ตั้งแต่เดินเที่ยวด้วยกันมาร่วมสองชั่วโมง คุณชายตระกูลหวังดูจะให้ความสนิทสนมกับลูกน้องของเขามากเป็นพิเศษ ตอนแรกยอมเดินตามเขามาพอสักพักหวังเล่ยเทียนก็ปลีกตัวเดินตามไป่หลาง บางครั้งก็ดึงชายเสื้ออีกฝ่ายเมื่อต้องเดินฝ่าฝูงชนที่คับคั่งในซอยแคบ ใช้ไป่หลางเป็นที่เกาะเหมือนเป็นผู้ปกป้องกลายๆ ในขณะที่เขากลายเป็นคนที่หวังเล่ยเทียนให้ความสนใจน้อยที่สุด ถึงจะพูดคุยด้วย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากเท้าไป่หลาง ทำเอามาเฟียหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เมื่อไม่เคยชินกับการถูกละเลยกลายเป็นคนนอกสายตาของคนที่เขารู้สึกพิเศษด้วย หวังเล่ยเทียนกำลังทำให้เขาคุ้มคลั่ง
“ชอบสีขาวหรือเปล่า ถ้าชอบก็เลือกคู่สีขาวสิ มันเข้ากับทุกชุดได้ง่าย คู่นี้ดูจะเกาะพื้นดี”
ไป่หลางเลือกรองเท้าคู่สีขาวจากจำนวนสามคู่ที่หวังเลยเทียนนำมาให้ดู อีกฝ่ายยิ้มกว้างพยักหน้ารับแล้วหันไปบอกคนขายว่า
“เอาแบบนี้สองคู่ครับ พี่หลางใส่รองเท้าเบอร์อะไร ผมจะซื้อให้พี่คู่หนึ่ง”
เจ้าตัวบอกอย่างมีน้ำใจ อยากซื้อของให้ไป่หลางเป็นการตอบแทนบ้าง ตั้งแต่เดินมาเขาเลือกซื้อของได้หลายอย่าง มีทั้งเสื้อและหมวกและนาฬิกา ทุกอย่างเขาซื้ออย่างละสอง ชิ้นหนึ่งของตัวเองอีกชิ้นซื้อให้ไป่หลาง โดยไม่ได้สนใจจะซื้อให้หลิวเฟยหลงสักนิด ด้วยคิดว่ามาเฟียหนุ่มมีเงินทองมากมายอยากได้อะไรก็คงสั่งซื้อเอง เดินมาด้วยกันก็ไม่ค่อยจะพูดจา มีแต่เขาที่ชวนคุยจนรู้สึกเบื่อ เลยไปคุยกับไป่หลางที่พูดจามากคำกว่า เดินไปนานๆ เลยเผลอเกาะไป่หลางแจ ด้วยรู้สึกปลอดภัยและไม่อึดอัดใจเท่ากับเดินกับหลิวเฟยหลง
“ไม่ต้องหรอก พี่มีรองเท้าเยอะแล้ว”
ไป่หลางปฎิเสธ มองคุณชายตระกูลหวังด้วยสายตาเอ็นดู รู้สึกเหมือนได้เดินเที่ยวกับน้องชาย หวังเล่ยเทียนชอบพูดคุย ตลอดทางชวนเขาคุยไม่ยอมหยุด มันทำให้หัวใจชืดชาของเขาเริ่มมีความรู้สึกสนุกสนานบ้าง แม้จะต้องลำบากใจกับสายตาเข้มดุของผู้เป็นนาย ที่มักจะมองจ้องมาบ่อยครั้ง แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ อย่างน้อยหวังเล่ยเทียนก็ไม่ได้เข้าไปวอแวกับหลิวเฟยหลงอย่างที่เขากังวล ถึงหลิวเฟยหลงจะตจิดใจหวังเล่ยเทียนแต่ไม่ได้รับความสนใจตอบ มันเท่ากับตบมือข้างเดียวไม่ใช่หรือ คงไม่ผิดหากเขาจะใช้ตัวเองเป็นปราการกั้นไม่ให้สองคนได้ใกล้ชิดกัน แม้มันจะเป็นการกระทำที่ขัดใจมาเฟียหนุ่ม แต่ทาสสวาทอย่างเขาก็ทำมันลงไปเพราะไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักต้องไปใกล้ชิดกับคนอื่น แม้เพียงชั่วคราวแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำระทมใจ
“น่า เอาเถอะผมอยากให้พี่หลางใส่รองเท้าคู่นี้ด้วย วันหลังจะได้นัดกันไปออกกำลังกาย นะเอาเถอะนะ”
หวังเล่ยเทียนยังเซ้าซี้ไม่หยุด จนได้เห็นไป่หลางพยักหน้าถึงได้ยิ้มไม่หุบรีบจ่ายเงินคนขายทันที
“ฉันหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันไหม”
หลิวเฟยหลงเอ่ยขึ้น หลังจากสองหนุ่มพากันเดินออกจากร้านขายรองเท้าแล้ว เขาปรายตามองไป่หลางใช้สายตาให้อีกฝ่ายขยับออกห่างจากเด็กหนุ่ม ตัวเขาเดินเข้าไปแทรกกลางโอบไหล่ของหวังเล่ยเทียนไว้อย่างถือสนิท
“อาเล่ย นายอยากกินอะไร” มาเฟียหนุ่มเอ่ยถาม ว่าที่น้องภรรยาในอนาคต
หวังเล่ยเทียนยิ้มอ่อนๆ “ตามใจพี่เฟยหลงเลยครับ ผมกินได้ทุกอย่าง พี่หลางอยากกินอะไรครับ จะได้ไปร้านที่มีของที่เราอยากกิน” เขาหันไปถามไป่หลาง ทำเอามาเฟียหนุ่มหน้าตึงที่ถูกแย่งความสนใจ
“พี่กินอะไรก็ได้ คุณหลิวอยากกินอะไรครับ ผมจะได้หาทางไปร้านให้”
ไป่หลางหยิบมือถือขึ้นมากดดูแผนที่ เขาหลบสายตาคมดุของผู้เป็นนาย ที่ตอนนี้เริ่มเขียวขุ่น รับรู้ตามประสาคนที่เคยรับใช้ใกล้ชิดว่า หลิวเฟยหลงอารมณืไม่ดีแล้ว หากทำอะไรขัดใจมีหวังถูกอีกฝ่ายเล่นงานหนักแน่ หวังเล่ยเทียนเองดูเหมือนจะไม่รับรู้อะไรเลย ยังยิ้มรื่นตีหน้าสดใสไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้แม้แต่น้อย
“เอาร้านอะไรก็ได้ ที่ใกล้ๆ แถวนี้” หลิวเฟยหลงบอกเสียงขรึม
ในที่สุดก็เลือกร้านที่ใก้ที่สุด ซึ่งเป็นร้านขายบะหมี่ ซึ่งมีเมนูบะหมี่และอาหารจำพวกเส้นหลายชนิดให้เลือกรับประทาน สามหนุ่มสั่งมาคนละชาม แล้วตั้งหน้าตั้งตากินกันแบบไม่เงยหน้าคุยกัน จนอาหารบนโต๊ะหมดลงถึงได้หันมาคุยกัน การเดินเล่นสองสามชั่วโมงในช่วงบ่ายนี้ทำเอาหิวไม่ใช่เล่น กว่าจะรู้ตัวว่าหิวมากก็ตอนที่อาหารมาวางตรงหน้า คว้าตะเกียบคีบเข้าปากแทบไม่ทันใจ พอหมดชามถึงกับถอนหายใจแรงแล้วหัวเราะขึ้นมาเมื่อต่างคนต่างมีอาการไม่ต่างกัน
“ไม่คิดว่าจะหิวขนาดนี้ เดินเล่นเพลินจนหิวไม่รู้ตัว”
หวังเล่ยเทียนเป็นคนแรกที่พูดออกมา หลังจากวางตะเกียบแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม ท่าทางดูสนุกสนานไม่เปลี่ยน
“ซื้อของครบแล้วใช่ไหม แล้วจะไปไหนต่อหรือว่าจะกลับบ้านเลย” หลิวเฟยหลงเอ่ยถาม
“ผมยังไม่อยากกลับบ้านครับ พี่เฟยหลงมีที่เที่ยวที่ไหนแนะนำอีกไหมครับ ผมจะได้ไปเที่ยวต่อ” หวังเล่ยเทียนรีบปฏิเสธ พลางเอ่ยถามที่เที่ยวแห่งใหม่
“ถามไป่หลางดูสิ อาหลางนายรู้จักที่เที่ยวแถวนี้ดีนี่” มาเฟียหนุ่มปัดภาระให้ไป่หลางตอบแทน
“นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว ถ้าจะเดินเที่ยวสบายๆ ก็ไปที่อเวนิว ออฟ สตาร์ กันไหมครับ” ไป่หลางเสนอ
“ไปครับ ผมอยากไปถ่ายรูปกับรูปปั้นบรู๊ชลี แล้วก็ไปรอยฝ่ามือประทับของเฉินหลง”
หวังเล่ยเทียนดูจะตื่นเต้นมาก รีบบอกไป่หลางด้วยท่าทีสนใจ ทำเอาคนเห้ฯอดจะยิ้มไม่ได้ไม่เว้นแม้แต่คนยิ้มยากอย่างหลิวเฟยหลง เด็กหนุ่มจากตระกูลหวังผู้นี้ทำให้คนที่อยู่ใกล้ชิด รู้สึกสดชื่นเจ่มใสมีความสุขไปด้วยเสมอ
“งั้นก็ไปกัน เอารถของฉันไป ส่วนรถของนายให้จอดไว้ที่แล้วสั่งคนให้มาขับกลับไป ขากลับฉันจะไปส่งเอง”
หลิวเฟยหลงสรุปเสร็จสรรพ โดยไม่ขอความเห็นจากอีกฝ่ายสักคำ ไป่หลางผู้เป็นลูกน้องนั้นเคยชินกับอุปนิสัยแบบนี้จึงนั่งเงียบรับฟัง ส่วนหวังเล่ยเทียนได้แต่อ้าปากเหวอแต่ไม่กล้าคัดค้าน จำต้องยกโทรศัพท์โทรบอกคนที่บ้านให้มาเอารถกลับไป แล้วเดินทางไปเที่ยวต่อกับสองหนุ่ม
อเวนิว ออฟ สตาร์ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของฮ่องกง ลักษณะเป็นพื้นทางเท้าทอดยาวบนอ่าววิคตอเรีย (Victoria Bay) ประมาณ 440 เมตร ตามพื้นทางเท้าจะพบกับลายมือของนักแสดงที่มีชื่อเสียงของฮ่องกงเช่นแจ็กกี้ชานหรือเฉินหลง และยังมีประติมากรรมโลหะของนักแสดงฮ่องกงอย่างบรู๊ซลีอีกด้วย หวังเล่นเทียนพอได้เจอรุปปั้นบรู๊ชลีก็ตรงรี่เข้าไปถ่ายรูป ไม่พอยังลากแขนไป่หลางและหลิวเฟยหลงให้ถ่ายรูปร่วมกัน ก่อนจะขอให้ไป่หลางถ่ายรูปของเขากับรูปปั้นเป็นที่ระลึก
“พี่หลางถ่ายผมออกมาหล่อๆ นะครับ รูปนี้ผมจะเอาไปอวดเพื่อนที่มหาวิทยาลัย”
หวังเล่ยเทียนส่งมือถือให้ไป่หลางช่วยถ่ายรูปให้ ตัวเขาไปยืนแอ๊คท่าอยู่ใกล้ๆ รูปปั้น โดยมีหลิวเฟยหลงยืนกอดอกมองดูด้วยสายตาขบขัน กับท่าทางประหลาดๆ ของเด็กหนุ่มที่ช่างสร้างสรรค์ได้อย่างน่าขัน กว่าจะถ่ายรูปจนพอใจก็นานพอดู จนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี จึงพากันไปนั่งเล่นริมอ่าววิคตอเรียรอเวลาชมแสงสีเสียงริมอ่าว ที่เรียกว่าการแสดงมัลติมีเดียซิมโฟนีออฟไลต์อันตระการตาจากตึกระฟ้าสี่สิบสี่แห่งรอบอ่าว ซี่งถือเป็นไฮไลค์สำคัญของที่นี่
“ประมาณสองทุ่ม จะมีการแสดงแสงสีเสียงครับ” ไป่หลางบอก
“อืม ดูเสร็จก็หาอะไรกินอีกรอบ แล้วค่อยพาอาเล่ยไปส่งบ้าน”
หลิวเฟยหลงสรุป เขาหันไปมองหน้าอ่อนใสของหวังเล่ยเทียนแล้วยิ้มมุมปากอีกฝ่ายเหมือนเด็กน้อยกำลังซน แววตาดูสดใสตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งรอบกาย ลักษณะคล้ายกับคิมมินจุนไม่น้อย