“ผมกลัวว่ารวีจะปากพล่อยเล่าเรื่องที่ผมไม่อยากให้ใครรู้ ให้ทางโน้นฟังน่ะครับ”
เขาตอบราวกับมีคำตอบในใจ ไม่ตะกุกตะกักหรือทำให้เนาวรัตน์รู้สึกว่า เป็นการแก้ตัว
“แม่ลืมคิดข้อนี้ไป” เหมือนนางเพิ่งนึกขึ้นได้ น้อยครั้งนักที่ณัฐรวีจะได้ออกจากบ้าน ยิ่งไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่ตนกับเมฆายิ่งไม่เคย นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามปี “แต่แม่ว่า มันคงไม่กล้าบอกใครหรอก มันกลัวคำขู่เมฆจะตายไป ไม่งั้นคงไม่ยอมแม่กับเมฆขนาดนี้”
“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” พูดจบเมฆาก็ลุกขึ้นยืน “ผมเข้าไปดูงานในไร่ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมีบริษัทมารับเมล็ดชากับกาแฟ”
เนาวรัตน์พยักหน้ารับรู้ มองตามร่างบุตรชายที่เดินออกไปจากบ้าน ก่อนหันมองรูปถ่ายของเชษฐาที่ติดอยู่บนฝาผนังบ้าน
“เพราะคุณคนเดียว หลายคนต้องเจ็บปวด ถ้าคุณไม่พามันเข้ามาในบ้าน คงไม่มีใครต้องทุกข์ทรมาน”
เนาวรัตน์ปรารถนาให้เชษฐาได้ยินประโยคนี้ เขาจะได้รู้ว่า ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือเขา ที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ คิดไตร่ตรองไม่รอบคอบ นำผู้หญิงที่ชื่อรุ่งรดีเข้าในชีวิต นำความสุขมาให้เชษฐาเพียงคนเดียว ส่วนคนรอบข้างมีแต่ความทุกข์และปวดร้าวใจ
ราวสองทุ่มเศษ
เสียงทีวีในห้องรับแขกดังเข้ามาในหูณัฐรวีที่กำลังเดินเข้าไปในบ้าน หล่อนแปลกใจไม่น้อยเพราะปกติเวลานี้เนาวรัตน์ เมฆาจะอยู่ในห้องนอน จะว่าคนรับใช้เปิดทีวีดูก็ไม่น่าใช่ เนื่องจากในห้องพักคนรับใช้จะมีทีวีหนึ่งเครื่องไว้ดูหลังเลิกงาน แล้วใครกันที่เปิดทีวีในห้องรับแขก
“กลับมาแล้วเหรอรวี แก้วตาคอยตั้งนาน”
ณัฐรวีหายสงสัยเมื่อเห็นเมฆานั่งดูทีวีอยู่กับแก้วตา และเมื่อได้ยินและเห็นหน้าเจ้าของเสียง ทำให้หล่อนนึกขึ้นได้ว่า วันนี้แก้วตากลับมาบ้าน ณัฐรวียิ้มน้อยๆ ส่งให้ผู้พูด แล้วรอยยิ้มนั้นก็ต้องหุบในฉับพลันเมื่อปะทะสายตากับเมฆา
“ขอโทษทีนะเมฆที่มาส่งรวีช้า คุยกันเพลินน่ะ” ภูมิภัทรลูกชายสมสมรเจ้าของไร่เพียงฟ้าพูดขึ้น ในมือถือถุงกระดาษสองใบ “วันนี้รวีทำแกงส้มผักแปดเซียนให้ฉันกับคนที่บ้านกิน คุณพ่อคุณแม่และพี่ปิ่นชมไม่หยุดเลย กินข้าวคนละตั้งสองจาน ฉันเองก็ฟาดไปสาม”
“ใครได้กินแกงส้มผักแปดเซียนของรวี ต้องชมกันทุกคนค่ะ ยกเว้นพี่เมฆที่บอกว่า งั้นๆ แต่แก้วตาคิดว่า มันอร่อยมากเลยค่ะ” แก้วตาเห็นด้วยกับเรื่องนี้ “ว่าแต่พี่ภูถืออะไรมาคะ”
“อ๋อ...เสื้อผ้าของพี่ปิ่นน่ะ พี่ปิ่นไม่ใส่แล้วเลยให้รวี มีตั้งหลายชุดแน่ะ สวยๆ ทั้งนั้นเลย บางตัวพี่ปิ่นก็ยังไม่ใส่” ภูมิภัทรตอบ เมฆาหลุบมองดูถุงกระดาษในมือผู้พูด ก่อนตวัดสายตามองณัฐรวีที่ไม่กล้าสบสายตา “นายคงไม่ถือนะเมฆ ที่พี่ปิ่นให้เสื้อผ้ารวี”
ภูริภัทรรีบพูดดักคอ เขาไม่รู้ความแค้น ความชิงชังที่ครอบครัวเมฆามีให้ณัฐรวี เขารู้เพียงว่า ณัฐรวีเป็นลูกสาวภรรยาน้อยเชษฐาที่หนีตามชายชู้ไป และเป็นต้นเหตุทำให้เชษฐาคิดสั้นฆ่าตัวตาย เหตุผลที่ใครต่อใครรู้ว่า ที่ณัฐรวียังอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเพราะเนาวรัตน์เมตตาสงสารณัฐรวีที่ไม่มีที่ไป จึงให้อยู่บ้านหลังนี้ต่อไป แต่ที่ปิ่นประภาให้เสื้อผ้าณัฐรวี เพราะเห็นว่า ชุดที่ณัฐรวีใส่ค่อนข้างเก่า ด้วยจิตเมตตาสงสารจึงให้เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่ให้กับณัฐรวี
“ฉันไม่ถือหรอก” เมฆาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ฉันขออนุญาตนายเลยละกัน”
“ขออนุญาตอะไร” เมฆาถาม ความสงสัยมีในหัว
“พรุ่งนี้คุณแม่อยากให้รวีนวดให้อีกน่ะ ฉันเลยต้องขออนุญาตนายพารวีไปนวดให้คุณแม่น่ะ มารับสายๆ บ่ายๆ พามาส่ง” ภูริภัทรบอกความตั้งใจกับเมฆา “รวีบอกว่า ต้องขออนุญาตคุณป้าหรือไม่ก็แกน่ะ รวีตัดสินใจเองไม่ได้”
เมฆามองหน้าณัฐรวีที่ยังคงไม่กล้าสบตาเช่นเดิม ก่อนย้ายสายตาไปมองภูริภัทร
“ได้สิ” แม้ว่าใจไม่อยากให้ไป แต่ก็คงหาเหตุผลใดมากล่าวอ้างไม่ได้ อีกทั้งสมสมรเป็นบุคคลที่เขาเคารพรักเสมือนญาติคนหนึ่งการปฏิเสธจึงยาก
“งั้นพรุ่งนี้ฉันมารับรวีตอนเก้าโมงครึ่งนะ”
“อืมได้” เมฆารับรู้
“พี่กลับก่อนนะรวี พรุ่งนี้พี่มารับนะ ได้ทิปเพียบแน่” ภูมิภัทรพลั้งปากพูด “เจอกันพรุ่งนี้นะรวี พี่ไปล่ะ”
ภูริภัทรวางถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าลงบนพื้น ก่อนเดินออกจากบ้าน คำพูดของภูริภัทรทำให้เมฆาเข้าใจว่า ณัฐรวีต้องได้สินน้ำใจในการนวดให้สมสมร ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบ
“รวี แก้วตาซื้อเสื้อผ้ามาให้รวีด้วยนะ ขึ้นไปข้างบนกันดีกว่า”
แก้วตาที่นั่งรอการกลับบ้านของณัฐรวีเดินมาหาอีกฝ่าย ณัฐรวีก้มลงหยิบถุงกระดาษขึ้นมา ก้าวเดินตามแก้วตาขึ้นไปชั้นบน โดยไม่ได้มองหน้าเมฆา เพราะหล่อนรับรู้ถึงรังสีไม่พอใจแผ่กระจายรอบตัวเขา หากแก้วตาไม่อยู่ตรงนี้ด้วย หล่อนคงถูกเขากระทำบางอย่างแน่นอน