ตอนที่ 9
ละครหนึ่งตื่น
ตั้งแต่ที่หลิวอวี่หนิงหลุดจากอ้อมกอดขององค์ชายสี่นางล้มลงศีรษะกระแทกที่พื้นยามนั้นนางไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมาสักครึ่งคำโลกใบทั้งก็พลันหม่นแสงลง แต่ก่อนที่นางจะสลบไปนั้น นางก็ได้เห็นใบหน้าที่ตื่นตกใจของกู่เหว่ยหยวน น้ำเสียงที่ร้องเรียกนางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หัวใจนางพลันกระตุกเกร็งกลัวเหลือเกินว่า จะจากไปโดยที่ไม่ได้เอ่ยความในใจกับเขาสักคำ แล้วไหนจะพี่ใหญ่นางอีกเล่า นางมีกันสองคนพี่น้องเท่านั้น พี่ใหญ่จะอยู่อย่างไร
วิญญานหลิวอวี่หนิงถูกกระชากออกมา แสงสว่างที่เจิดจ้าทำเอาดวงตาปวดแสบ นางยกมือขึ้นปิดตาตนเอง ทว่าเมื่อชินกับแสงนั้นแล้ว นางก็เห็นว่าตรงหน้าเป็นสถานที่แห่งหนึ่ง นางเดินไปเรื่อย ๆ สถานที่แห่งนี้เหมือนจะคุ้นตาแต่ก็ไม่คุ้นเคย ขณะที่กำลังมึนงง นางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมา นางค่อย ๆ เดินไปตามเสียงนั้น เมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นางก็ยินดีเป็นอย่างมาก นางยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปหา
“อาหลี!!..นั่นเจ้าหรือ เอ๋..เจ้าแต่งงานแล้วหรือ แต่งกับผู้ใดกัน หรือว่าเจ้าแต่งงานตอนที่ข้าสลบอยู่ แต่เรายังไม่ปักปิ่นเลยนะเจ้าจะแต่งได้อย่างไร”นางยื่นมือออกไปเพื่อที่จะสัมผัสอินจูหลี ใช่แล้วสตรีผู้นี้ก็คืออินจูหลี สหายเพียงหนึ่งเดียวของนาง แต่นี่มันไม่ถูกต้อง ดูเหมือนอินจูหลีในยามนี้จะดูมีอายุมากกว่าเดิมใช่หรือไม่
หลิวอวี่หนิงหรี่ตาลง มองมือตนเองที่ทะลุร่างกายของอีกฝ่าย นางยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นส่องไปที่แสงแดด นางไม่ใช่ผี หากเป็นผี คงจะโดนแดดมิได้ แต่นางเป็นสิ่งใด เหตุใดจึงได้เกิดเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้
“นั่นเจ้าจะไปไหน” อินจูหลีเดินเข้ามาขวางหน้าสาวใช้ผู้หนึ่ง ท่าทางเหมือนไม่พอใจสาวใช้ผู้นั้น แต่จะไม่พอใจเรื่องอะไรกัน หลิวอวี่
หนิงสงสัยเป็นอย่างมากนางเดินตามเข้าไปเหมือนกับว่ากำลังชมละครเรื่องหนึ่ง ละครที่มีตัวแสดงเอกเป็นอินจูหลี ท่าทางของนางยามนี้ ช่างแปลกประหลาด ไม่เหมือนกับอินจูหลีที่อ่อนหวานและเรียบร้อยเช่นเดิมแม้แต่น้อย
“ทูลพระชายารอง หม่อมฉันจะนำเครื่องเสวยไปส่งตำหนักพระชายาเอกเพคะ” พระชายาเอกอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็ต้องเป็นนางกำนัลที่ตำหนักองค์ชายสักพระองค์ อินจูหลีเป็นพระชายารองเลยหรือ วาสนาดีไม่เบา หลิวอวี่หนิงยิ้มออกมา รู้สึกยินดีกับสหายของตนเองเป็นอย่างมาก
“มากเกินไปกระมัง พระชายาเอกถูกองค์ชายลงโทษคุมขัง ถึงแม้จะไม่ได้ขังคุก แต่นางก็ยังต้องโทษ เจ้าปฏิบัติต่อนักโทษดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” หลิวอวี่หนิงเบิกตาขึ้น นางไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง อาหลีเจ้าบ้าไปแล้วหรือ ต่อให้พระชายาเอกผู้นั้นทำผิดจริง แต่นางกำนัลผู้หนึ่งจะกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นนักโทษได้อย่างไร
แต่คำพูดนางมีหรือที่อินจูหลีจะได้ยิน พระชายารองหยิบถ้วยอาหารในถาดเททิ้งลงพื้น หลิวอวี่หนิงมองอย่างตกใจ และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือสหายของนางนั่งลงไปคีบอาหารที่เลอะไปด้วยเศษดินกลับไปในถ้วยเช่นเดิม การกระทำเช่นนี้เกินกว่าที่หลิวอวี่หนิงจะรับได้
“เอาไปให้นาง นางตาบอดไปแล้วไม่รู้หรอก”นางกำนัลน้อยที่น่าสงสารได้แต่ก้มหน้ารับคำสั่งและเดินจากไป พ้นร่างของพระชายารองผู้สูงศักดิ์ นางกำนัลน้อยก็หันหน้าไปส่งสายตาให้กัน
“ดีนะที่ข้าเตรียมเครื่องเสวยเอาไว้อีกชุด ข้าบอกแล้วว่าพระชายารองร้ายกาจนัก มีแต่พระชายาเอกที่คิดว่านางเป็นสหาย ดูเอาเถิด ดวงตาพระองค์ที่ต้องพิษจนมองไม่เห็น ก็ไม่ใช่เพราะสหายเช่นนั้นหรอกหรือ” หลิวอวี่หนิงขมวดคิ้วขึ้น สหายอย่างนั้นหรือ อินจูหลีกับสหายมีพระสวามีคนเดียวกันหรือนี่ แต่สหายของนางคือผู้ใดกันนะ
หลิวอวี่หนิงตามนางกำนัลทั้งสองมาที่ตำหนักหลังหนึ่ง ในใจพลางขบคิดถึงคำพูดของทั้งสองคนไปด้วย สหายของอินจูหลี ถูกวางยาพิษจนทำให้ตาบอด แล้วพระสวามีของพวกนางเล่า จะไม่รู้เรื่องเลยหรือ
“เจ้าอย่าได้พูดมากไป หากมีผู้ใดมาได้ยินเข้า หลังเจ้าคงได้หลั่งเลือด” นางกำนัลผู้นั้นหดศีรษะลง
“หากไม่ใช่เพราะว่าพระชายาเอกทำให้พระชายารองแท้งบุตรในครรภ์ องค์ชายสี่จะบันดาลโทสะเช่นนี้ได้อย่างไร ดูเอาเถิดสั่งขังพระชายาเสร็จก็ต้องนำทัพออกรบ เกือบสองปีแล้วจดหมายสักฉบับจะส่งมาที่จวนก็ไม่มี ข้าว่าองค์ชายสี่คงยังไม่คลายโทสะกระมัง แต่หากพระองค์รู้ว่าพระชายาเอกถูกรังแกถึงเพียงนี้ พระองค์ต้องทรงไม่ยินดีอย่างแน่นอน”
“ใช่!!..ข้าก็ว่าพระสวามีข้าคงจะไม่ยินดีแน่ ๆ ข้าต้องขอบใจเจ้าสองคนที่ช่วยคิดแทนข้า ฉีกงกงพานางออกไปรับรางวัลและส่งนางออกจากตำหนักเสีย” ดวงตาฉีกงกงวาวขึ้น รอยยิ้มเหี้ยมที่เผยออกมา ทำเอาขนบนกายหลิวอวี่หนิงลุกชัน นางกำนัลน้อยทั้งสองพลันขาอ่อนแรง คุกเข่าร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัว
ทว่าอินจูหลีไม่แม้แต่จะสนใจ ผลักประตูก้าวเข้าไปในห้อง ร่างผอมแห้งที่อยู่ในห้องค่อย ๆ หันมาช้า ๆ ดวงตาทั้งคู่ขาวขุ่นไร้วี่แววการมองเห็น นั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับ ใบหน้าของสตรีผู้นั้น หลิวอวี่หนิงจำได้ดี นางจะลืมใบหน้าตนเองได้อย่างไร ร่างอรชรเซถอยหลัง องค์ชายสี่ พระชายาเอก พระชายารอง นางทรุดตัวนั่งลงที่พื้น ไม่ได้ยินแม้แต่วาจาร้ายกาจที่สหายสนิทเอ่ยพูดกับนางที่นั่งบนตั่ง
หลิวอวี่หนิงยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเอง เจ็บปวดเหมือนโดนบางสิ่งกระแทกลงกลางหัว ภาพเรื่องราวต่าง ๆ ไหลทะลักเข้ามามากมาย ตั้งแต่วันที่พี่ชายนางทูลขอสมรสพระราชทานให้นางกับกู่เหว่ยหยวน ภาพความเย็นชาในวันเข้าหอ คำพูดที่กรีดลงไปในหัวใจนาง ความเย็นชาตลอดห้าปีที่นางได้รับ ใช่แล้วนางและกู่เหว่ยหยวนแต่งงานกันมาห้าปี ห้าปีที่เต็มไปด้วยความทุกข์
“ที่แท้ละครเรื่องนี้ตัวเอกมิใช่ผู้ใด แต่เป็นข้าหลิวอวี่หนิงคนนี้”
หลิวอวี่หนิงหลับตาลงระลึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไหลผ่านเข้ามา อินจูหลีสตรีชั่วช้า นางใจกล้าเหลือเกิน กล้าขนาดที่ใช้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองเพื่อกำจัดนาง
หึ!!..นางก็ช่างโง่เขลานัก หลังจากที่อินจูหลีแท้งบุตรในครรภ์ กู่เหว่ยหยวนสั่งขังนางไว้ที่ตำหนัก จากนั้นนางก็ไม่เคยเห็นเขาอีกเลยจนกระทั่ง...จนกระทั่งนางตายด้วยน้ำมือของฉีกงกงตามคำสั่งของอินจูหลี ยามนั้นต่อให้อีกฝ่ายไม่สังหารนาง นางก็ต้องฆ่าตัวตายอยู่ดี เพราะพี่ใหญ่ของนางถูกประหารไปแล้ว นางไหนเลยจะอยู่ได้อีก
“อินจูหลี กู่เหว่ยหยวน พวกเจ้าช่างชั่วช้าเหมาะสมกันยิ่งนัก หึ!!..พี่ใหญ่หนิงหนิงผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่ควรรักกู่เหว่ยหยวนเลย หากข้าได้หวนกลับไป ข้าจะไม่มีวันรัก ข้าจะไม่มีวันรักเขาอีก!!”
หลิวอวี่หนิงกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดถาโถมจนเกินจะรับไหว ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ นางเอนตัวล้มลงนอนกับพื้นมองดูสหายสารเลวกระทำกับร่างกายของนางด้วยดวงตาแดงฉาน