้านนอก เพราะเธอขอตัวออกจากสนามเมื่อเห็นสภาพของไก่ชนที่เนื้อตัวอาบไปด้วยเลือดจากการถูกเดือยแหลมราวมีดโกนของคู่ต่อสู้ และที่เธอทนไม่ไหวคือความสนุกสนานของผู้ชมที่ส่งเสียงเชียร์ให้ไก่สองตัวห้ำหั่นกัน เกือบห้าโมงเย็น บรรจบเดินออกมาจากสนามไก่ชน เขาไม่พบกิ่งแก้วผู้นั่งรถตู้กลับกรุงเทพฯ ตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่ง เขาโทรศัพท์หาเธอผู้กำลังเดินทาง “ตอนนี้พี่ใกล้ถึงพระราม 9 แล้ว” กิ่งแก้วบอกเขา “อ้าว แล้วทำไมไม่รอกลับด้วยกัน ผมหมดตูดเลยวันนี้ พี่หนีผมไปอย่างนี้ผมไม่มีเงินกินข้าวนะ” “งั้นก็มากินที่ห้องพี่ เดี๋ยวจะแวะซื้อบะหมี่ไว้ให้” กิ่งแก้วบอกเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ก็ได้ รอผมสองชั่วโมง อย่าไปไหนนะ” ใกล้สองทุ่ม กิ่งแก้วได้ยินเสียงเคาะประตู หญิงสาวลุกจากเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวขนาดเล็กในห้องพัก เธอเอื้อมมือจับลูกบิดและหมุนเปิด แล้วเธอก็ต้องตกใจสุดขีดจากแรงกระแทกที่บานประตู มันเปิดผลัวะเข้ามาพร้อมกับร่างของบรรจบที่โผเข้าชกต่อยเธอเป็นพัลวัน กิ่งแก้วไม่มีโอกาสปกป้องตนเองด้วยว่าเธอนึกไม่ถึง “อย่าแหกปากร้องดัง เดี๋ยวผมกระทืบซ้ำให้ตายคาตีนเลย” บรรจบกำมือทั้งสองข้างยืนจังก้าเหนือร่างกิ่งแก้วที่ทรุดลงไปกองที่พื้น เธอนิ่งอยู่ในท่านั้นด้วยความเจ็บ ตกใจ มึนงง เธอไม่คาดคิดและไม่เคยมีความคิดว่าบรรจบจะทำร้ายเธอ “พี่กลับมาก่อนทำไม น่าจะรอผมก่อน อย่าทำอย่างนี้อีกนะ นี่ผมแค่เตือนเท่านั้น” ชายหนุ่มคลายมือที่กำแน่นออกและลดตัวลงนั่งยอง เขามองดูใบหน้าของหญิงสาวที่โหนกแก้มมีเลือดซึม นัยน์ตาข้างหนึ่งของเธอปิดและมีรอยแตกที่หางคิ้ว “พรุ่งนี้ไปทำงานไม่ได้แล้วหน้าเละอย่างนี้ คราวหน้าผมจะระวัง คราวนี้ผมลืมตัวไปหน่อย เดือดมาตั้งแต่อยู่ในรถ คนอะไรหนีผมมาได้ เงินทองก็ไม่ทิ้งไว้ให้ นี่ผมวิ่งจนน้ำมันเกือบหมดถัง มันขึ้นเส้นแดงและส่งเสียงเตือนตลอดทาง โชคดีรถไม่ติดมากเลยมาถึงที่นี่ได้ โอ๋ มานี่มะ ขอรับขวัญให้ชื่นใจหน่อย ผมคิดถึงนะ คนดี” กิ่งแก้วปัดมือบรรจบที่แตะแขนของเธอ เขาตบหน้าเธอเสียงดังเผียะ “อย่าเล่นตัวน่าพี่ ผมเห็นพี่แบบนี้แล้วมีอารมณ์จริงๆ มามะ ขอหอมที” บรรจบเริ่มโลมเล้ากิ่งแก้วและร่วมรักกับเธอบนพื้นห้อง หญิงสาวผู้มีคราบเลือดบนใบหน้ายอมตามความต้องการของชายหนุ่ม ร่างกายของเขามีกลิ่นเหงื่อไคลและกลิ่นเฉพาะตัวที่กิ่งแก้วเริ่มคุ้นชิน เขากระทำต่อเธออย่างโลดโผนจนข้าวของที่วางอยู่บนชั้นเล็กๆ ล้มคว่ำสิ่งของกระจัดกระจายไปทั่ว “ผมหิวแล้ว” ชายหนุ่มใช้แขนที่มีกล้ามเนื้อแข็งเกร็งรัดคอกิ่งแก้วไว้ครู่หนึ่งก่อนดันตัวเธออก กิ่งแก้วหันตัวออกห่างจากชายหนุ่มที่มีเหงื่อโซมร่าง เธอพยุงกายลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะอาหารและยกชามบะหมี่ใส่เตาไมโครเวฟ หนึ่งนาทีที่รอให้อาหารร้อนกิ่งแก้วยืนซึมเหมือนคนไร้วิญญาณ เมื่อเสียงติ๊งดังขึ้น เธอเปิดเตาและยกชามบะหมี่ออกมาวางไว้ให้บรรจบ เขาลุกขึ้นสวมกางเกงอย่างว่องไวและจัดการกินบะหมี่โดยใช้ช้อนตัก เขาบ่นงึมงำว่ามันร้อนเกินไป “ผมไม่ชอบกินของร้อนๆ พี่ไม่เคยจำ” เมื่อบะหมี่ใกล้หมดชาม เขาถามหาน้ำอัดลมยี่ห้อที่เขาชอบ กิ่งแก้วเปิดตู้เย็นและส่งกระป๋องเครื่องดื่มให้เขาซึ่งยกดื่มอย่างพ่อใจ แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “พี่นี่น่ารักนะ อย่าทำให้ผมโมโหอีก ถ้าไปไหนด้วยกันก็อย่าหนีกลับก่อน ถ้าจะกลับต้องบอกผมให้รู้ ไม่งั้นจะต้องโดนอย่างนี้ไปเรื่อย เดี๋ยวพี่ช่วยค่าน้ำมันผมหน่อยได้ไหม ผมตีรถเปล่ามาหาพี่ด้วยความคิดถึง ผมรู้ว่าพี่ก็คิดถึงผมเหมือนกัน ใครจะทำให้พี่ได้อย่างที่ผมทำ ชอบใช่ไหมล่ะ ผมดูหน้าพี่ก็รู้” กิ่งแก้วไม่พูดตอบเขา เธอหันหลังเดินไปเปิดกระเป๋าสตางค์และหยิบธนบัตรใบละ 1,000 บาทสองใบส่งให้เขาโดยไม่พูดอะไร เช้าวันรุ่งขึ้นกิ่งแก้วส่งอีเมลไปถึงสุวดีและนฤมลเพื่อแจ้งขอลาป่วย เธอเก็บตัวอยู่ในห้องตลอดห้าวันเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นใบหน้าที่ฟกช้ำ เธอสั่งอาหารให้ขึ้นมาส่งที่หน้าห้องและโอนเงินจ่ายชำระ เหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกสองครั้งในรอบสามเดือน สุวดีผู้เป็นเลขาฯ สำนักงานไม่ซักถามกิ่งแก้วเมื่อเห็นร่องรอยการถูกทำร้ายที่หลงเหลืออยู่ตามโหนกแก้มและใต้ตาของหญิงสาว สุวดีมีสามีที่มักลงไม้ลงมือกับเธอเป็นประจำ เธอเจ็บปวดและเหนื่อยล้ากับชีวิตของตนเองจนไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของใคร เธอเพียงช่วยกิ่งแก้วให้ได้รับความสะดวกในการลาป่วยตามหน้าที่เลขาฯ สำนักงาน ส่วนนฤมลผู้เป็นหัวหน้ากิ่งแก้วเริ่มสงสัยว่าลูกน้องของเธอกำลังมีปัญหาที่ค่อนข้างร้ายแรง เธอคิดว่าหากกิ่งแก้วขอลาป่วยอีก เธอจะต้องลงมือทำบางสิ่ง แล้วครั้งนี้ในวันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564 กิ่งแก้วส่งอีเมลมาขอลาป่วยหนึ่งสัปดาห์ นฤมลค้นหาแฟ้มที่กิ่งแก้วกรอกข้อมูลไว้ตอนสมัครงาน จากนั้นเธอจัดการกดโทรศัพท์ นายสมชายผู้เป็นบิดาของกิ่งแก้วเป็นผู้รับสาย เธอแนะนำตัวเองว่าเป็นหัวหน้าสำนักงานและแจ้งบอกเขาว่าสามเดือนที่ผ่านมากิ่งแก้วได้ขอลาป่วยมาแล้วสามครั้ง “...และทุกครั้งน้องแก้วกลับมาทำงานด้วยอาการเซื่องซึมและประสิทธิภาพการทำงานลดลง ช่วงที่เขาลาป่วยครั้งที่สามนี่ดิฉันต้องขอให้คนจากแผนกอื่นมาช่วยเพราะมีงานค้างที่ต้องทำให้เสร็จ และคราวนี้เป็นครั้งที่สี่แล้วที่น้องแก้วลาป่วย ดิฉันกำลังประกาศหานักศึกษาฝึกงานให้มาอยู่ประจำเพื่อฝึกให้ทำงานแทน คือดิฉันไม่แน่ใจนะคะว่าจะมีการลาอีกหรือเปล่า ดูเหมือนเขามีปัญหาส่วนตัวบางอย่างที่อาจต้องให้คนในครอบครัวสอบถาม” นฤมลกล่าวชี้แจง “อ้อ อย่างนั้นหรือครับ สองวันก่อนแม่เขาโทรไปคุยกับแก้ว เขาก็บอกเขาสบายดี เขาบอกช่วงนี้งานเยอะเลยไม่ค่อยได้ส่งข่าว เขาบอกเราอย่างนั้น” นายสมชายพูดตอบผู้โทรมาด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังครุ่นคิด เขาพูดต่อ “สองเดือนที่แล้วแม่เขาเล่าให้ผมฟังว่าโทรคุยกับลูก ฟังเสียงเหมือนร้องไห้ แม่เขาถามไปว่าไม่สบายหรือ แก้วตอบว่าเป็นหวัด ลางานนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง นี่ถ้าคุณหัวหน้าไม่โทรมาบอก ผมคงคิดว่าเขาอยู่สบายดี” “คุณพ่อคุณแม่ลองย่องมาดูลูกสาวหน่อยไหมคะ เผื่อมีอะไรที่ผิดปกติมากจะได้แก้ไขทัน คือทางดิฉันก็เป็นคนนอกน่ะค่ะ แม้ว่าจะอยู่ในที่ทำงานเดียวกัน แต่มันมีขอบเขตอยู่” นฤมลชี้แจงเหตุผล “คือถ้าทางดิฉันจะไปหาเขา ตามมารยาทแล้วจะต้องบอกล่วงหน้า ดิฉันเชื่อว่ากิ่งแก้วคงปฏิเสธการเยี่ยม ดิฉันจึงอยากขอให้ทางครอบครัวน้องแก้วมาช่วยดูหน่อยนะคะ ดิฉันเป็นห่วงเขาค่ะ” “ครับ ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับคุณหัวหน้า เดี๋ยวผมกับลูกชายจะขับรถไปดูเขาครับ” ช่วงบ่ายวันนั้นรถปิ๊กอัปทะเบียนจังหวัดนครสวรรค์ก็เข้าไปจอดที่ใต้ถุนอาคารแปดชั้นของอพาร์ตเมนต์รุ่นเก่าที่กิ่งแก้วเช่าพักอยู่ ชายสามคนและหญิงวัยห้าสิบกว่าหนึ่งคนก้าวออกมายืน พวกเขาพากันชี้รถของกิ่งแก้วในช่องจอด ยามสูงอายุคนหนึ่งเขม้นมองมาอย่างสนใจ นายสมชายเดินไปหายามผู้นั้นและแนะนำตัว “ผมเป็นพ่อน้องแก้ว อยู่ชั้น 3 ห้องเบอร์ 306 นี่พี่น้องเขาสองคน นี่แม่เขา พวกเราขอขึ้นไปหาลูกหน่อยนะครับ” “ได้ครับ น้องคนนี้ไม่ได้ออกจากห้องมาสองวันแล้วตั้งแต่มีเรื่อง” ลุงยามตอบคำนายสมชายก่อนชี้มือไปที่บันได “มีเรื่องอะไรกันหรือ พ่อคุณ” เสียงนางชม้อยถามขึ้น นางเดินมาตรงหน้ายามสูงอายุ “อ้าว นี่ทางบ้านไม่รู้หรือ เขาถูกซ้อมจะแย่ ดีที่ผู้จัดการพาตำรวจขึ้นไปช่วยไว้ เห็นว่าจะเรียกรถพยาบาล แต่น้องเขาบอกไม่ต้อง” “ตายแล้ว ลูกแม่!” นางชม้อยอุทานพลางยกมือทาบอกอย่างตกใจสุดขีด “ไม่ถึงตายครับ ยังสั่งอาหารขึ้นไปกินได้ ผมเองก็คอยดูไม่ให้ไอ้คนที่ก่อเรื่องนั่นมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ ผู้จัดการเขาสั่งไว้” “ใครกันเหรอครับ คุณลุง” ชายหนุ่มน้องชายของกิ่งแก้วถามเสียงเข้ม “ก็แฟนเขาน่ะซีครับ ขับแท็กซี่ มาจอดหาน้องตอนค่ำบ้าง ดึกบ้าง วันเสาร์รับกันไปเที่ยวค้างคืน บางทีคนข้างห้องก็มาคุยกันว่าได้ยินเสียงซัดกันผัวะเผียะ ทีนี้เมื่อสองวันก่อนผมเห็นน้องออกไปกับเขาตอนเช้า ตอนเย็นเดินกลับมาคนเดียว พอถึงหัวค่ำแฟนเขาก็เอารถเข้ามาจอดพรวดแล้ววิ่งขึ้นบันไดไป ผมมองเห็นก็นึกว่าคงงอนกันให้แฟนตามมาง้ออะไรแบบนั้น เขาหายขึ้นไปสักชั่วโมงกว่าก็ลงบันไดมา ตอนนั้นผู้จัดการพาตำรวจขึ้นลิฟต์สวนขึ้นไปแล้ว พักหนึ่งผู้จัดการก็ลงมาสั่งผมไว้ว่าหากแท็กซี่คันนั้นมาที่นี่อีกให้ไล่ไป หรือหากน้องเขาไปแจ้งความแล้วก็ให้เรียกตำรวจจับมันได้เลย แต่มันเหมือนจะรู้แกว ไม่เห็นโผล่มา” “โอย ฉันจะเป็นลม” นางชม้อยทำท่าจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ลูกชายสองคนรีบเข้ามาประคอง ครู่หนึ่งทั้งหมดก็พากันขึ้นไปยังชั้น 3 และเดินไปยังห้องพักหมายเลข 306 น้องชายกิ่งแก้วเคาะประตูเบาๆ และส่งเสียงเรียก “พี่แก้ว แม่กับพ่อมาหาแน่ะ พี่แก้ว” กิ่งแก้วมองผ่านตาแมวบนประตูก็เห็นคนในครอบครัวเธอยืนอยู่ที่นั่น เธอคงไม่อาจขับไล่พวกเขาไปได้แม้ว่าเธอจะไม่อยากให้พ่อแม่และพี่น้องได้เห็นสภาพใบหน้าที่มียังมีรอยเขียวช้ำ ลำคอมีรอยแดงจางๆ นอกเหนือจากแผ่นอกและต้นแขนสองข้างที่มีสีม่วงคล้ำซึ่งเธอสวมเสื้อเชิ้ตปิดบังไว้แล้ว “แก้วเอ๊ย เป็นไงบ้างลูก เปิดประตูหน่อยซิ” “ไอ้แก้ว แม่เขาปวดฉี่ อยากเข้าห้องน้ำ เปิดประตูเร็วๆ” ผู้เป็นพี่ชายพูดเสียดัง อึดใจหนึ่งประตูห้องหมายเลข 306 ก็เปิดออก กิ่งแก้วยกมือไหว้พ่อและแม่ซึ่งรีบก้าวเข้าไปหาเธอ ทั้งสองเพ่งมองใบหน้าลูกสาว พี่ชายและน้องชายของเธอยืนทำท่าละล้าละลังอย่างไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร กิ่งแก้วพยักหน้าให้ชายหนุ่มทั้งสอง “โด้เป็นไงบ้าง พี่เต้เข้ามาเถอะ แม่จะฉี่ใช่ไหม มาเข้าห้องน้ำทางนี้” นายสมชายเดินตามกิ่งแก้วขณะที่เธอหันหลังก้าวเลี่ยงไปทางตู้เย็นแล้วพูดโดยไม่มองหน้าบิดา “เดี๋ยวแก้วยกน้ำไปให้ที่โต๊ะ พ่อไปนั่งเถอะ” “แก้ว!” นายสมชายจับบ่าลูกสาวให้หันมามองหน้าเขา กิ่งแก้วเปิดตู้เย็นค้างไว้ “แก้ว!” บิดาเธอเรียกซ้ำ เขาเอื้อมมือไปผลักประตูตู้เย็นให้ปิดจากนั้นจึงดึงแขนกิ่งแก้วออกมาจากมุมแคบของห้องพัก “มานั่งตรงนี้และบอกพ่อหน่อยซิว่ามีเรื่องอะไร” นายสมชายพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ เขาเลื่อนเก้าอี้ที่โต๊ะออกมาและชี้ให้กิ่งแก้วนั่ง นางชม้อยเขยิบเข้ามานั่งเก้าอี้อีกตัวหนึ่งขณะที่ชายสามคนยืนอยู่ด้านข้างเพราะห้องนั้นมีเก้าอี้เพียงสองตัว กิ่งแก้วอ้ำอึ้งอยู่พักใหญ่ก่อนจะเล่าให้คนในครอบครัวฟังคร่าวๆ ถึงเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อหกเดือนที่แล้วจนมาถึงวันนี้ เธอปิดปังรายละเอียดบางสิ่งไว้เพราะเธอรู้ว่าครอบครัวเธอคงรับไม่ได้ในพฤติกรรมของเธอ นางชม้อยใช้มือข้อนอกครั้งแล้วครั้งเล่าขณะที่ฟัง “โธ่ ลูกเอ๊ย ทำไมถึงเคราะห์ร้ายอย่างนี้” นางชม้อยอุทานขณะเก็บความคิดไว้ในใจว่าทำไมลูกสาวถึงใจง่ายไปคบหากับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า แถมเพิ่งรู้จักกับเขาไม่นานก็ยอมเสียสาวให้เขาไปแบบไร้ราคา นางกล้ำกลืนความรู้สึกอยากจะฟาดกิ่งแก้วซ้ำเพื่อสั่งสอน แต่เมื่อมองเห็นสภาพของหญิงสาวที่นั่งคอตก ไหล่ลู่ นัยน์ตาโศก นางก็ได้แต่นิ่งและเตือนตนเองให้สงบปากคำไว้ “แล้วไปแจ้งความหรือยัง ไอ้แก้ว” พี่ชายคนโตโพล่งถามขึ้น กิ่งแก้วสั่นศีรษะ “ช่างมันเถอะ คงจบกันแค่นี้ แก้วบล็อกเบอร์ บล็อกไลน์มันแล้ว ไม่ให้มันติดต่อมาอีก” เธอพูด “แล้วถ้ามันไปดักรอที่ทำงานจะทำอย่างไร” นายสมชายถามขึ้น “พี่แก้วเอาปืนไหม โด้หาให้” น้องชายของเธอพูดอย่างคะนองปาก “อย่ายุ่งเชียวนะ โดโด้ คนไหนพกปืนมันก็อยากจะใช้ด้วยกันทั้งนั้น หาเรื่องติดคุกกันเสียแล้วไหมล่ะ” นางชม้อยหันไปหยิกลูกชายคนเล็กเป็นเชิงห้ามปราม กิ่งแก้วถอนหายใจยาว เธอมองพ่อ แม่ พี่ชายและน้องชายที่อยู่รอบตัวเธอ “แก้วขอโทษทุกคนนะที่ทำตัวไม่ดี แก้วจะเริ่มต้นใหม่” “แก้วกลับไปอยู่บ้านเราดีไหม ช่วยพ่อกับแม่ขายของ ตอนนี้พ่อหัวเข่าไม่ดี ยืนนานไม่ไหว แม่เขาก็เลือดจะไปลมจะมา ไม่ค่อยปกติเท่าไร แก้วมาอยู่ใกล้พ่อใกล้แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง อยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้อุ่นใจดี มีอะไรจะได้ช่วยกันจัดการ อย่ากลับไปทำงานที่เก่าเลย เดี๋ยวมันไปดักเจอตอนเย็น ถ้าแก้วไม่พูดกับมัน มันอาจทำร้ายแก้วมากกว่านี้ พ่อไม่รู้นะว่ามันแค่พนันไก่ชนหรือมันติดพนันอย่างอื่นด้วย มันอาจใช้ยาเสพติดบางตัวที่สักวันหนึ่งมันจะควบคุมตัวเองไม่ได้ พ่อเห็นข่าวทุกวันเรื่องคนหลอนยาแล้วฆ่าคนอื่นตาย พ่อไม่อยากให้แก้วโชคร้ายขนาดนั้น” หญิงสาวนิ่งเงียบ ตลอดสองวันที่ผ่านมาเธอครุ่นคิดตลอดเวลาว่าเธอคงไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมได้อีก ทุกครั้งที่บรรจบทำร้ายร่างกายเธอ เขาจะหายหน้าไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเขาจะส่งข้อความ ส่งสติ๊กเกอร์น่ารัก และโทรศัพท์พูดคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงงอนง้อ แล้วกิ่งแก้วก็ใจอ่อนยอมเปิดห้องต้อนรับเขาอีกครั้ง บรรจบจะโผล่หน้าเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและขนมอร่อย พอครึ่งชั่วโมงผ่านไปเขาเริ่มโลมเล้าเอาใจหญิงสาวด้วยสัมผัสที่เธอไม่อาจปฏิเสธ เธอยอมตนตกอยู่ในวังวนของความสัมพันธ์อันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้นับร้อยวัน เธอจำยอมจ่ายเงินให้เขาไปทุกครั้งเมื่อเขาขอ คำที่เขาชอบอ้างกับเธอคือ “ช่วยค่าน้ำมันรถผมหน่อย ช่วงนี้โควิด ผมไม่ได้ผู้โดยสารเลย” แต่คราวนี้เขาไม่ทันได้กล่าวขอเงินเพราะเขารีบออกจากห้องไปหลังจากเห็นเธอคว้าโทรศัพท์เข้าห้องน้ำล็อกประตู “ไปหาอะไรกินกันดีไหม โด้หิว” ลูกชายคนเล็กของนางชม้อยเอ่ยขึ้น เขาอายุ 25 ปี มีลูกชายอายุสองขวบและภรรยาเขากำลังตั้งท้องลูกคนที่สอง “สั่งขึ้นมากินบนนี้ก็ได้” กิ่งแก้วบอกน้องชาย เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นและถามทุกคนว่าต้องการกินอะไร เมื่อได้รับคำตอบครบถ้วนแล้วเธอจึงกดโทรศัพท์สั่งและโอนเงินที่เหลือติดก้นบัญชีไม่มากนักชำระค่าอาหาร “ชีวิตเดี๋ยวนี้มันสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนเยอะนะ” นายสมชายรำพึง เขามองไปรอบๆห้องพักเล็กๆ ของลูกสาวและถอนใจ กิ่งแก้วมองตามสายตาบิดา ห้องพักนี้เคยให้ความสุขสบายแก่เธอมาตลอดสามปี ซึ่งก่อนหน้านี้เธอใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียว ตื่นเช้ามาเธอชงกาแฟดื่ม กินขนมปังสองชิ้น อาบน้ำ สวมใส่เสื้อผ้าที่ถูกใจแล้วขับรถไปทำงาน เธอทักทายนฤมลและสุวดีจากนั้นก็เข้านั่งประจำที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานอันกว้างขวาง เธอศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ จากอินเทอร์เนตและนำมาประยุกต์ใช้กับการเก็บข้อมูลต่างๆ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี จนกระทั้งหกเดือนที่ผ่านมาหลังจากที่เธอเชื้อเชิญบรรจบให้เข้าสู่ชีวิต “แก้วตัดสินใจดีๆนะลูก ถ้าจะอยู่ที่นี่ต่อ แม่ว่ามันอันตราย ไอ้ระยำนั่นมันคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้แหละ ถ้ามันไม่มีเงินใช้มันก็ต้องหาทางเข้ามาขอเงินแกอีก แกเองก็...” นางชม้อยยั้งปากไว้ทันก่อนจะพูดคำว่าใจง่ายและคำอื่นๆ ที่เตรียมพรั่งพรูออกไป แล้วกิ่งแก้วก็ตัดสินใจ... ปลายปี 2565 กิ่งแก้วกำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกกับสุทัศน์-สามีวัยสามสิบ ทั้งสองแต่งงงานกันมาแล้วสี่เดือนท่ามกลางความยินดีของพ่อแม่พี่น้องและหมู่ญาติที่ตั้งร้านค้าอยูในตึกแถวเดียวกัน ปลายปีที่แล้วกิ่งแก้วลาออกจากงานที่สำนักบริการข้อมูล เธอคืนห้องเช่าที่อพาร์ตเมนต์และกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่จังหวัดนครสวรรค์ พ่อของเธอออกทุนเซ้งร้านให้เธอขายอุปกรณ์กีฬา ซึ่งช่วงแรกกิ่งแก้วต้องเรียนรู้การค้าขายจากพี่ชายทั้งสองและน้องชายที่ผลัดกันมาช่วยจัดการให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น นางชม้อยมักเดินไปมาระหว่างร้านของนางกับร้านของลูกๆ และมักงีบหลับอยู่หลังร้านของลูกคนใดคนหนึ่ง ก่อนหน้าที่กิ่งแก้วจะเข้าพิธีแต่งงาน พี่ชายของเธอได้แนะนำชายหนุ่มผู้หนึ่งให้มาเป็นคู่ค้ากับ “ร้านกิ่งแก้วพาณิชย์” สุทัศน์เป็นเป็นรองผู้จัดการโรงงานผลิตรองเท้าผ้าใบซึ่งเริ่มส่งสินค้าให้ร้านของกิ่งแก้วเป็นประจำ เต้วางแผนให้น้องสาวและสุทัศน์พูดคุยกันเรื่องธุรกิจ ซึ่งกิ่งแก้วเองก็รู้ตัวว่าพี่ชายทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เธอและชายร่างเตี้ยผู้นี้สนิทสนมกัน สุทัศน์เป็นชายร่างเตี้ยผู้มีนิสัยรื่นรมย์ เขายิ้มง่าย หัวเราะได้กับทุกเรื่อง เขาช่วยกิ่งแก้วต่อรองราคากับผู้ส่งสินค้ารายอื่นหากเขาอยู่ตรงนั้น หลายครั้งที่เขาแวะมาช่วยกิ่งแก้วขายของในเวลาเย็น เขาพูดจาแนะนำลูกค้าให้เข้าใจคุณสมบัติพิเศษของรองเท้ากีฬาแต่ละชนิด พ่อและแม่ของกิ่งแก้วต่างออกปากชมเชยชายหนุ่มผู้นี้และให้ท้ายกิ่งแก้วอย่างออกหน้า “เขามีเงินเดือนกิน แล้วเขาก็นิสัยดี อย่าไปรังเกียจว่าเขาตัวเตี้ย หน้าตาเขาก็ใช้ได้นะแก้ว” นายสมชายใช้ศอกสะกิดลูกสาวขณะที่เข้าไปดูความเรียบร้อยให้เธอในร้าน ในเวลานั้นสุทัศน์กำลังลงจากรถปิ๊กอัปสองตอนพร้อมของฝาก เขาโบกมือให้กิ่งแก้วและยกมือไหว้นายสมชาย หนุ่มสาวทั้งสองต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นไม่นานสุทัศน์ก็ให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอหญิงสาวผู้ชอบสวมกางเกงและใส่เสื้อตัวหลวมเป็นประจำ ทั้งสองแต่งงานกันอย่างมีพิธีรีตอง สุทัศน์มีบ้านพักที่โรงงานและมาอยู่ที่ร้านกับกิ่งแก้วสัปดาห์ละสามวัน จนกระทั่งกิ่งแก้วตั้งครรภ์ เขาตัดสินใจผ่อนซื้อบ้านจัดสรรหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากตลาดมากนัก แล้วเขาก็ย้ายทั้งเธอและเขาไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น เขาไปส่งกิ่งแก้วเปิดร้านทุกวันก่อนไปโรงงาน และช่วงเย็นเขากลับมากินอาหารพร้อมเธอ ช่วงค่ำเขาช่วยภรรยาปิดร้านและกลับบ้านพร้อมกัน กิ่งแก้วไว้ผมยาวหลังจากตั้งครรภ์ เธอสวมชุดคลุมท้องตัวสวยที่สามีซื้อให้จากห้างในตัวเมือง เธอเริ่มชอบการสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อเบาบางแบบผู้หญิงทั่วไป เธอรู้สึกว่าชีวิตมีความปลอดภัยพอที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา เธอใช้ความรู้ด้านการจัดเก็บข้อมูลมาทำสต๊อกที่ร้านค้าของเธอรวมทั้งร้านของพ่อแม่และของเครือญาติ เธอกลายเป็นที่ปรึกษาของพวกเขายามที่ใครขัดข้องเรื่องอุปกรณ์สื่อสารสมัยใหม่ ช่วงชีวิตที่เคยพลาดพลั้งของกิ่งแก้วทำให้เธอเข็ดหลาบ เธอครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงที่เธอกลับมาอยู่ในอ้อมอกของครอบครัว หนึ่งปีที่ผ่านไปเธอเติบโตขึ้นทางความคิดและความรู้สึก เธอตระหนักดีว่าชีวิตต้องมีทางออกเสมอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม