ตอนที่ 1

1289 คำ
1 เคยไหม? แอบรัก แอบชื่นชม แอบมองใครสักคนมาเนิ่นนาน คนที่ไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้พอให้เอื้อมคว้า คนที่อยู่ในระยะสายตา แต่ไม่มีสิทธิ์นำมาอยู่ในหัวใจ “เช็ดน้ำลายหน่อย” “ฮะ หา? บ้าสิมีที่ไหนกันนังเพลิน” ฉันรีบยกมือเช็ดปาก แน่ใจว่าปากไม่ได้เปียกเปื้อนอย่างเพื่อนว่าก็ตวัดตาค้อนไปทีหนึ่ง ไอ้เรื่องหาว่าฉันน้ำลายไหลไม่ติดใจ แต่มันดันฟาดมือใส่ต้นแขนฉันด้วยนี่สิ เจ็บฉิบหาย... พอฉันค้อน หล่อนก็ยกแก้วเหล้ามาตั้งตรงหน้าเสียงดัง “แดกเข้าไป มองผู้ไม่มันไม่เมาเหมือนแดกเหล้าหรอกย่ะ” ฉันก็รู้ไหม มันจะย้ำเพื่อ!!! มองนิดมองหน่อยไม่สึกไม่หรอหรอก ฉันค้อนนังเพื่อนปากกรรไกร ก่อนหันไปมองเป้าหมายอีกครั้ง “เฮ้อ เห็นแล้วอยากได้เป็นพ่อของลูก” “เวิ่นละ” “ไม่ได้เป็นหลัวขอแค่น้ำเชื้อก็ได้เปล่าอะ อยากมีลูกหน้าตาดีแบบนี้” “ดูหนังหน้าตัวเองก่อนไหมคะคุณสกุณา น้ำเชื้อดีแค่ไหนผสมกับไข่ไร้คุณภาพก็ยากจะได้สุดยอดผลิตผลนะแก” “เพลิน...พิษ” ฉันเรียกชื่อมันอย่างจงใจลากเสียง ถ้ามันไม่ใช่หนึ่งในเพื่อนรักเพื่อนสนิทน้อยนิดที่คบกันอยู่ มีตบ! ฉันชี้หน้าตัวเอง “นี่เพื่อน” หล่อนควรจะให้กำลังใจเพื่อน ไม่ใช่ชง ชง~ ในแบบความหมายของจีนน่ะนะ “เพลินพิศย่ะ พิศที่สะกดด้วย ศ ไม่ใช่ ษ รู้นะแกแอบด่าฉันในใจนังนก” เพลินพิศ หัวเราะร่วน เห็นหน้าเพื่อนรักอย่างฉันงอง้ำก็ตบหลังตบไหล่ หึ! ตบหัวแล้วลูบหลังชัดๆ “แกก็อย่าไปแซวมันมากดิเพลิน เดี๋ยวมันน้อยใจเอากาวตราช้างหยอดปิดรูไว้หรอก” นี่เพื่อนอีกคน สาวสวยแซ่บ ทั้งหุ่นทั้งหน้าตาทรมานใจชายได้แบบไม่ต้องทำอะไรเลย “ตูน แกไม่ควรอ้าปาก” การ์ตูน กตัญญุตา ชื่ออย่างน่ารัก หน้าอย่างสวย หุ่นอย่างเอ็กซ์ แต่มันอ้าปากแต่ละทีจิกกัดฉันซะยิ่งกว่าเพลินอีก ฉันชี้หน้าพลางค้อนปะหลับปะเหลือก ส่วนนางเหรอ หัวเราะตาพราวระยับ น่าโมโห คิดแล้วฉันก็ยกแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นมาดื่ม ทอดสายตาผ่านหน้าหล่อเหลาของเพื่อนร่วมรุ่น ร่างสูงสมาร์ตนั่นกำลังเดินมาทางนี้ ฉันดึงสายตากลับมาอย่างแนบเนียน ฉัน สกุณา ชื่อเล่นอย่างน่ารักว่า อาย แต่นังเพื่อนมหาภัยชอบเรียกฉันว่านก ‘นก’ ที่แปลว่า แห้ว ชวด ไม่สมหวังตามศัพท์สแลงสุดฮิตยุคนี้นั่นแหละ ความไม่สมหวังของฉันก็คงมาจากนิสัยขี้อายมาตั้งแต่เกิดละมั้ง พ่อแม่จึงตั้งชื่อเล่นว่าอาย ขณะที่พี่สาวสองคนชื่ออ้อกับเอิร์น พี่อ้อคนโตทำงานเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหา’ลัยเอกชนแห่งหนึ่ง พี่เอิร์นเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในออสเตรเลีย ทั้งสองคนแต่งงานแล้ว เหลือแค่ฉัน นังอายหรือนางอาย น้องสาวคนสุดท้องที่ยังเกาะคานเกือบทองในวัยสามสิบสองปีเต็ม ฉันแอบชอบผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่น แอบชอบแอบมองตั้งแต่เข้าเรียนปี 1 เขาเป็นหนุ่มหล่อที่ฮอตและป๊อปมาก ทั้งในกลุ่มนักศึกษาแพทย์และสาวๆ จากคณะอื่น รูปร่างสูงสมาร์ต ผิวขาว ริมฝีปากอมชมพูสวย สวยมากกว่าฉันที่เป็นผู้หญิงซะอีก ไม่แปลกที่จะมีสาวๆ ตามจีบเขาเยอะแยะ ฉันเองก็เคยถูกลูกยุของเพลินกับตูนให้จีบเขา แต่...ไม่ติด ก็จีบแบบผู้หญิงขี้อายอะนะ เขาคงรู้แหละมั้ง แต่ไม่แสดงออก คนฉลาดที่สุดในรุ่นไม่รู้ก็แปลกแล้ว หากที่เขาแสดงออกกับฉันคือความเป็นเพื่อน และก็เป็นเพื่อนกันจนเรียนจบ แยกย้าย ฉันต่อเฉพาะทาง เขาต่อเฉพาะทาง จากนั้นได้ยินแว่วๆ ว่าเขาได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ  คนเรา ความรู้สึกมันไปแล้วไง ชอบแล้วไง อ่านกินเพื่อนไม่ผิดอะไรมากมายหรอกเนอะ ตอนนี้ผู้ชายที่ฉันอ่านกินก็เดินมานั่งโซฟาฝั่งตรงข้ามนี่เอง “ไงครับสาวสาว” “ว่าน ไม่เจอกันนานเลยนะ ว่าแต่นายนี่จะขาวไปไหน เมื่อก่อนก็ว่าขาวแล้วนะ” “เพลินครับ อย่างอื่นมีให้ทักเยอะแยะ ไม่เจอกันเกือบสิบปี หมอเพลินทักเรื่องขาวเนี่ยนะ” วินไธยเอ่ยยิ้มๆ “ก็มันจริง ขาวเว่อร์สงสัยเพราะโดนอากาศหนาวๆ” “นึกว่าหมอว่านจะไม่กลับเมืองไทยแล้วซะอีก”ตูนเย้าเขา “กลับมาสิ บ้านอยู่ที่นี่” ว่าน วินไธย ทำอะไรก็มีเสน่ห์หมดนั่นแหละสำหรับฉัน ยิ้มนั้นก็เผื่อแผ่มาถึงฉันด้วย จึงต้องพยักหน้าทักทายเขาไปบ้าง “แล้วคนนี้ล่ะเมายัง แก้มแดงๆ” “อีกนาน” ฉันตอบ ยักคิ้วให้เขาสองทีซ้อนอย่างกวนๆ พร้อมปรามหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นแรงไปกับรอยยิ้มกระชากใจนั่น มันก็ช่าง...ทำได้ยาก ช่างเหอะ อยากเต้นก็เต้นไป ว่านมองฉันยิ้มๆ ไม่กี่นาทีเขาก็ถูกเพื่อนๆ ผู้ชายลากไปอีกมุม ฉันมองพวกเขาพูดคุยเฮฮา ดื่มกินกันสนุกสนานเสียงดังลั่นแข่งกับเสียงเพลง ที่นี่เป็นผับ พวกเรานัดเลี้ยงรุ่นกัน ตัวตั้งตัวตีคือชุน ประธานรุ่น ใช้วิธีส่งข่าวผ่านโซเชียล บอกต่อๆ กัน โชคดีที่เทคโนโลยีสมัยนี้เจริญมาก ไม่ว่าใครอยู่ซอกมุมไหนก็ติดต่อค้นหากันได้หมด งานเลี้ยงของพวกเราก็คือ การมาพบเจอกัน พูดคุยกันสังสรรค์กัน แต่ใช่ว่าจะมากันครบ บางคนติดงานมาไม่ได้จริงๆ บางคนเสียไปแล้ว ใจหายนะ ตอนได้ยินว่าคนนั้นคนนี้ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว เราเป็นหมอ เรียนมาเพื่อช่วยชีวิตคนก็จริง แต่เราไม่อาจช่วยได้ทุกคนแม้แต่ตัวเราเอง ฉันดึงสติกลับมาอยู่กับเพื่อนๆ ที่แวะเวียนเข้ามาพูดคุยทักทาย ชนแก้ว ดื่มได้ที่ก็ออกไปเต้นกันเมื่อเพลงมันโดน เมื่อก่อนฉันขี้อายก็จริง แต่หลังอกหักเงียบๆ จากเขาคนนั้นแหละ ฉันพยายามปรับเปลี่ยนตัวเอง และด้วยหน้าที่การงานสูตินรีแพทย์ ทำให้ฉันกล้าขึ้น ที่ขาดไม่ได้คือเพื่อนสนิทคนสวยทั้งสองที่ช่วยบ่มเพาะเรื่องน่าขายหน้าให้จนตอนนี้หน้าฉันหนาขึ้นกว่าเดิมมาก “โอย ไม่ไหว สงสัยแก่แล้ว เต้นไม่กี่เพลงก็เมื่อยไปหมด” พวกเราหัวเราะกันเมื่อกลับมาที่โต๊ะ พวกผู้ชายบางส่วนนั่งชนแก้ว บางส่วนออกไปเต้น จนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน หลายๆ คนเริ่มตาแดง คอพับ และขอตัวกลับกันบ้างแล้ว “เรากลับกันเลยไหม พรุ่งนี้ฉันเข้าเวรสิบโมง” ตูนหันมาถามฉันกับเพลิน “กลับสิ ก่อนกลับไปห้องน้ำกันก่อนนะ” ฉันบอกเพื่อน แล้วพวกเราก็บอกลาคนอื่นๆ ฉันไม่ลืมปรายตาไปมองทางว่านผ่านๆ เขานั่งอยู่กลุ่มเพื่อนสนิทของเขา ดาม ปิง กับอีกหลายคน เราไม่ได้คุยกันซึ่งหน้าตลอดเวลาหลายชั่วโมงมานี้ เรื่องราวของเขา ฉันพอได้ยินจากการที่เพื่อนๆ ถามเขาอยู่บ้าง ว่านเพิ่งกลับจากต่างประเทศ เขาเป็นหมอศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านหัวใจเป็นพิเศษ หลังจากเรียนจบ ทำงานอยู่ต่างประเทศหลายปีก่อนกลับมาเมืองไทย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม