ชางเยว่กำลังหลับสนิท ลี่เซียงไม่อยากอยู่ในห้องกับชางฉือหมิงเพียงลำพังแต่ก็ไม่กล้าปล่อยลูกไว้กับเขา นางไม่ไว้ใจเขาเลยสักนิด หากลับตานางเขาจะทำอะไรลูกหรือไม่ นางทนไม่ได้หากลูกจะได้รับความเจ็บปวดแม้แต่น้อย เห็นเขายังคงนั่งมองเปลเด็กแถมยังเอื้อมมือลงไปแตะแก้มนุ่มๆ ของชางเยว่ ประเดี๋ยวก็ใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมอ่อนนุ่มที่ปรกหน้าผากให้ลูก ลี่เซียงจึงทำทีไปหยิบสะดึงผ้ามานั่งปักแล้วแอบสังเกตเขาอยู่เงียบๆ
ชางฉือหมิงพบว่าเขาเพลิดเพลินกับการนั่งมองลูกสาวตัวน้อยหลับใหล ผิวของนางขาวผ่องเป็นยองใย แก้มยุ้ยเป็นสีชมพูระเรื่อ ดวงตาที่กำลังปิดมีขนตาหนายาวเป็นแพ กลิ่นหอมนมจากร่างเด็กน้อยทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย กระนั้นอากาศตอนบ่ายค่อนข้างอบอ้าว ชางฉือหมิงที่นั่งเฉยๆ ยังรู้สึกว่าเริ่มจะร้อน เห็นตามไรผมและปลายจมูกของลูกสาวที่นอนห่มผ้าอยู่เริ่มมีเหงื่อซึม เขาจึงล้วงพัดออกมาจากอกเสื้อ ตั้งใจจะพัดให้นาง
“ลูกโดนลมจะไม่สบายเอาได้”
น้ำเสียงไม่ห้วนไม่อ่อนหวานลอยมาตามลม ชางฉือหมิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองภรรยา นางเพิ่งคลอดบุตรได้เพียงไม่กี่เดือนก็กลับมาอ้อนแอ้นอรชรดังเก่า ทว่าคิ้วเรียวสวยกลับขมวดมุ่น สายตาของเขากวาดมองดวงหน้าที่ไม่เป็นมิตรของนางพลันรู้สึกคับข้องใจ มีภรรยาที่ไหนไม่ต้อนรับสามีอย่างนี้บ้าง
“อาเยว่เหงื่อออก ข้าจะพัดให้นาง”
เขากล่าวแล้วคลี่พัดออกดังพรึ่บ ลี่เซียงวางงานผ้าปักในมือลงก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาประจันหน้าอยู่อีกฟากหนึ่งของเปล ทำท่าราวกับแม่ไก่หวงลูกที่พร้อมจะยับยั้งหากเขาไม่ฟังคำพูดของนาง
“เด็กๆ ร่างกายอบอุ่นจึงจะดี นี่เพิ่งจะต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวทำให้จับไข้ได้ง่าย ใต้เท้าชางไม่เคยเลี้ยงดูนาง จะไม่รู้ก็ไม่แปลก”
ตอนที่นางเข้ามาใกล้ เสื้อผ้าพลิ้วไหวตามจังหวะการขยับกายพาให้กลิ่นหอมพัดมาตามลมระลอกหนึ่ง เรือนพักของนางสะอาดเรียบร้อย ประดับด้วยงานฝีมือกระจุกกระจิกงามตา ทั่วทั้งกายอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้เจือกลิ่นนม เขาสูดหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัว ครั้นเงยหน้ามองก็เห็นสายตาเอาเรื่องที่จ้องมองมา ทำราวกับว่าเขากำลังจะประทุษร้ายลูกสาวของตัวเองกระนั้น เขาไม่อยากจะมีเรื่องกับนาง มือที่จับพัดจึงขยับโบกให้ตนเองแทน
“เช่นนี้คงไม่เป็นไรแล้วกระมัง”
เสียงทุ้มต่ำมีนัยประชดประชันติดจะห้วนอยู่บ้าง แม้พวกเขาจะพยายามคุยกันเสียงเบา แต่แม่หนูน้อยที่หลับใหลมาพักหนึ่งแล้วกลับขยับตัวทำท่าราวกับจะตื่น ลี่เซียงเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาตื่นนอนตามปกติของนาง จึงรีบก้มตัวลงเขย่าก้นน้อยๆ พร้อมกับส่งเสียงเห่กล่อม สีหน้านางอ่อนโยนอย่างยิ่ง ริมฝีปากอิ่มชุ่มชื้นแย้มยิ้มน้อยๆ ยามมองลูกสาว ชางฉือหมิงจ้องมองอย่างเผลอไผล ครั้นรู้สึกตัวก็รีบเลื่อนสายตาไปทางอื่น
บังเอิญนักที่นางอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเปล ยามที่ก้มตัวลงมาคอเสื้อจึงเปิดกว้าง เผยให้เห็นความอวบอิ่มมีน้ำมีนวลที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน ชางฉือหมิงขมวดคิ้วก่อนจะรีบลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง ไม่ยอมมองมาทางนางอีก
“ทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”
เขาเปรยขึ้นเป็นเชิงเกรงใจ นางเพิ่งเอาลูกเข้านอนไป เขากลับมาทำให้ตื่น
ลี่เซียงเพียงกล่อมลูก ไม่สนใจแม้แต่จะตอบ ทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว
ปกติชางเยว่เลี้ยงง่าย หากนางนอนแล้วมักไม่ตื่นขึ้นมาก่อนเวลา แต่วันนี้ต่างออกไป เปลือกตาของแม่หนูขยับถี่รัวอย่างคนที่พยายามจะฝืนต่อสู้กับความง่วงงุน
“เด็กดี นอนเถิด”
ลี่เซียงเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้แม่หนูจะไม่ยอมเชื่อฟังท่านแม่ง่ายๆ ใบหน้ากลมๆ นั้นส่ายไปมา กำปั้นเล็กๆ ยกขึ้นขยี้ตาก่อนจะปัดป่ายไปทั่วใบหน้า ปากน้อยเบะออกทำท่าจะร้องไห้
นางง่วงนอนเหลือเกิน แต่ได้ยินเสียงคล้ายกับท่านพ่อจึงต่อสู้กับความง่วงฝืนลืมตาตื่นขึ้นมา ความรู้สึกที่หงุดหงิดไม่สบายทำให้เจ้าตัวเล็กอารมณ์เสียอย่างหนัก นางส่งเสียงอืออาในลำคออย่างเตรียมจะแผดเสียงจ้า
"ตื่นแล้วหรืออาเยว่!"
เสียงทุ้มที่ดังแทรกขึ้นทำให้ชางเยว่ชะงักไปทันใด เมื่อครู่ชางฉือหมิงเพิ่งจะเอ่ยปากขอโทษที่มารบกวน แต่ตอนนี้สีหน้าแววตากลับเปี่ยมไปด้วยความยินดีที่เห็นเจ้าตัวน้อยตื่น ทำเอาลี่เซียงโมโหยิ่งนัก นางได้แต่มองค้อนอีกฝ่ายโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด
ชางเยว่ที่กำลังจะร้องไห้งอแง พอเห็นใบหน้าของท่านพ่อที่ชะโงกอยู่เหนือเปลก็ชะงักไป เมื่อครู่นางไม่ได้ฝันไป! นางได้ยินเสียงท่านพ่อจริงๆ ด้วย ท่านพ่อมาหานางแล้ว!
ใบหน้ายุ่งแปรเปลี่ยนเป็นลิงโลด น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยินดีรินไหลจากสองตา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอท่านพ่อในชาตินี้ เขายังเป็นท่านพ่อที่แสนใจดี แววตาอบอุ่นที่มองมานั้น ชางเยว่ยังจำได้ฝังใจ ความคิดถึงท่วมท้นทำให้ทารกน้อยไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ กลายเป็นน้ำตาไหลพรากโดยไร้เสียง ดูแล้วชวนให้คนปวดใจนัก
ชางเยว่ยังไม่ทันมองท่านพ่อให้เต็มตา ท่านแม่ก็อุ้มนางขึ้นมาพาดบ่าหันหลังให้กับท่านพ่อเสียแล้ว
"เยว่เอ๋อร์เพิ่งตื่น คงจะอารมณ์ไม่ดี ท่านกลับไปก่อนเถอะ"
ลี่เซียงโยกตัวไปมาเพื่อขับกล่อมลูกน้อย ปากก็เอ่ยไล่สามีโดยไม่เกรงใจ แต่ชางฉือหมิงมีหรือจะสนใจ เขากำลังมองลูกสาวที่เพิ่งได้พบหน้าด้วยดวงตาเป็นประกาย ฝ่ายชางเยว่ได้ยินมารดาออกปากไล่บิดาก็ร้องโวยวายขึ้นมาทันที
"อา..อา...อา...อ๊า..." (ท่านพ่ออย่าไป)
"เห็นหรือไม่ นางกำลังงอแง ยังไม่พร้อมให้ท่านเล่นด้วยตอนนี้หรอก"
ลี่เซียงรีบกล่าวสำทับตอนเห็นสามีเดินเข้ามาใกล้ ชางเยว่กลัวว่าท่านพ่อจะจากไปจริงๆ จึงรีบร้องไห้เสียงแผดจ้าเป็นการประท้วง ชางฉือหมิงได้ยินเสียงร้องก็นึกสงสาร จึงกล่าวกับภรรยา
"ให้ข้าลองอุ้มนางหน่อยเถิด ไหนๆ ก็เป็นข้าที่ทำนางตื่น ให้ข้าเป็นคนกล่อมนางเถอะ"
ลี่เซียงมองหน้าเขาอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะยอมให้เขาอุ้มลูกสาวอย่างไม่เต็มใจนัก กระนั้นนางก็คอยอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง กลัวว่าเขาจะทำทารกน้อยหลุดมือ พอได้อยู่ในอ้อมแขนท่านพ่อ ชางเยว่ก็ซุกหน้าเข้ากับอกหนาเช็ดน้ำหูน้ำตาอย่างน่ารัก นางหยุดร้องไห้แล้วซบอกท่านพ่อนิ่งราวกับลูกแมวตัวน้อย สองมือกลมป้อมขยุ้มอกเสื้อท่านพ่อไว้แน่น สองตายังฉ่ำน้ำ สองแก้มยังมีคราบน้ำตา
ลี่เซียงมองท่าทางของลูกสาวอย่างประหลาดใจ นางทำราวกับโหยหาอ้อมอกบิดาเสียเหลือเกิน หรือว่านี่จะเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรที่ตัดไม่ขาด นางไม่ควรไปกีดกันเขาอย่างนั้นหรือ
ฝ่ายชางฉือหมิงเห็นท่าทางของลูกสาวก็ดีใจยิ่งนัก เพียงเขาอุ้ม นางก็หยุดร้องไห้ ลูกคงจะชอบเขาใช่หรือไม่! ชางเยว่ชอบเขา! เห็นทีเขาจะต้องมาเยี่ยมนางบ่อยๆ ชางฉือหมิงบอกกับตัวเองอย่างดีใจ