“เอ่อ ถ้าคุณอาจะมานอนค้าง เดี๋ยวฉันจะเตรียมห้องไว้ให้ค่ะ”
“อืม อาจะมาค้างบ้างเรื่อยๆ เพราะเคยชินที่มีหลานๆอยู่ร่วมบ้าน พออยู่คนเดียวก็รู้สึกเหงา”
เวลานี้ห้องนอนห้องที่ 3 จึงเป็นห้องของอาบุญธรรม โดยมีหลานๆทั้งสองคนช่วยกันตกแต่งห้อง เพื่อให้คุณอามีห้องนอนที่น่าอยู่ เป็นการตอบแทนบุญคุณอาหนุ่ม ที่เคยดูแลสองคนพี่น้องมาเป็นอย่างดี
เวลานี้หญิงสาวอยู่ในห้องของอาบุญธรรมคนเดียว เพราะจัดเตียงนอนยังไม่เสร็จ ส่วนน้องชายเข้าห้องนอนของตนเองไปแล้ว
“คืนนี้อานอนที่บ้านนี้ได้หรือเปล่า อาเป็นห่วงและอยากรู้ว่าที่บ้านหลังนี้เวลากลางคืนเป็นอย่างไรบ้าง”
ชางอี้เหวินเดินเข้ามาในห้องนอนที่หลานๆจัดเตรียมไว้ให้เขา ก็เห็นหลานสาวคนสวยกำลังจัดเตรียมที่นอนให้ จิตใจที่เคยเฉยชากลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด
“ได้ค่ะ” หญิงสาวหันหน้ากลับมาพูดคุยกับอาหนุ่ม พร้อมส่งรอยยิ้มหวานๆมอบให้ด้วยความยินดี
“อืม เดี๋ยวอาออกไปรอข้างนอกก่อนละกัน” ชายหนุ่มที่ได้รับรอยยิ้มหวานๆกระแทกใจ ก็รีบหลบตาต่ำมองลงพื้น และเดินออกจากห้องไปทันที
“เป็นอะไรของเขา หลบหน้าหลบตา” ซูหลิงพึมพำเบาๆอยู่คนเดียว จากนั้นก็รีบปูเตียงนอนให้เสร็จเรียบร้อย
อาหารมื้อเย็นวันนี้ชางอี้เหวินสั่งมาจากร้านอาหารประจำ ที่เขาชื่นชอบในรสชาติ เพราะในครัวยังไม่มีอุปกรณ์ทำอาหาร และเครื่องปรุงต่างๆที่ใช้ในการประกอบอาหาร
ชายหนุ่มทานอาหารมื้อเย็นร่วมกันกับหลานๆทั้งสองคน ในบ้านหลังเล็กๆที่มีบรรยากาศแสนอบอุ่น จิตใจของชางอี้เหวินรู้สึกหวงแหนบรรยากาศแห่งความสุขแบบนี้ จนอยากให้เกิดขึ้นทุกวันและทุกมื้ออาหาร
.
.
.
หลังทานอาหารค่ำเสร็จ ก็ได้เวลากลับไปพักผ่อนที่ห้องพักส่วนตัวของแต่ละคน ซูหลิงที่นึกเป็นห่วงอาบุญธรรมเรื่องเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนหลังอาบน้ำ จึงเดินมาเคาะประตูห้องนอนของชายหนุ่ม
ก๊อก ก๊อก………
“คุณอามีชุดนอนมาเปลี่ยนหรือเปล่าคะ”
ชางอี้เหวินที่นอนคิดอะไรเพลินๆอยู่บนเตียงนอน พอได้ยินน้ำเสียงหวานๆมาเคาะประตูเรียกที่ห้องพักส่วนตัวก็ไม่อยากออกไปเปิดประตู เพราะต้องการเว้นระยะห่างจากคนที่เขาเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆด้วย
“ไม่เป็นไรอาอาบน้ำแล้วจะใส่เสื้อคลุมอาบน้ำนอน” ชายหนุ่มตะโกนออกไปเสียงดัง เพื่อให้คนที่รอคำตอบอยู่หน้าห้องได้ยิน
“อ้อ ตกลงค่ะ”
หญิงสาวพอจะเข้าใจว่าอาหนุ่มไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้ชิดกับเธอเพียงลำพัง ยิ่งในเวลาวิกาลแบบนี้ยิ่งต้องระวัง จึงไม่ได้ถามอะไรมาก พอรู้คำตอบแล้วจึงเดินกลับห้องนอนของตนเอง และตั้งใจเว้นระยะห่างจากอาหนุ่มเช่นกัน จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย
เช้าวันรุ่งขึ้น ชางอี้เหวินก็ออกจากบ้านไปแต่เช้ามืด และส่งข้อความบอกหลานๆทั้งสองว่ารีบออกไปทำงาน เพราะมีประชุมด่วนตอนเช้า
และวันนี้เป็นวันไปโรงเรียนของซูอี้ แต่วันนี้เด็กชายไม่ได้ขึ้นรถโรงเรียน เพราะจะเดินไปโรงเรียนเอง เนื่องจากโรงเรียนอยู่ไม่ไกลจากบ้าน และระหว่างทางก็มีเพื่อนๆที่มีบ้านอยู่ในละแวกเดียวกัน เดินไปโรงเรียนเช่นกัน ซูอี้ที่เป็นเด็กที่มีอัธยาศัยดี จึงรู้จักเพื่อนๆที่อยู่โรงเรียนเดียวกันในเวลารวดเร็ว และเดินไปโรงเรียนพร้อมกันอย่างสนุกสนาน
ซูหลิงวันนี้ตั้งใจออกไปหาสถานที่ประมูลเครื่องประดับ เพราะเธอต้องการเงินก้อนใหญ่มาซื้อรถยนตร์ เมื่อหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตก็พบกับโรงประมูลแห่งหนึ่งที่น่าสนใจ จึงตั้งใจจะไปสำรวจโรงประมูลแห่งนี้ด้วยตนเอง
หญิงสาวมาถึงโรงประมูลในช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้า ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าไปในโรงประมูลก็มีน้ำเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยเรียกไว้เสียก่อน
“ซูหลิง มาส่งของเข้าประมูลหรือ” หลิวหยางเพื่อนที่เรียนจบจากคณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัย เอ่ยทักเพื่อนผู้หญิงที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายเดือนแล้ว
ชายหนุ่มพอเห็นหญิงสาวที่ตนเองรู้จัก และเขามักจะแอบมองเธออยู่บ่อยๆ เดินเข้ามาในโรงประมูลของครอบครัว ก็รีบเดินเข้าไปทักทายทันที พอเข้าไปใกล้ๆก็ต้องตกตะลึงที่เพื่อนเปลี่ยนไปมาก สวยขึ้นมากจนชายหนุ่มรู้สึกประหม่าที่จะพูดคุยด้วย
“อ้อ หลิวหยาง” หญิงสาวเอ่ยทักทายออกมาเบาๆ เพราะพยายามนึกอยู่ว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใคร
“เอาของมาลงประมูลที่นี่หรือ” หลิวหยางเอ่ยสอบถามอีกครั้ง
“อืม แล้วนายล่ะ”
“ที่นี่เป็นโรงประมูลของครอบครัวเรา”
“อ้อ”
“เดี๋ยวเราพาไป จะได้ไม่เสียเวลาเพราะอีกไม่นานก็เริ่มประมูลแล้ว”
“อืม ขอบใจนะ”
ซูหลิงยินดีรับความช่วยเหลือจากเพื่อน เพราะในความทรงจำหลิวหยางคนนี้ ดีกับซูหลิงคนเดิมมาตลอด งานศพของพ่อแม่เธอ ชายหนุ่มก็มาช่วยงานทุกวัน
พอเดินมาถึงห้องรับตรวจสอบของที่จะลงประมูล หลิวหยางก็เคาะประตูเบาๆแล้วก็ผลักประตูเข้าไปอย่างคุ้นเคย เพราะเป็นห้องทำงานของพี่ชายของเขานั่นเอง
ก๊อก ก๊อก….
“เฮีย ผมพาเพื่อนเอาของมาลงประมูล ช่วยตรวจสอบให้หน่อยสิ จะได้เอาลงประมูลวันนี้เลย”
“หืม ของอะไรขอเฮียดูก่อน เพราะต้องตรวจสอบตามกฏของโรงประมูล ถ้าไม่ผ่านก็เอาลงประมูลไม่ได้ ที่นี่เราจะเน้นแต่ของโบราณหายาก”
หลิวจงเสียนพี่ชายของหลิวหยางที่นั่งทำงานอยู่ พอได้ยินเสียงเรียกจากน้องชาย จึงเงยหน้าขึ้นมาสอบถาม และมองเลยไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของน้องชาย ด้วยแววตาตกตะลึงในความสวยงามของผู้หญิงตรงหน้า
“สวัสดีค่ะคุณชายหลิว ฉันซูหลิง นำเครื่องประดับเก่าแก่ของตระกูลมาลงประมูลค่ะ”หญิงสาวที่เห็นพี่ชายของเพื่อนมองมาที่ตนเอง จึงรีบเอ่ยแนะนำตัวเองออกไปทันที
“ขอผมตรวจสอบของที่จะนำมาประมูลหน่อยครับคุณหนูซู” หลิวจงเสียนพอได้ยินน้ำเสียงหวานๆที่เรียกเขาอย่างสุภาพ ก็รีบตอบกลับไปอย่างสุภาพเช่นกัน
ซูหลิงนำ ปิ่นหยกโบราณ และต่างหูหยกที่เข้าชุดกัน เนื้อหยกเป็นหยกจักรพรรดิที่หายากและมีราคาสูง ออกมาจากกระเป๋าถือแล้วยื่นให้หลิวจงเสียนตรวจสอบ
หลิวจงเสียนผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องหยกและเครื่องประดับโบราณ ก็ทำการตรวจสอบโดยใช้ทั้งเครื่องมือตรวจสอบ และประสบการณ์ในการตรวจสอบมานานหลายปี ชายหนุ่มใช้เวลาตรวจสอบไม่นาน ก็เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเจ้าของเครื่องประดับโบราณด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
“โอ้ เป็นหยกจักรพรรดิที่เนื้อดีมากๆ และการออกแบบก็มีเอกลักษณ์เป็นของโบราณโดยแท้จริง ตกลงทางโรงประมูลของเราจะนำลงประมูลในวันนี้เลยครับ รายได้สองส่วนจะถูกหักเป็นค่าดำเนินการ คุณหนูซูยินดีนำเครื่องประดับหยกจักรพรรดิชุดนี้ลงประมูลหรือเปล่าครับ”
“ยินดีค่ะ”
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับคุณหนูซู”
“ยินดีเช่นกันค่ะ เรียกฉันว่าซูหลิงเถอะค่ะไม่ต้องเรียกคุณหนู ฉันเป็นเพื่อนกับหลิวหยาง และต้องขอบคุณที่รับเครื่องประดับของฉันลงประมูลในวันนี้ด้วยนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เรียกผมว่าเฮียหลิวเถอะครับ เพราะคุณเป็นเพื่อนของน้องชายผม”
“ตกลงค่ะเฮียหลิว” น้ำเสียงหวานเอ่ยเรียกชายหนุ่มแผ่วเบาตามมารยาท เพราะยังไม่สนิทสนมคุ้นเคย
.
.
.
เวลาผ่านไปราวๆ 3 ชั่วโมง ซูหลิงก็เดินกลับมาที่ห้องทำงานของหลิวจงเสียนอีกครั้ง พร้อมกับหลิวหยางที่คอยตามดูแลหญิงสาวตลอดการประมูล เครื่องประดับของซูหลิงประมูลได้ในราคาที่สูง เพราะเป็นหยกจักรพรรดิเนื้อดีที่สุดตั้งแต่โรงประมูลเคยรับมาประมูล
“เครื่องประดับประมูลได้ 40 ล้านหยวน หักค่าดำเนินการ 2 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 39 ล้านกับอีก2แสนหยวน ผมเขียนจ่ายเป็นเช็คเงินสดนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวยิ้มรับจนเต็มใบหน้าด้วยความดีใจ จนชายหนุ่มทั้งสองมองรอยยิ้มนั้นอย่างเหม่อลอย ในขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น ที่ประตูห้องทำงานก็มีเสียงเคาะเบาๆ และผลักเข้ามาทันทีโดยไม่รอฟังเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้องเลย
“เฮีย พาผู้หญิงที่ไหนมาคุยในห้องทำงาน” เสียงแหลมๆของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคือง เมื่อเดินเข้ามาในห้องทำงานของหลิวจงเสียน
“เหมยจิน อย่าเสียมารยาทกับลูกค้าเฮีย และซูหลิงก็เป็นเพื่อนกับหลิวหยาง” ชายหนุ่มเอ่ยปรามหญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามาในห้องเสียงเข้ม
“เพื่อนหรืออะไร ดูท่าทางจะมาเกาะคนรวยๆเสียมากกว่า” เหมยจินพูดออกมาเบาๆ แต่หันหน้าไปทางซูหลิงเพื่อให้หญิงสาวได้ยิน
“เฮียผมกับเพื่อนขอตัวก่อนนะ มีแขกไม่ได้รับเชิญแบบนี้ไม่สะดวกคุยต่อแล้ว”
หลิวหยางที่ไม่ชอบเหมยจินอยู่แล้ว พอได้ยินประโยคที่หญิงสาวพูดกับเพื่อนของตนก็ยิ่งไม่ชอบยิ่งกว่าเดิม จึงรีบตัดบทและชวนเพื่อนออกจากห้องทำงานพี่ชายทันที
เหมยจินมองตามซูหลิงไปด้วยแววตามาดร้าย เพราะมองออกว่าหลิวจงเสียนว่าที่คู่หมั้นของเธอ ชื่นชอบหญิงสาวคนนี้เนื่องจากมองเห็นแววตาเป็นประกายที่ชายหนุ่มใช้มองซูหลิง เป็นแววตาที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน จึงได้ระแวงและเกลียดชังหญิงสาวแสนสวยคนนี้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอ
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความบางอย่าง ส่งให้ลูกน้องคนสนิทของบิดาที่ติดตามเธอมาที่โรงประมูลแห่งนี้ด้วย จากนั้นจึงหันไปพูดคุยกับหลิวจงเสียน
“ฉันดูออกนะว่าเฮียชอบมัน ฉันเป็นเมียของเฮียนะ ทำไมไม่รักฉันบ้าง”เหมยจินถามว่าที่คู่หมั้นออกไปด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ก็ชอบทำตัวแบบนี้ โวยวายใส่คนอื่นเขาไปทั่ว เหมยจินเธอกลับบ้านไปก่อนเถอะ เฮียไม่สะดวกคุยด้วยวันนี้มีธุระต้องจัดการหลายอย่าง”
ชายหนุ่มเอ่ยปากไล่หญิงสาวที่ทำนิสัยเสียไร้มารยาททันที สร้างความไม่พอใจให้กับเหมยจิน จนนำความโกรธแค้นและเกลียดชังทั้งหมดไปลงที่ซูหลิง พอหญิงสาวออกมาจากห้องทำงานของหลิวจงเสียนแล้ว ก็ต่อสายโทรศัพท์หาลูกน้องคนสนิทของบิดา
“ไห่เทา จัดการให้หนัก”
“ครับคุณหนู”