ชางเยว่อยู่ในร่างนี้มาเกือบครึ่งเดือนแล้วยังไม่เห็นหน้าท่านพ่อ นางนึกแปลกใจอยู่ครามครัน
หรือว่าท่านพ่อไม่ได้ตามมาเกิดใหม่กับท่านแม่และนาง!
พอคิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าพ่อผู้อ่อนโยนใจดี ชางเยว่ก็รู้สึกเศร้าใจจนต้องหลั่งน้ำตา ปากเล็กๆ ก็ส่งเสียงโฮๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“โถ คุณหนู ทำไมอยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ล่ะเจ้าคะ”
เหลียนฮวาผู้เป็นสาวใช้ข้างกายมารดาอุ้มนางขึ้นมาจากเปลเด็กอย่างปลอบโยน
“ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือไม่”
น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยดังมาจากเตียง เหลียนฮวาส่ายหน้า
“ยังไม่เปียกเจ้าค่ะฮูหยิน เมื่อครู่คุณหนูยังนอนเล่นตาแป๋ว อยู่ดีๆ กลับร้องไห้เสียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไร”
“ส่งนางมาให้ข้าเถอะ”
พอได้อยู่ในอ้อมอกมารดา ความเศร้าเสียใจที่อัดแน่นในอกก็ค่อยๆ ทุเลาลง ชางเยว่หยุดร้องไห้ กระนั้นก็ยังสะอึกสะอื้นน้อยๆ ดวงตากลมโตแสนงามเปียกชื้น ขนตายาวลู่เป็นแพ ชวนให้คนรู้สึกเวทนาสงสาร
“ลูกสาวตัวน้อยของแม่ เจ้าร้องไห้ทำไมหรือ”
มารดาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอื้ออาทร ชางเยว่ซุกใบหน้าเข้ากับอกอุ่นอย่างแสวงหาการปลอบประโลม มือเรียวของมารดาลูบศีรษะและแผ่นหลังนางอย่างถนอม นางจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยมีท่านแม่อยู่ นางก็มิใช่เด็กกำพร้าโดดเดี่ยวอย่างชาติที่แล้ว เด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นมองมารดา อ้าปากถามว่าท่านพ่ออยู่ที่ไหน แต่พยายามเพียงใดก็ไม่มีใครเข้าใจ
“แอ้ๆๆๆ”
“จ้ะๆ เด็กดี พอหยุดร้องไห้ก็คุยใหญ่เชียวนะ”
มารดาพยายามพูดคุยเออออไปกับนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“คุณหนูช่างน่ารักถึงเพียงนี้ เสียดายที่นายท่าน…”
“เหลียนฮวา!”
มารดาเอ่ยปราม สีหน้าสดใสเมื่อครู่หมองไปเล็กน้อย ท่าทางไม่อยากให้สาวใช้กล่าวถึงผู้เป็นสามี พอชางเยว่ได้ยินคนเอ่ยถึงท่านพ่อก็หูผึ่ง แต่มารดาทำท่าไม่ต้องการพูดต่อ เหลียนฮวาก็ไม่กล้าเอ่ยปากเสียแล้ว เรื่องของบิดาจึงยังคงเป็นปมคำถามในใจของเด็กน้อยต่อไป
นั่นสิ! เกิดอะไรขึ้นกัน ชางเยว่เกิดมาจะครึ่งเดือนแล้วยังไม่ได้เห็นหน้าบิดาเลยสักแวบ ท่านพ่อไม่อยู่บ้านหรือไร พอใช้ความคิดเด็กน้อยก็นิ่วหน้าโดยไม่รู้ตัว เสียงหัวเราะกังวานใสของมารดาดังขึ้น นิ้วนุ่มเลื่อนมาลูบที่หัวคิ้ว
“ตัวแค่นี้เหตุใดทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับผู้ใหญ่ หืม”
ชางเยว่คลายหัวคิ้วแล้วยิ้มให้มารดา ขอเพียงอีกฝ่ายมีความสุขนางก็พอใจแล้ว
“เรื่องงานครบเดือนฮูหยินจะให้บ่าวไปถามทางเรือนหลักหรือไม่เจ้าคะ”
เหลียนฮวาเอ่ยอย่างขลาดๆ เกรงว่าจะถูกผู้เป็นนายดุเข้าอีก
“ช่างเถิด หากทางนั้นไม่เอ่ยปากก็ไม่เป็นไร พวกเราจัดกันเองเล็กๆ ก็พอ”
ลี่เซียงกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ สีหน้าราวกับปล่อยวางเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตั้งแต่มีบุตรสาว ความสนใจของลี่เซียงก็ทุ่มเทให้กับนาง หาได้ใส่ใจเรื่องอื่นอีก
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ประเดี๋ยวบ่าวจะไปยกสำรับมาก่อนนะเจ้าคะ”
เหลียนฮวาเอ่ยก่อนจะออกจากห้องไป
ลี่เซียงรอมาครึ่งเดือนแล้ว ทางเรือนใหญ่ยังไม่เอ่ยปากเรื่องชื่อของแม่หนูน้อย เห็นทีพวกเขาคงจะไม่สนใจบุตรสาวคนนี้ ลี่ซื่อกล้ำกลืนความขมขื่นในอก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็จะตั้งชื่อให้บุตรสาวด้วยตัวเอง
“เด็กดี เจ้าชอบชื่อไหน ท่านพ่อแซ่ชาง เจ้าชื่อเยว่ดีหรือไม่”
อยู่ดีๆ ลี่เซียงก็นึกถึงชื่อนี้ขึ้นมา ทารกน้อยยิ้มร่า พยายามผงกศีรษะราวกับฟังที่นางพูดเข้าใจ
“หรือจะชื่อเสวี่ยก็ดีไม่น้อย ชื่อเมี่ยวก็น่าเอ็นดู”
เด็กน้อยส่ายหน้าไปมาพลางส่งเสียงอ้อแอ้ ลี่เซียงเห็นแล้วก็อดหัวเราะอีกคราไม่ได้ กระนั้นก็คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เด็กอายุยังไม่ถึงเดือนจะฟังนางรู้เรื่องได้อย่างไร
“ไม่เอาก็ไม่เอา เช่นนั้นเจ้าก็ชื่อชางเยว่เถอะ”
ใบหน้ากลมยุ้ยยิ้มแป้นตาหยีจนเห็นเหงือกสีชมพู ผู้เป็นมารดาเห็นแล้วอดใจไม่ไหวก้มลงไปหอมแก้มยุ้ยเสียฟอดใหญ่ เสียงหัวเราะของเด็กน้อยและมารดาฟังดูรื่นหูนัก พาให้คนที่เพิ่งก้าวเข้าเรือนมาชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง
“ชางเยว่ของแม่ หัวเราะเช่นนี้แสดงว่าชอบชื่อนี้ใช่หรือไม่ โตขึ้นลูกสาวแม่คงจะงดงามเหมือนจันทร์กระจ่างในยามค่ำคืน”
ดวงตาดำลึกมองลอดม่านหยกเข้ามา เห็นสตรีผู้นั้นเอนกายอุ้มบุตรสาวอยู่บนเตียง นางยังคงอยู่ไฟ อากาศในห้องอุ่นร้อนเจือกลิ่นหอมของสมุนไพร ตรงข้ามกับอากาศหนาวเหน็บภายนอก สองแม่ลูกดูมีความสุขดีเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปรบกวน เดิมทีเพียงคิดจะมาบอกชื่อที่เขาตั้งให้บุตรสาวผู้นี้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นเสียแล้ว นางบังเอิญตั้งชื่อให้ลูกว่าชางเยว่เหมือนกับเขา ชางฉือหมิงหมุนตัวกลับ เห็นเหลียนฮวายกสำรับมาพอดีจึงเดินออกมาที่ประตูหน้าเรือน
“คุณหนูของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เหลียนฮวาย่อเข่าพลางตอบ
“คุณหนูแข็งแรงดีเจ้าค่ะ เลี้ยงง่ายไม่ร้องไห้โยเยแม้แต่น้อย”
นางกำลังจะสาธยายความน่ารักของคุณหนูต่อ นายท่านก็ยกมือขึ้นตัดบทอย่างเย็นชา
“ดูแลพวกนางให้ดีๆ ไม่ต้องบอกว่าข้ามาที่นี่”
กล่าวจบชางฉือหมิงก็ก้าวยาวๆ ออกจากเรือนไป
เหลียนฮวาถอนใหญ่เฮือกใหญ่ มองตามแผ่นหลังของนายท่านที่ห่างออกไป ส่ายหัวกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปทางห้องของนายหญิงพร้อมกับสำรับในมือ
“ฮูหยินเจ้าคะ กินอาหารก่อนเถิด น้ำแกงไก่ตุ๋นชามนี้ท่านต้องดื่มให้หมดนะเจ้าคะ ส่งคุณหนูมาให้บ่าวเถิดเจ้าค่ะ”
“เมื่อครู่เจ้าคุยกับใครหรือ”
ลี่เซียงเงยหน้าขึ้นจากบุตรสาว เอ่ยถามสาวใช้อย่างสงสัย
“บ่าวกำชับอาเหมยให้ส่งคนไปรับถ่านจากโรงครัวมาเจ้าค่ะ”
ลี่เซียงมิได้ติดใจ นางส่งบุตรสาวให้เหลียนฮวาก่อนจะจับตะเกียบขึ้นกินอาหาร ชางเยว่ในร่างทารกยังไม่รู้สึกง่วงจึงนอนเป่าปาก เหลียนฮวาหัวเราะคิกพลางขยับให้นายหญิงของตนดู
“คุณหนูช่างขี้เล่นเหลือเกินเจ้าค่ะ หน้าตาก็งดงามนัก ใครเห็นจะไม่รักได้อย่างไร”
คนพูดไม่ได้คิดแต่มือที่กำลังจับตะเกียบชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของลี่เซียงทอประกายเจ็บปวดวูบหนึ่ง ตั้งแต่วันสมรสนางก็ไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย ยิ่งคลอดบุตรสาวออกมามีหรือเขาจะใส่ใจ เกิดมาครึ่งเดือนแล้วแม้แต่หน้าบิดาก็ยังไม่เคยเห็น หากเป็นบุตรชายพวกเขาอาจจะยังเหลียวแลบ้าง กระนั้นลี่เซียงก็ไม่เดือดร้อนหากพวกนางแม่ลูกถูกหลงลืมอยู่ในมุมอับของจวนแห่งนี้ตลอดไป
สามวันก่อนถึงวันครบเดือนของชางเยว่ ทางเรือนหลักส่งคนมาถามว่านางวางแผนจะจัดการอย่างไร ลี่เซียงเพียงกล่าวขอบคุณและบอกว่าทางจวนมีธุระมากมาย เพียงงานครบเดือนของบุตรีคงไม่รบกวน ครั้นได้รับคำตอบเช่นนี้คนในจวนจึงมิได้สนใจอีก พวกเขาเองก็เพียงถามเพื่อแสดงท่าทีว่ามิได้ละเลยเท่านั้น พอถึงวันงานต่างก็เพียงส่งของขวัญมายังเรือนชิงฟาง เป็นกุญแจหรูอี้รูปแบบต่างๆ ทำจากหยกและทอง ชางฉือหมิงผู้เป็นบิดายังคงไม่ปรากฏกาย ชางเยว่น้อยได้แต่แหงนหน้ามองมารดาด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม นางอยากจะพูดได้เร็วๆ เหลือเกิน จะได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดนางจึงยังไม่เคยเจอหน้าบิดา
ท่านแม่... ท่านพ่อหายไปไหน?
ผู้เป็นมารดาได้ยินลูกสาวส่งเสียงอ้อแอ้ก็ก้มลงมอง เห็นสายตาพราวระยับของเด็กหญิงก็ใจอ่อนยวบ ความทุกข์เศร้าในใจเลือนหายไปสิ้น
“เยว่เอ๋อร์ลูกรัก มีเพียงเจ้า แม่ก็ไม่ต้องการสิ่งใด”
ชางเยว่ซุกหน้าอยู่กับอกมารดา รู้สึกอุ่นสบายไปทั่วร่าง ชั่วขณะนั้นนางเห็นด้วยกับท่านแม่เป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงมีท่านแม่ นางก็สุขใจเหลือเกิน เรื่องบิดา...รอไปก่อนก็ได้กระมัง