ตอนนี้คนในเรือนชิงฟางมิได้แปลกใจยามที่เห็นนายท่านแวะมาอีกแล้ว เหมยฮวาที่ออกมาเปิดประตูยอบกายแล้วกล่าว
“ฮูหยินและคุณหนูนั่งเล่นอยู่ศาลาหลังเรือนเจ้าค่ะ”
ชางฉือหมิงเพียงพยักหน้าแล้วสาวเท้าไปยังทิศทางนั้น วันนี้ชางเยว่สวมเสื้อผ้ามากชิ้นจนตัวพอง ลี่เซียงพานางออกมานั่งเล่นนอกเรือน ด้วยกลัวว่านางจะหนาวจึงให้สวมเสื้อสีชมพูแขนยาวตัวหนาอีกชั้นหนึ่ง ทั้งยังให้นางนอนในตะกร้าสานขนาดใหญ่บุด้วยเบาะนุ่ม แม่นมหลี่และเหลียนฮวาเฝ้าอยู่ข้างๆ ส่วนท่านแม่อ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ชางเยว่รู้สึกเบื่อแต่ก็ทำได้เพียงนอนชมบรรยากาศเงียบสงบโดยรอบ เรือนนี้ร่มรื่นด้วยสวนไผ่ เวลาลมพัดก็ได้ยินเสียงใบไผ่เสียดสีน่าฟังราวกับเสียงของสายฝน ฟังไปสักพักชางเยว่ก็เคลิบเคลิ้มใกล้จะหลับ
“นายท่าน”
เสียงของเหลียนฮวาดังขึ้นก่อน พาให้เปลือกตาหย่อนคล้อยของชางเยว่เปิดขึ้น
ท่านพ่อมาแล้ว!
ชางเยว่ดีใจเหลือเกิน แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่านางยังโกรธและผิดหวังในตัวเขาไม่หาย นางเกิดได้สามเดือนเขาถึงเพิ่งแวะมาหา มิหนำซ้ำยังแวะมาเพียงเพื่อแจ้งข่าวร้ายอย่างการรับอนุนั่น อย่างไรเสียวันนี้นางก็ตั้งใจว่าจะไม่สนใจเขาเด็ดขาด!
“ใต้เท้าชาง”
เสียงฝีเท้าหนักแน่นก้าวขึ้นมาบนศาลา ลี่เซียงทำท่าจะลุกขึ้นคารวะ แต่ผู้เป็นสามีเดินมากดบ่าเอาไว้
“นั่งเถอะ อย่าลำบากเลย”
จากนั้นเขาก็ถือโอกาสนั่งลงข้างๆ นางแล้วชะโงกมองลงมาในตะกร้า ลูกสาวตัวน้อยทำแก้มพองแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ทำเอาชายหนุ่มต้องเลิกคิ้วอย่างจนใจ
ดูเหมือนวันนี้เจ้าตัวเล็กจะอารมณ์ไม่ดี
“อาเยว่ พ่อแวะมาหาเจ้า”
เขาเอ่ยกับนางเสียงนุ่ม นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปไล้แก้มแดงยุ้ยเบาๆ แต่ลูกสาวกลับหันให้ดูเพียงท้ายทอย
ลี่เซียงเห็นลูกสาวมีกิริยาแปลกไปจึงเอ่ยเรียก
“เยว่เอ๋อร์ ท่านพ่อคุยกับเจ้า”
นางไม่เคยเห็นลูกสาวเมินเฉยต่อใครเช่นนี้มาก่อน มิหนำซ้ำที่ผ่านมาทุกคราวที่นางได้เห็นหน้าบิดาก็ทำท่าลิงโลดใจราวกับลูกสุนัขตัวน้อยมิใช่หรือ
ชางเยว่ไม่อยากจะสนใจเขา ทั้งยังไม่อยากเมินเฉยต่อถ้อยคำของมารดา กลัวว่าท่านแม่จะเสียใจที่นางไม่เชื่อฟัง จึงแสร้งทำเป็นหลับเสียเลย ชางฉือหมิงจับตะกร้าหันกลับมา จึงเห็นลูกสาวหลับตาพริ้ม แต่ด้วยความที่เด็กน้อยยังไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ จึงทำให้ต้องใช้ความพยายามจนหัวตายับย่น ดูไปแล้วไม่เหมือนคนนอนหลับสักนิด ชายหนุ่มเห็นแล้วมุมปากก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
อาเยว่เอ๋ย..อาเยว่ ตัวแค่นี้เหตุใดจึงดูรู้ความเหลือเกิน
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดลูกสาวจึงมีท่าทางแง่งอนเช่นนี้ แค่พอรู้ว่านางยังไม่หลับก็ก้มลงไปอุ้มนางขึ้นมากอดไว้แนบอก ยามที่มีร่างนุ่มๆ อยู่ในอ้อมแขน ชางฉือหมิงก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย เขาก้มหน้าลงฝังจมูกกับแก้มนุ่มแล้วพึมพำเบาๆ
“ลูกรักของพ่อ พ่อคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ชางเยว่ได้ยินแล้วอดไม่ได้จะลืมตาขึ้นมอง ใบหน้าของท่านพ่อดูเศร้าหมอง แววตาอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้นอน นางเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้
ท่านพ่อเองก็คงไม่มีความสุขนัก ถึงเกิดมาในตระกูลใหญ่พรั่งพร้อมด้วยยศศักดิ์ แต่ชีวิตของท่านพ่อก็คงไม่เรียบง่าย กับท่านแม่ที่เป็นภรรยาก็ยังไม่อาจสนิทสนมได้ตามใจ พวกเขาต่างก็มีความจำเป็นของตัวเอง ชางเยว่เห็นแล้วก็อยากทอดถอนใจเสียเหลือเกิน
สวรรค์ให้โอกาสนางได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากัน แต่ก็มีวิบากกรรมที่ต้องฟันฝ่า
ชางเยว่ยื่นมือน้อยๆ ออกไปสัมผัสใบหน้าท่านพ่อ ดวงตาที่มองเขาสื่อความหมายเข้าอกเข้าใจ
ชางฉือหมิงได้รับสัมผัสปลอบประโลมจากลูกสาวก็รู้สึกเต็มตื้น ยามนี้ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากนางแค่คืบ นางผงกศีรษะขึ้นมาทำท่าอยากเข้ามาใกล้ๆ เขาจึงก้มลงไปหา ริมฝีปากนุ่มเปียกชื้นของนางพลันประทับลงบนแก้มคล้ายไม่ตั้งใจ
จุ๊บ…
มือเล็กลูบแก้มเขาเบาๆ อีกสองสามครั้ง
สัมผัสเปียกชื้นยังคงติดอยู่บนผิวหน้า เขามองดูลูกสาวที่ตอนนี้เบี่ยงเบนความสนใจไปทำอย่างอื่น นางกำลังพยายามเอื้อมมือคว้าจับปลายเท้าของตัวเองอย่างสนุกสนาน เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อครู่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ หรือว่านางตั้งใจจะปลอบใจเขาจริงๆ
ชางฉือหมิงอยู่กินข้าวเย็นที่เรือนชิงฟาง วันนี้ชางเยว่นอนกลางวันไปเพียงไม่นาน พอตกเย็นก็เริ่มง่วงเหงาหาวนอนแล้ว ลี่เซียงให้แม่นมหลี่รีบพานางไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นสองสามีภรรยาเพียงกินข้าวกันเงียบๆ ลี่เซียงนึกถึงถ้อยคำของแม่นมหลี่ เพื่อชางเยว่นางควรจะปรนนิบัติเอาใจเขาให้ดี คิดได้ดังนี้จึงคีบกับข้าวให้เขาอย่างเอาใจใส่ เมื่อวานกินข้าวด้วยกันเพียงมื้อเดียวลี่เซียงก็สังเกตเห็นแล้วว่าเขาเป็นคนกินเนื้อไม่ค่อยกินผัก จึงคีบเนื้อหมูเนื้อปลาให้เขา
ชางฉือหมิงอดมองมือขาวนวลที่จับตะเกียบคอยปรนนิบัติไม่ได้ ถึงแม้สภาพจิตใจก่อนที่จะมาถึงเรือนชิงฟางจะย่ำแย่ แต่ทั้งสองแม่ลูกก็ทำให้เขาสบายใจ กินอิ่มแล้วจึงรั้งอยู่ต่ออีกสักพัก
ชางเยว่ที่อาบน้ำเสร็จแล้วเนื้อตัวหอมกรุ่นถูกอุ้มเข้ามากล่าวลาบิดาไปเข้านอน นางส่งเสียงอ้อแอ้กับเขาเพียงไม่กี่คำก่อนที่ปากเล็กๆ จะอ้ากว้างแล้วหาวนอนหวอดใหญ่ ท่าทางนั้นเรียกรอยยิ้มจากทุกคน ชางฉือหมิงก้มลงหอมแก้มนางฟอดใหญ่อย่างอดใจไม่ไหว
"ไปนอนเถอะ ไว้พ่อจะแวะมาหาเจ้าใหม่"
ลี่เซียงได้ยินเช่นนั้นก็คิดว่าเขาจะกลับแล้ว ลังเลว่านางควรจะชวนเขาค้างคืนที่เรือนหรือไม่ พอแม่นมหลี่อุ้มชางเยว่ออกไปแล้วจึงนั่งบีบมืออย่างกระวนกระวาย
แม้จะมีลูกด้วยกันแล้ว แต่สำหรับนางเขายังคงเสมือนคนแปลกหน้า ตั้งแต่คืนเข้าหอจวบจนนางคลอดลูกสาว เพิ่งจะมีโอกาสได้เจอหน้าเขาก็เมื่อไม่กี่วันมานี้ มิหนำซ้ำทั่วทั้งจวนยังมีข่าวว่าเขาจะรับอนุ หากนางเอ่ยปากเชิญชวนเขามิใช่ดูสิ้นหวังจนน่าอดสูใจหรอกหรือ
ชางฉือหมิงจิบชาพลางลอบสังเกตภรรยาอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่ยังไม่เห็นนางเอ่ยอะไรจึงกล่าว
"เจ้าคงได้ยินข่าวเรื่องนั้นมาบ้างแล้ว"
ลี่เซียงพยักหน้า นางหันมาสบตากับเขาอย่างยอมรับชะตากรรม ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากเสียที
"ข้ามิได้รับปากท่านแม่ เจ้าเพิ่งแต่งเข้ามาไม่นาน ทั้งยังเพิ่งคลอดบุตรให้ข้า ยังไม่จำเป็นต้องรีบร้อนรับอนุภรรยา"
ยามเอ่ยเขาจับจ้องนางไม่วางตา พอเห็นดวงตากลมโตเบิกกว้าง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
"แต่เรื่องนี้ยังต้องคุยอีกยาว ดูเหมือนท่านแม่จะไม่เห็นด้วยนัก"
กล่าวจบชายหนุ่มก็ถอนใจยาว
เดิมทีลี่เซียงคิดจะกล่าวกับเขาว่านางไม่มีสิ่งใดขัดข้องหากเขาจะรับอนุภรรยา แต่เมื่อคิดถึงแววตาสุกใสของลูกสาวยามจับจ้องบิดาพลันรู้สึกเวทนาหากความรักของบิดาจะถูกยื้อแย่งไปให้ผู้อื่น ลำพังตัวลี่เซียงเองแม้จะถูกเมินเฉยก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นเรื่องความสุขของลูกสาวนางกลับทนไม่ได้ เด็กที่เติบโตมาโดยมีแม่เลี้ยงเป็นใหญ่ในบ้าน จะมีใครรู้ซึ้งถึงความขมขื่นดียิ่งไปกว่านางเล่า
"ท่านแม่ปรารถนาดีต่อท่าน ย่อมอยากให้ท่านมีทายาทสืบสกุลโดยไว"
กล่าวจบสองแก้มของลี่เซียงก็ร้อนผ่าว นางกำลังบอกเขาเป็นนัยว่าหากเขามีบุตรชายเจาซื่อก็อาจจะไม่บีบบังคับเช่นนี้ก็เป็นได้ ชางฉือหมิงมีหรือจะฟังความนัยไม่ออก ยิ่งเห็นนางก้มหน้าสองแก้มแดงจัด เขาพลันรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งกาย ลำคอแห้งผากจนต้องรีบยกชาขึ้นดื่มดับความคิดฟุ้งซ่านในหัว
หรือว่านางยินดีจะให้เขา...
ชางฉือหมิงแทบไม่อยากเชื่อ นางมิได้รังเกียจเขาหรอกหรือ...
เขากระแอมเล็กน้อย มือที่กำอยู่ใต้แขนเสื้อกำลังจะยกขึ้นทาบมือขาวนวลที่วางอยู่บนโต๊ะ พลันมีเสียงบ่าวเข้ามารายงาน
"นายท่านเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่ให้บ่าวมาเชิญนายท่านไปพบเจ้าค่ะ"