“ไปดูมาแล้วค่ะ ตกลงทำสัญญาซื้อขายกับนายหน้าไปแล้ว อีก2วันถึงจะได้จัดการเรื่องเอกสารพร้อมชำระเงิน”
“อืมก็ดีแล้ว”
“เรื่องค่าเทอมของซูอี้คุณอาไม่ต้องโอนเงินมาแล้วนะคะ ฉันจัดการชำระค่าเทอมไปเรียบร้อยแล้ว”
ซูหลิงรายงานเรื่องสำคัญให้ชายหนุ่มทราบ เพราะจากนี้ไปเธอคงไม่ได้รบกวนเรื่องเงินจากเขาอีกแล้ว และต้องบอกกล่าวออกไปให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องมีปัญหากันในภายหลัง เพราะอาบุญธรรมเป็นผู้มีพระคุณที่สุด หญิงสาวไม่อยากให้อาหนุ่มมองว่าเธอปีกกล้าขาแข็ง ทำอะไรข้ามหัวผู้ใหญ่
“อืม”
ชายหนุ่มตอบรับสั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร ทั้งในใจก็รู้สึกวูบโหวงเมื่อถึงวันที่ทั้งสองพี่น้อง ไม่ต้องการพึ่งพาเขาอีกต่อไปแล้ว
“ฉันกับน้องชายขอบคุณ คุณอามากเลยนะคะ ที่ช่วยเหลือพวกเรามาโดยตลอด ตั้งแต่จัดการงานศพของพ่อกับแม่ ทั้งให้ที่พักอาศัย ไหนจะค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของซูอี้อีก ถ้าคุณอามีอะไรให้ฉันช่วยเหลือก็แจ้งมาได้เลยนะคะ ฉันยินดีทุกเรื่อง”
“อืม อายินดี ขอแค่เราสองพี่น้องใช้ชีวิตให้ดีก็พอ”
ชางอี้เหวินนั้นรักบิดาของซูหลิงแบบพี่ชายแท้ๆ เพราะบิดาของซูหลิงเคยช่วยเหลือเขาไว้หลายอย่าง ตั้งแต่ตอนที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตใหม่ๆ ชายหนุ่มเป็นลูกชายคนเดียว พ่อแม่จากไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนตร์ ตั้งแต่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี1 เงินทองก็ไม่ค่อยมีใช้จ่าย เพราะต้องชำระหนี้แทนคนที่จากไป เหมือนกับชีวิตของซูหลิงในขณะนี้
ช่วงนั้นชายหนุ่มเหมือนขาดเสาหลักในชีวิต จนเกือบจะเดินในเส้นทางที่ผิด แต่มีรุ่นพี่ที่เป็นสายรหัสกัน และได้พบปะกันบ่อยครั้งยามจัดกิจกรรมของสายรหัส เข้ามาช่วยเหลือเอาไว้หลายเรื่อง และเตือนสติให้เขาเลิกเดินบนเส้นทางที่ประชดชีวิต ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นก็คือบิดาของซูหลิงนั่นเอง
“คุณอาใจดีที่สุดเหมือนคุณพ่อเลย ถึงจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว เดี๋ยวฉันกับน้องชายจะหาเวลาว่างมาเยี่ยมนะคะ”
ซูหลิงยิ้มออกมาเต็มดวงตา เพราะรู้สึกสนิทใจกับอาบุญธรรมมากขึ้น เนื่องจากอาบุญธรรมคนนี้ช่วยเหลือเธอกับน้องชายไว้มากจริงๆ
อาหนุ่มที่มองรอยยิ้มนั้นอยู่ก็ใจเต้นแรง อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในชีวิตของชายหนุ่มอายุ34ปี ก็เคยคบหาระยะสั้นๆกับผู้หญิงมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกใจเต้นแรงแบบนี้มาก่อนเลย
“ถ้าอีก3วัน ฉันต้องการย้ายบ้านเลยจะได้ไหมคะ เพราะข้าวของก็มีไม่เยอะ สามารถจัดเก็บเตรียมขนย้ายได้เลย ฉันอยากไปจัดการที่บ้านให้เร็วที่สุด พึ่งจะเคยซื้อบ้านเองเป็นครั้งแรกก็เลยตื่นเต้นค่ะ”
ซูหลิงพอเริ่มสนิทใจกับชางอี้เหวิน ก็กล้าพูดคุยมากขึ้นด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ และไม่มีแววตาของความรู้สึกรักใคร่ในตัวชายหนุ่มออกมาเลย
“อืม ตามใจ เดี๋ยวอาไปส่งเองห้ามปฏิเสธ” อาหนุ่มที่ไม่มีเหตุผลอะไรมารั้งหญิงสาวเอาไว้ ก็ได้แต่ตอบตกลงไป
“ตกลงค่ะ”
.
.
.
หลังจากที่จัดการเรื่องโอนย้ายบ้าน และชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ซูหลิงก็เป็นเจ้าของบ้านหลังเล็กๆ ที่มีบรรยากาศอบอุ่นนี้อย่างเป็นทางการ ซูอี้ที่พึ่งรู้เรื่องก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างดีใจ ที่ตนเองกลับมามีบ้านอีกครั้ง
“พี่ซูหลิง เรามีบ้านใหม่แล้วจริงๆหรือครับ”
“ใช่ พี่บอกแล้วว่าพี่จะพาเราออกไปอยู่กันสองคนพี่น้อง และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดี ถึงจะไม่มีพ่อกับแม่แล้ว แต่พี่สาวคนนี้จะทำให้ชีวิตน้องเติบโตมาอย่างดีที่สุด”
“ครับ ผมจะเชื่อฟังพี่ และเป็นเด็กดี”
“หึหึ ซนบ้างก็ได้ตามประสาเด็กผู้ชาย แค่อย่าไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนก็พอ”
“ฮ่าฮ่า ผมดีใจที่สุดเลย ผมอยากฝึกทำอาหาร ถ้าเรามีบ้านเองแล้วพี่ให้ผมฝึกทำอาหารด้วยนะ”
ซูอี้ชอบแอบมองแม่บ้านทำอาหาร เพราะอยากช่วยทำ แต่เขาก็รู้สึกเกรงใจกลัวรบกวนแม่บ้าน พอรู้ว่ามีบ้านใหม่แล้วจึงอยากฝึกฝนที่ห้องครัวของตนเอง
“อื้ม พี่จะมีพ่อครัวตัวน้อยแล้วหรือนี่”
ซูหลิงลูบหัวทุยๆนั้นอย่างนึกเอ็นดูจากหัวใจ เธอไม่เคยมีพี่น้องมาก่อน พอมีน้องชายขึ้นมาจริงๆจึงรู้สึกรักและผูกพัน ทั้งยังปรารถนาให้น้องชายมีความสุขในชีวิตให้มากที่สุด
จิตใจที่เคยด้านชาไร้ความรู้สึกเพราะทุ่มเทเวลาทั้งหมด ไปกับการการฝึกฝนการเป็นนักฆ่า แต่ในวันนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไป จิตใจของหญิงสาวเริ่มมีความอบอุ่น และอ่อนโยนเพิ่มเข้ามา แต่ถ้ามีใครมาคิดร้ายกับครอบครัวของเธอ จิตใจที่เคยด้านชาไร้ความรู้สึกนั้น คงได้เผยออกมาอีกอย่างแน่นอน
“บ้านก็น่าจะราคาแพง พี่เอาเงินจากที่ไหนมาซื้อครับ” เด็กชายที่เคยรู้ว่าพี่สาวไม่ค่อยมีเงิน จึงนึกสงสัยขึ้นมา
“พี่เอาสมบัติของพ่อไปขาย ได้เงินมาก้อนใหญ่พอที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้”
หญิงสาวตอบออกไปเหมือนกับที่ตอบอาบุญธรรม เพราะครั้งต่อไปเวลาซื้อของที่มีราคาสูง จะได้ไม่มีใครสงสัยเรื่องเงินอีก เนื่องจากเธอจะเอาเครื่องประดับในมิติออกมาขาย เพื่อเอาเงินไปซื้อรถยนตร์ยี่ห้อดีมาไว้ใช้งานสักคัน ซึ่งต้องรอย้ายเข้าบ้านใหม่ให้เรียบร้อยก่อน หญิงสาวจึงจะไปจัดการเรื่องนี้
“เย้ เย้ พี่มีเงินแล้วผมก็ดีใจ เราจะได้ไม่ต้องอดข้าว” ซูอี้คิดอย่างซื่อตรงตามประสาเด็ก เพราะสิ่งสำคัญสำหรับเด็กชายคือการได้กินอาหารอร่อยจนอิ่มท้องนั่นเอง
“หึหึ เป็นตัวตะกละน้อยหรือเรา”
“ฮ่าฮ่า ตั้งแต่พี่หายป่วยทำไมเก่งจังเลย หาเงินก็เก่งขึ้นรถเมล์ก็เป็น พี่เก่งสุดยอดไปเลย”
“ก็กลัวน้องชายจะได้อดข้าว เดี๋ยวผอมแย่พี่เลยต้องเก่งขึ้น”
สองพี่น้องคุยกันอยู่ในห้องนอนของซูอี้ ซึ่งมีอาหนุ่มยืนฟังอยู่หน้าประตูตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะประตูห้องเปิดออกเล็กน้อย หญิงสาวเห็นว่าไม่มีธุระสำคัญเลยไม่ได้ปิดประตูแน่นหนา แต่เพราะประสาทสัมผัสที่ดีจึงรับรู้ได้ว่ามีคนแอบฟังอยู่หน้าประตู
ซูหลิงส่งน้องชายเข้านอนแล้วจึงกลับห้องของตนเอง จังหวะที่เดินออกมาหน้าห้องก็พบกับอาหนุ่ม ที่เดินออกมาจากห้องนอนเช่นกัน หญิงสาวก็มองผ่านๆและก้มหัวให้เพียงเท่านั้น ไม่ได้สอบถามอะไรออกไป จากนั้นก็เดินกลับห้องนอนของตนเองที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“แปลก?”
ชายหนุ่มพึมพำอยู่คนเดียว จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องไปเช่นกัน ที่เดินออกจากห้องนอนเวลานี้ ก็เพราะอยากเจอหน้าใครบางคนเพียงเท่านั้น
.
.
.
.
เช้านี้เป็นวันหยุดซูอี้ไม่ได้ไปโรงเรียน และตอนนี้ก็กำลังขนของขึ้นรถ เพื่อจะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ ชางอี้เหวินจะขับรถไปส่งสองพี่น้องด้วยตนเอง เพราะกระเป๋าและสัมภาระของทั้งสองคนมีไม่เยอะ สามารถขนขึ้นรถยนตร์คันเดียวได้ทั้งหมด
วันนี้ซูหลิงแต่งกายเรียบง่ายสบายๆ เพราะต้องขนย้ายของเข้าบ้านใหม่ หญิงสาวสวมกางเกงขาสั้นพอดีตัว คู่กับเสื้อยืดตัวใหญ่คอกว้างเล็กน้อย ผมสีน้ำตาลที่เป็นลอนใหญ่แบบคลายตัว ถูกมัดรวบเอาไว้เผยดวงหน้ารูปไข่ที่งดงามและกระจ่างใส พวงแก้มมีสีชมพูตามธรรมชาติ
จังหวะที่ก้มลงช่วยอาหนุ่มยกของใช้ส่วนตัวขึ้นรถยนตร์ คอเสื้อก็โน้มลงจนคนที่แอบมองอยู่ เห็นความอวบอิ่มที่อยู่ใต้ร่มผ้าอย่างชัดเจน พอชายหนุ่มได้สติจึงรีบหันหน้าไปทางอื่น ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างรู้สาเหตุ
“เดี๋ยวอาช่วยยกของให้เอง เราไปนั่งรอในรถก่อนเถอะ” ชายหนุ่มผู้ที่สติไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว ก็รีบบอกให้หลานสาวขึ้นรถทันที เพราะเขากลัวได้แอบมองความอวบอิ่มนั้นอีก
“ขอบคุณค่ะ” เมื่อเห็นว่าเหลือกระเป๋าให้ยกขึ้นรถไม่เยอะแล้ว ซูหลิงจึงขึ้นไปรอในรถตามคำสั่งของอาบุญธรรม
“อะ…อืม”
พอหันมองใบหน้าหลานสาวเต็มๆตา เพราะวันนี้หญิงสาวมัดรวบผมเปิดเผยใบหน้าทั้งหมด อาหนุ่มก็แทบจะลืมตอบรับคำขอบคุณ เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
.
.
.
ชางอี้เหวินขับรถประมาณ30 นาที ก็ขับเข้ามาจอดในบ้านหลังเล็กสีขาว ที่มีรั้วรอบขอบชิดที่แน่นหนา มีบรรยากาศที่ร่มรื่นเพราะมีต้นไม้ปลูกไว้บริเวณรอบๆบ้าน ทั้งสามคนก็ช่วยกันขนของลงจากรถ และเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“น่าอยู่มากเลยครับพี่ซูหลิง”ซูอี้ถูกใจบ้านใหม่ตั้งแต่แรกเห็น พอวางกระเป๋าเสร็จ ก็รีบวิ่งเข้าไปดูห้องครัวของบ้านทันทีด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“อืม เลือกได้ดี” ชางอี้เหวินก็รู้สึกชอบบ้านหลังนี้เช่นกัน เพราะดูปลอดภัยดี และอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขา
“ฉันเห็นครั้งแรกก็ชอบเลยค่ะ พอไปดูหลังอื่นก็ไม่ถูกใจ จึงตัดสินใจกลับมาซื้อหลังนี้ทันที” ซูหลิงอธิบายด้วยแววตาเป็นประกาย เพราะตื่นเต้นเช่นกันที่มีบ้านของตนเองเป็นครั้งแรก
“มีห้องนอนของอาด้วยไหม เห็นมีอยู่3ห้อง เผื่อบางวันอาคิดถึงซูอี้” อาหนุ่มที่รู้สึกเหงาเมื่อต้องอยู่บ้านคนเดียว จึงอยากมาใช้เวลากับหลานๆบ้าง
“เอ่อ ถ้าคุณอาจะมาค้างเดี๋ยวฉันเตรียมห้องไว้ให้ค่ะ”