ตอนที่ 4
ล่าจิ้งจอกเงิน
ขบวนผู้ติดตามต่างก็แปลกใจกับการกระทำขององค์ชายสี่ ทุกคนต่างก็ก้มหน้าทว่ายังแอบเหลือบตาขึ้นมอง แต่แล้วกับต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นองค์ชายสี่ยิ้มให้กับคุณหนูหลิวอย่างอ่อนโยน ดวงตาพระองค์ฉายความรักใคร่ออกมาอย่างปิดไม่มิด หากไม่เห็นกับตาตนเอง มีหรือพวกเขาจะเชื่อ
หลิวอวี่หนิงเขินอายเป็นอย่างมาก องค์ชายสี่บุรุษที่อยู่ในดวงใจของนางกำลังขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ นาง เขามิได้หลบหนีหรือเอ่ยวาจาเสียดสีให้นางเจ็บปวด หญิงสาวค่อย ๆ หันไปมองด้านข้างของเขา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หรือพระองค์จะไม่สบายกัน
“องค์ชายสี่ปวดศีรษะหรือไม่เพคะ หรือว่าพระองค์สะดุดล้มศีรษะกระแทกพื้นหรือเพคะ” กู่เหว่ยหยวนยกคิ้วขึ้นเพียงข้างเดียว ท่าทางเช่นนี้ของเขาช่างดูเสเพลยิ่งนัก แต่ก็หล่อเหลามากเช่นกัน ยิ่งเห็นแบบนั้นหลิวอวี่หนิงก็ยิ่งเขินอาย นางกัดริมฝีปากตนเองและเสหน้ามองไปทางอื่น แต่กระนั้นใบหูที่แดงเข้มของนางก็ฟ้องเขาเสียเต็มตา
องค์ชายสี่ยกยิ้มขึ้นมา เหตุใดเขาจะไม่รู้เล่าว่านางชื่นชอบท่าทางเช่นนี้ของเขา นางชอบใบหน้าของเขาเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาเคยนึกว่านางรักเขาเพียงเพราะว่าเขาเป็นองค์ชายที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ทว่านางกลับบอกกับเขาว่า
‘หม่อมฉันไม่ได้สนใจว่าพระองค์จะเป็นผู้ใด แต่หม่อมฉันรู้สึกชื่นชอบหน้าตาของพระองค์มากเพคะ ใบหน้าของพระองค์ทำให้หม่อมฉันเจริญสายตาเป็น อย่างมาก ทรงรูปงามเหลือเกิน’ครั้งนั้นเขากลับเย้ยหยันนาง ต่อว่านางทำตัวเช่นดังสตรีในหอคณิกา เขาเป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์มิใช่ชายงามในหอนายโลม!!
“เพราะเหตุใดจึงคิดว่าข้าปวดหัวเล่า ข้าสบายดีไม่ได้ล้มหัวกระแทกพื้นอย่างที่เจ้ากล่าวด้วย หากข้าป่วยจะออกมาล่าสัตว์กับเจ้าได้อย่างไรหนิงหนิงเจ้าเป็นห่วงข้ามากเลยหรือ”หนิงหนิงอีกแล้วหรือ เหตุใดจึงเรียกว่าหนิงหนิงเล่ามิใช่คุณหนูหลิวหรอกหรือ ต่อให้สงสัยแต่นางก็ดีใจที่ได้ยินชื่อของนางออกมาจากริมฝีปากของเขา
“หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์เพคะ หากพระองค์ไม่สบาย..”
“ข้าสบายดีเจ้าวางใจเถอะ” กู่เหว่ยหยวนหยุดม้าลง เขาตั้งคันธนูขึ้นและยิงออกไปอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ยังไม่ทันจะรู้ตัวนางก็เห็นลูกธนูพุ่งออกไปตรงริมลำธารแล้ว องค์ชายสี่เก็บคันธนูและควบม้าออกไปโดยมีร่างอรชรควบตามไปติด ๆ เมื่อถึงลำธารเขาก็หยุดม้าและกระโดดลงไปหลิวอวี่หนิงนั่งอยู่บนหลังม้า มองเขาเดินลงไปนางชะเง้อหน้าจ้อง ในใจก็ลุ้นไปด้วย
“โดนหรือไม่เพคะ”เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นมา น้ำเสียงฟังดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก กู่เหว่ยหยวนย่อมรู้ดีว่า นางชื่นชอบนักล่ะเมื่อก่อนนั้น นางมักจะขอตามเขาออกไปล่าสัตว์อยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่เคยให้นางติดตามไปด้วยเลยสักครั้ง
“ถึงฝีมือข้าจะไม่เก่งกาจเท่าพี่ใหญ่ของเจ้า แต่แค่ยิงสัตว์เล็กเช่นนั้นย่อมไม่พลาดกระมัง” เขายกจิ้งจอกเงินตัวอวบขึ้นมา นางเห็นเช่นนั้นก็เบิกตาขึ้นและยิ้มกว้างออกมา
“เก่งมากเพคะ จิ้งจอกเงินนับเป็นสัตว์หายากและเจ้าเล่ห์ที่สุด องค์ชายทรงพระปรีชายิ่งนัก” คำชมเหล่านั้นหากเป็นผู้อื่นเขาก็คงจะไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่รู้ว่าคำชมพวกนั้นมาจากใจจริงหรือเสแสร้ง ทว่าเมื่อมันออกมาจากริมฝีปากของนาง เขากลับดีใจยิ่งนัก องค์ชายสี่ยืดตัวและเชิดหน้าขึ้น ก่อนจะกระแอมออกมาเบา ๆ
“ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร เจ้าชมข้าเกินไปแล้ว แต่ข้าก็ยินดียิ่ง หนิงหนิงข้าชอบมากเวลาที่เจ้าชื่นชมข้าเช่นนี้ จิ้งจอกเงินตัวนี้ข้ามอบให้เจ้า” หย่งเสียนเดินเข้ามารับเอาจิ้งจอกเงินตัวอวบ คิ้วองครักษ์กระตุกขึ้น ชื่นชอบเช่นนั้นหรือ วันนี้องค์ชายช่างแปลกเสียจริง
กู่เหว่ยหยวนและหลิวอวี่หนิงต่างล่าสัตว์กันไปจนกระทั่งดวงตะวันเคลื่อนที่ลงต่ำ แสงแดดที่เคยสาดส่องหม่นแสงลง องครักษ์หนุ่มควบม้าเข้ามาใกล้และเตือนว่าถึงเวลาเสด็จกลับได้แล้ว องค์ชายหันไปมองใบหน้าของสตรีด้านข้าง ถึงนางจะเก่งกาจสักเพียงใด ทว่าวันนี้เขาพานางควบม้าล่าสัตว์ทั้งวัน นางก็คงจะเหนื่อยมากแล้ว เขาพยักหน้าให้องครักษ์และหันไปชวนให้นางออกจากป่า เพื่อกลับจวนของนาง
จวนสกุลหลิว
หลิวอวี่เหวินมองซากสัตว์ที่ถูกยกเข้ามากองเต็มพื้น คิ้วหนาขมวดขึ้น ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดสิ่งใด องค์ชายสี่ก็เดินเข้ามาตรงหน้าเขาเสียก่อน แม่ทัพหนุ่มโค้งตัวลงประสานมือไปข้างหน้า
“ถวายพระพรองค์ชายสี่พ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพหลิวอย่าได้มากพิธีลุกขึ้นเถอะ” หลิวอวี่เหวินขยับตัวขึ้น เขาลอบมองพระพักตร์ขององค์ชายสี่ก็ได้แต่แปลกใจ ใบหน้าพระองค์มิได้มีความกริ้วแต่อย่างใด ดูเหมือนจะทรงเกษมสำราญเสียอีกด้วย คิ้วหนากระตุกขึ้นไม่หยุด ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงไม่วางใจแม้แต่น้อย
“น้องสาวกระหม่อมซุกซนแอบตามพระองค์ไปถึงท้ายเมือง ขอพระองค์ทรงอภัย หลังจากนี้กระหม่อมจะลงโทษนางมิให้ไปกวนพระทัยพระองค์อีกพ่ะย่ะค่ะ”
“พี่ใหญ่!!..ข้าไม่ได้กวนพระทัยองค์ชายสี่นะเจ้าคะ องค์ชายทรงชวนข้าเองต่างหากเล่า จริงหรือไม่เพคะ”หลิวอวี่หนิงทำหน้าแง่งอน แก้มทั้งสองข้างพองขึ้นมา กู่เหว่ยหยวนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ทว่าว่าก็รีบกระแอมไอเก็บอาการเอาไว้ เขาอยากจะยื่นมือไปบีบแก้มพอง ๆ ของนางยิ่งนัก
“ฉีกงกงมิได้มาบอกท่านหรอกหรือ เป็นข้าที่ชวนนางให้ไปล่าสัตว์เป็นเพื่อนข้าเอง ท่านจะลงโทษนางได้อย่างไร หากเจ้าจะลงโทษนางจริง ข้าคงจะต้องขอรับโทษนั้นแทน”
รับโทษแทนเช่นนั้นหรือ กระหม่อมจะกล้าไปทำอะไรพระองค์กัน หรือเพราะไม่ชอบหน้ากระหม่อมถึงได้คิดจะกลั่นแกล้งกันเช่นนี้ ฝ่าบาทและฮองเฮายังไม่เคยลงโทษพระองค์เลยสักครั้ง กระหม่อมเป็นเพียงแม่ทัพผู้ต่ำต้อยไหนเลยจะมีความกล้าเช่นนั้น
หลิวอวี่เหวินลมหายใจสะดุด ใบหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ ทว่าก็แค่นยิ้มขึ้นมาแต่ใบหน้ากลับกระตุกไม่หยุด
“ทรงล้อกระหม่อมเล่นแล้ว กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นแม่ทัพหลิวก็คงจะไม่ลงโทษนางใช่หรือไม่” กู่เหว่ยหยวนกดเสียงต่ำข่มขู่ออกไป ทรงเอ่ยมาถึงเพียงนี้แล้ว แม่ทัพหลิวจะลงโทษอันใดได้อีกเล่า กู่เหว่ยหยวนยกคิ้วขึ้น มองบุรุษตรงหน้าอย่างกดดัน
“ไม่ลงโทษพ่ะย่ะค่ะ” หลิวอวี่เหวินขมวดคิ้วขึ้น เขาลอบมององค์ชายตรงหน้า กลิ่นอายบางอย่างพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย กลิ่นอายเช่นนี้เขารู้จักดี หากไม่ใช่ผู้ที่ผ่านชีวิตการเข่นฆ่ามากมายเช่นเขาไหนเลยจะมีได้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์ชายสี่ที่มิเคยออกสนามรบเช่นนี้ เหตุใดจึงมีกลิ่นอายเช่นนี้ แม่ทัพหนุ่มรีบสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป
หลิวอวี่หนิงได้ยินว่าตนเองจะไม่ถูกลงโทษก็ยิ้มกว้างออกมา นางหันไปมองกู่เหว่ยหยวนอย่างซาบซึ้ง สายตาของนางทำให้เขาคันยุบยิบข้างในหัวใจ อยากจะดึงนางเข้ามากอด แต่ก็ไม่อาจจะทำได้อย่างที่ใจนึก ไม่เช่นนั้นพี่ชายของนางคงได้ชักกระบี่ไล่ฟันเขาแล้วกระมัง
“เชิญองค์ชายเข้ามาดื่มชาในจวนกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิวอวี่เหวินหางคิ้วกระตุก กระหม่อมชวนตามมารยาท ไม่ใช่ว่าพระองค์จะต้องปฏิเสธหรอกหรือ แต่ทำไม...
นอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้วกู่เหว่ยหยวนยังเดินนำเจ้าของบ้านเข้าไปก่อนอีกด้วย แม่ทัพหนุ่มหันไปมองน้องสาวตนเอง ทว่านางก็ส่ายหน้าไปมา
“ข้าไม่รู้เช่นกัน”