เมื่อทุกคนออกไปจากบริเวณดังกล่าวหมดแล้ว นางนวลทิพย์ก็โผเข้าไปดึงร่างของลูกชายมาสวมกอดไว้แน่น ถึงตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าลูกชายของนางกำลังร้องไห้โดยปราศจากเสียงร้องไห้
‘โธ่...ไฟ ลูกรักของแม่...’
เด็กน้อยในวัยสิบห้าขวบ สะอื้นร้องไห้ปล่อยให้น้ำตาของลูกผู้ชายไหลเป็นทางอยู่กับอกของมารดา พร้อมกันนั้นก็พึมพำบอกถึงความบริสุทธิ์ของตนเอง
‘แม่ ไฟไม่ได้ผิด ไฟไม่ได้หกล้มทำสีหกใส่ตัวเอง แต่คุณน้ำขิงต่างหากที่สาดสีใส่ไฟ แล้วเอาสีที่เหลือมาเทใส่หัวไฟด้วย’
‘แม่รู้ลูก แม่รู้ไฟไม่ผิด’
นางนวลทิพย์พึมพำทั้งน้ำตาบอกลูกน้อย นางดันร่างเล็กของลูกออกเล็กน้อย ใช้มืออันแสนอบอุ่นทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าที่เลอะไปด้วยสี
‘แม่รู้ว่าไฟไม่ผิด แล้วทำไมแม่ไม่ช่วยไฟ ทำไมแม่ต้องให้ไฟไหว้อีเด็กคนนั้นด้วย’
ผู้เป็นแม่ร้องไห้น้ำตานองไม่ต่างจากลูกชาย นางรู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าคนที่ถูกแกล้งคือลูกชายของนาง แต่นางก็ไม่สามารถช่วยอะไรลูกได้ มือเล็กทั้งสองประคองใบหน้าของลูกน้อยไว้ สงสารลูกจับใจที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของคุณหนูณัฐณดาในตลอดเวลา
‘ไฟ ลูกจำไม่ได้หรือว่าเราเป็นใคร เขาเป็นใคร เรามีอำนาจอะไรไปต่อกรกับเขา ถ้าเราไม่ทำตามเขาสั่ง เขาก็จะไล่พวกเราออกจากบ้านหลังนี้’
‘ไล่ออกก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอยู่อีกต่อไป เราไปหางานที่อื่นทำก็ได้’
อัคคีสวนกลับทันควัน เขาเริ่มทนต่อการถูกรังแกจากณัฐณดาไม่ไหวอีกต่อไป ยิ่งนานวัน ณัฐณดาก็ยิ่งแกล้งเขาหนักขึ้น
ผู้เป็นแม่ต้องถอนหายใจยาว มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ลูกชายคิด ที่จู่ๆ จะเดินออกจากบ้านหลังนี้ โดยมีเงินติดตัวแค่ไม่กี่พัน
‘เราไปไหนไม่ได้หรอกลูก พ่อกับแม่ไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษา ใครจะรับพ่อกับแม่ทำงาน’
‘มันต้องมีสักคนที่จะรับเราทำงาน ไฟจะลาออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อกับแม่ทำงานหาเงิน’
อัคคีบอกเสียงเข้ม การถูกกลั่นแกล้งในทุกวี่ทุกวัน ทำให้เขากลายเด็กที่โตเกินวัย
‘ไฟ ทนหน่อยนะลูก ขอให้พ่อกับแม่เก็บเงินได้มากกว่านี้ก่อน แล้วเราค่อยขยับขยายออกจากบ้านหลังนี้’
‘เมื่อไรล่ะครับแม่ เมื่อไรเราจะออกไปจากบ้านนี้ได้’
‘แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันลูก แม่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะหลุดจากบ่วงกรรมนี้ได้’
มันเป็นเงื่อนเวลาที่ผู้เป็นแม่ไม่อาจตอบลูกได้ นางไม่รู้ว่าเมื่อไรครอบครัวนางจะสามารถก้าวเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ได้ แต่สิ่งที่นางรู้คืออัคคีถูกเจ้าสัวคมณ์และณัฐณดารังแกตลอดเวลาที่เข้าใกล้คนเหล่านี้
ในขณะที่ภายในคฤหาสน์จักรภัทรมีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นไม่ต่างจากเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้บ้าน ทางด้านของเจ้าสัวคมณ์ก็กำลังจะเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายไม่ต่างกัน
เจ้าสัวคมณ์เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดี ขณะเดินตามทางเดินภายในคอนโดหรูหราตรงไปยังห้องชุดของอีหนูคนสวย ดวงตาและสีหน้าเต็มไปด้วยความกระสั่นอยากในกามารมณ์ และด้านหลังเขาก็มีร่างของแก้วสันต์ที่หอบกล่องของขวัญกล่องใหญ่เดินตามผู้เป็นนายมาด้วย
พอเดินมาถึงหน้าห้องชุดที่ตนเองเป็นคนจ่ายเงินหลักล้านซื้อให้เมียน้อยอยู่อย่างสุขสบาย เจ้าสัวคมณ์ก็ไขกุญแจเปิดประตูห้องโดยไม่มีการเคาะประตูเรียกให้คนข้างในรู้ตัว และก่อนจะมาหาเมียน้อย เจ้าสัวก็ไม่ได้โทรบอกล่วงหน้าด้วย เพราะเขาต้องการเซอร์ไพรส์เมียน้อย
และเจ้าสัวคมณ์ก็เซอร์ไพรส์สมใจ เมื่อเดินเข้ามาภายในห้องชุด ตรงไปยังห้องนอนที่ประตูเปิดแง้มอยู่พอให้ได้ยินเสียงครางกระเส่า และได้เห็นภาพที่เมียน้อยของตนเปลือยกายเริงรักกับชู้รัก
‘โอ้...ผัวขา...เมียชอบ...เหลือเกิน’
‘ผัวบริการให้ถึงใจไหมเมียจ๋า’
‘ค่ะ ถึงใจที่สุด’
‘ระหว่างผมกับไอ้ผัวแก่ คุณชอบใครมากที่สุด’
‘อย่าพูดถึงไอ้แก่ตอนนี้สิค่ะ ได้ยินแล้วนิด้าอารมณ์เสียค่ะ’
‘ทำไมล่ะครับทูนหัว ไอ้แก่มันบริการไม่ถึงใจหรือครับ’
‘ก็ใช่สิค่ะ นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ มันก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็ปล่อยให้นิด้าค้างเติ่งอยู่คนเดียว ที่นิด้ายอมนอนกับมันก็เพราะนิด้าชอบเงินของมันค่ะ’
เสียงเนื้อกระทบเนื้อ เสียงเยาะเย้ยถากถางที่ดังเล็ดลอดสลับกับเสียงครางระงมของชายชั่วหญิงเลว ทำเอาเจ้าสัวคมณ์ต้องกัดฟัน กำมือเข้าหน้ากันแน่น ใบหน้าอวบอูมแดงก่ำด้วยความโกรธจัดจนขาดสติ
‘ไอ้แก้ว มึงไปเอาปืนในรถมาให้กูเดี๋ยวนี้’
คนที่ได้รับคำสั่งถึงจะตกใจแทบทำกล่องของขวัญหล่นจากมือ ใบหน้าซีดเผือด เบิกตาโพลง ส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ พร้อมกับห้ามเจ้านายว่า
‘ท่านเจ้าสัวใจเย็นๆ นะครับ อย่าเสี่ยงคุกเพราะผู้หญิงคนนี้เลยครับ’
‘กูบอกให้มึงไปเอาปืนมา’
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เจ้าสัวคมณ์เค้นเสียงสั่งลอดไรฟัน ดวงตาแดงก่ำจ้องมองลูกน้องเขม็ง ออกคำสั่งผ่านสายตาแข็งกร้าวให้ลูกน้องไปทำตามที่ตนเองสั่ง
‘ผัวขา...เร็วๆ คะ เมียใกล้แล้ว’
เสียงครางระงมของคนเลวทั้งสองคน เป็นตัวตัดสินให้สติของเจ้าสัวคมณ์ขาดผึ่ง! เจ้าสัวหันไปมองคนขับรถแล้วสั่งเสียงเย็นยะเยือกอีกครั้ง
‘ปืน! กูต้องการปืนเดี๋ยวนี้ ถ้ามึงไม่เอามาให้กู มึงจะตายเป็นศพแรก ไอ้แก้ว!’
เมื่อไม่มีทางเลือก แก้วสันต์จึงจำต้องเดินเป็นวิ่งออกจากห้อง กลับไปเอามัจจุราชสีดำมะเมื่อมมาให้กับเจ้าสัวคมณ์ และไม่รู้ว่าด้วยเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรืออย่างไร ระหว่างอยู่ในลิฟต์ เขาพยายามโทรหาคุณหญิงศันสนีย์ ภรรยาของเจ้าสัวคมณ์ แต่คุณหญิงก็ไม่รับสาย พอโทรเข้าเบอร์บ้านในคฤหาสน์ของเจ้าสัว ก็เป็นสายไม่ว่างไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
‘ทำยังไงดีไอ้แก้ว มึงควรทำยังไงดี’
แก้วสันต์เกิดอาการมืดแปดด้านหัวสมองหยุดสั่งการไปชั่วขณะ พอได้ปืนอยู่ในมือแล้วก็เกิดอาการลังเล ตัดสินใจไม่ถูก คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี
และระหว่างลังเลอยู่นั่น จู่ๆ ปืนที่ถืออยู่ในมือก็ถูกกระชากไปจากมือเขาโดยเจ้าสัวคมณ์ ซึ่งไม่รู้ว่าตามลงมาเอาปืนตั้งแต่เมื่อไร
‘ชักช้าจริงๆ เอาปืนมานี่ กูจะไปยิงพวกมันทิ้งเดี๋ยวนี้’
‘เจ้าสัว! ใจเย็นๆ อย่าทำแบบนี้เลยครับ’
แก้วสันต์ตะโกนลั่นขณะวิ่งตามเจ้าสัวคมณ์ ซึ่งกำลังวิ่งไปขึ้นลิฟต์อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่เขาจะตามทัน