Chapter 3 คุณชายตระกูลจาง
ตับ! ตับ! ตับ!
เสียงเนื้อกระแทกเนื้อดังแทรกราตรีกาลที่เงียบสงัด ทุกจังหวะท่วงท่าสังวาสอยู่ในสายตาของนกกระเรียนสาวไม่มีตกหล่น
“แรงอีกเจ้าค่ะใต้เท้า แรงอีก”
“ข้าจะไม่ไหวแล้วแม่นาง ข้าเสียวจนจะเสร็จอยู่ชั่วอึดใจแล้ว”
จวินซื่อกัดฟันกรอดอย่างพยายามข่มกลั้นความเสียวเอาไว้ ทว่าความสาว ความเย้ายวน และช่องแคบที่บีบรัดทำให้เขามิอาจต้านทานความหฤหรรษที่ถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นทะเลบ้าคลั่งได้
“ข้าก็เสียวจนจะเสร็จแล้วเช่นกันเจ้าค่ะใต้เท้า ได้โปรดแทงข้าแรงๆ แรงขึ้นอีกเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากเสร็จไปพร้อมกับท่าน”
นางใช้ปลายนิ้วขยี้เมล็ดสวรรค์ของตนเองแรงๆ เพื่อเพิ่มความเสียวให้ทวีคูณ ขณะที่จวินซื่อเร่งอัดกระแทกเอวสอบราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“จะออกแล้ว”
“ซี๊ด เสียวมากเลยเจ้าค่ะใต้เท้า อ๊ะ อ๊ะ อะ...อาห์”
คณิกาสาวบิดกายกระตุกเกร็งจนสะโพกกระดกเป็นจังหวะถี่ ภายในร่องแคบตอดรัดท่อนทวนของจวินซื่อจนเขาล้มพับกอดก่ายร่างนางเอาไว้แนบแน่นด้วยความสุขสม
ทางด้านกระเรียนฟ้าค่อยๆ กางปีกสองข้างแล้วบินออกไปจากต้นอู่ถงอย่างรวดเร็ว นางโผร่อนไปยังป่าละเมาะไม่ไกลจากหอคณิกาเหม่ยซิง ทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสพื้นดินร่างนางก็กลายเป็นมนุษย์สาว
“เหตุใดกัน ข้าจึงเร่าร้อนไปหมดทั้งตัว”
เฟยเซียงกอดตนเอง กระสับกระส่ายหายใจหอบกระชั้น นางรู้สึกว่าบุปผาของนางมีน้ำไหลออกมา ราวกับมันคือสัญชาตญาณนางหนีบขาเข้าหากันแน่น แล้วบิดกายไปมาช้าๆ
เป็นเหตุให้ความเสียวซ่านแล่นปราดไปทั่วทั้งเรือนกาย นางตกใจกับความเสียวที่ไม่เคยรู้จัก แต่นางไม่อาจหยุดการกระทำนี้ได้ นางจึงยิ่งหนีบขาแน่นขึ้น แน่นขึ้น
“ข้าอยาก...ยะ...อยาก”
นางเผยอปากหอบหายใจแรง มือข้างหนึ่งกอบกุมเต้าใหญ่ล้นมือของตนแล้วบีบ ค้นพบว่ายามที่นางร้อนรุ่มการบีบคั้นหน้าอกตนเองทำให้นางรู้สึกซ่านเสียวอย่างน่าประหลาด
ภาพนางคณิกาใช้ปลายนิ้วบดขยี้เมล็ดติ่งของตนเอง ทำให้นางเผลอไผลเลื่อนมือสอดเข้าไปใต้ชุดสีขาวบริสุทธิ์ กอบกุมโหนกผลท้อของตนไว้ แล้วแทรกปลายนิ้วเข้าไปสัมผัสเมล็ดเสียว
“อะ...อ๊ะ”
นางงอตัวเมื่อพบว่าแค่เพียงสัมผัสแล้วขยี้เบาๆ ส่งผลทำให้นางบิดตัวเกร็งด้วยความซ่านหฤหรรษ์ ภาพจวินซื่อและคณิกาที่ร่วมสังวาสกันอย่างถึงอกถึงใจทำให้นางเร่งบดขยี้ปลายนิ้วเร็วแรง
นางกำลังสร้างความสุขให้ตัวเองในป่าละเมาะยามดึกสงัด มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงม
“อะ..อาห์ สะ...เสียวจัง ข้าไม่เคยรู้เลยว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน นี่หรือที่ท่านยายและท่านป้าท่านน้าปิดบังไม่ให้ข้ารับรู้ ในเมื่อมันช่างแสนวิเศษเหตุใดจึงต้องปิดกั้น”
นางครางเสียงสั่น หลับตาพริ้ม เร่งขยับปลายนิ้วจนร่างบางเสียวถึงขีดสุด นางเกร็งจนตัวโยน ล้มฟุบลงไปกับผืนหญ้าแล้วกระตุกเกร็งร่างจนตัวงอ
“อะ...อะ...อา ข้ารู้สึกดีเหลือเกิน”
นางพริ้มเปลือกตาหลับลงช้าๆ ก่อนจะกลายร่างเป็นนกกระเรียนสีขาวเหลือบฟ้าดังเดิม
“ข้าชักอยากลองอุ่นเตียงดูบ้างแล้วสิ อยากรู้เหลือเกินว่าจะรู้สึกเช่นไร”
บัดนี้นางกระเรียนฟ้าที่เพิ่งหนีออกจากเผ่าได้ใจแตกเสียแล้ว โลกภายนอกช่างมีอะไรอีกมากมายให้นางได้เรียนรู้ มิใช่แค่การบำเพ็ญเพียร ถือศีล กินเจอีกต่อไป...
จางชงหยวนนั่งอยู่ในห้องตำราโดยมีเหวินฝางซื่อป่าว[1]วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะตั้งพื้น ชายหนุ่มจับพู่กันด้วยมือขวา ใช้มือซ้ายแตะปลายแขนเสื้อเอาไว้ จุ่มปลายพู่กันลงบนแท่นหมึกที่เพิ่งฝนแล้วเสร็จ จากนั้นจึงบรรจงจรดพู่กันลงบนกระดาษเซวียนจื่อ[2] ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์บ่งบอกว่าคุณชายรูปงามกำลังมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
เสียงปลายพู่กันกระทบกระดาษดังแทรกผ่านความเงียบงันในยามวิกาล ชายหนุ่มตวัดพู่กันคล่องแคล่วฉวัดเฉวียนอย่างผู้ที่ฝึกฝนเขียนอ่านตำรามาหลายปี เพียงชั่วจิบชาเดียวตัวหนังสือลี่ซู[3]ก็เรียงร้อยเป็นบทกวี
*************[4]
ชายหนุ่มกางกระดาษออกกว้าง พิศมองความหมายของตัวหนังสือที่เพิ่งบรรจงเขียน ‘มีทั้งจันทร์และเงาอยู่เป็นเพื่อน’ เขาหยักยิ้มที่มุมปากราวกับกำลังดูแคลนตนเอง ทั้งดวงจันทร์ และ แสงเงา ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกคลายเหงาลงได้เลย เช่นนั้นแล้วจะนับสองสิ่งนี้เป็นเพื่อนได้อย่างไรกัน ในเมื่อหัวใจของเขายังคงรู้สึกอ้างว้างเหลือเกิน
จางชงหยวนเหม่อมองออกไปนอกบานหน้าต่างที่เปิดกว้าง พลันสายลมเย็นพัดอ่อนกระทบใบหน้างามดุจภาพวาด จมูกโด่งเป็นสันคม คิ้วเรียวเชิดดุจคันธนู แม้ใบหน้าจะหวานล้ำละม้ายคล้ายอิสตรีทว่าดวงตากลับคมกร้าวราวกับนัยน์ตามังกร ผมดำขลับรวบมัดไว้ครึ่งศีรษะอีกครึ่งนั้นปล่อยสยายตกกลางแผ่นหลัง
“ดวงจันทร์ช่างงดงาม”
เขาทอดถอนลมหายใจออกอย่างเชื่องช้า หยัดกายลุกขึ้นเดินไปหยุดยืนริมหน้าต่าง แขนทั้งสองข้างไขว้ไพล่ไปทางด้านหลัง จึงมิเห็นว่าสาวใช้หน้าแฉล้มค่อยๆ เยื้องย่างกายเข้ามา
“น้ำชาเจ้าค่ะคุณชายจาง”
“ขอบใจ”
คุณชายแห่งตระกูลจาง หนึ่งในเจ็ดตระกูลผู้มีอิทธิพลในแคว้นไห่เหอซึ่งนับเป็นเมืองท่าสำคัญมีการติดต่อค้าขายกับอาณาจักรอื่นทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเทศ ผ้าไหม หนังกวาง ไม้ฝาง เครื่องสังคโลกต่างๆ แคว้นไห่เหอจึงกลายเป็นเมืองที่มั่งคั่งร่ำรวยกว่าเมืองอื่นๆ
ตระกูลจางเป็นขุนนางรับใช้ราชวงศ์สืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน บิดาของชายหนุ่มดำรงตำแหน่งผู้ว่าการอำเภอฉางในแคว้นไห่เหออีกทั้งยังรั้งตำแหน่งเก็บภาษีอากรมาหลายสิบปี ทำกำไรต่อปีมากมายมหาศาล เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ต้าเฉียงเป็นอันมาก
“ข้าเต็มใจรับใช้คุณชายจางเจ้าค่ะ”
สาวใช้เจียวเชินชม้อยชายตามองคุณชายจางชงหยวนอย่างมีความหวัง นางอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคล เปลี่ยนอาภรณ์เครื่องแต่งกายใหม่ ผัดหน้าขาว เม้มริมฝีปากบนแผ่นชาด อบน้ำปรุงกลิ่นหอมยวนเย้า หมายใจจะล่อหลอกให้คุณชายผู้คงแก่เรียนตบะแตกให้จงได้
แม้ไม่ได้เป็นภรรยาตบแต่ง แต่ขอแค่เป็นอนุภรรยารองๆ ก็มีกินมีใช้ไปชั่วชีวิต ไม่ต้องทนเป็นสาวใช้ทำงานรองมือรองเท้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้
[1] ชาวจีนสมัยโบราณเรียกอุปกรณ์เครื่องเขียนที่ใช้ในห้องหนังสือสี่ชนิด ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษและที่ฝนหมึกว่า "เหวินฝางซื่อป่าว"(ศิลปะการเขียนพู่กันจีนและรัตนะทั้งสี่ในห้องหนังสือ,ออนไลน์,7 ตุลาคม 2553. การเขียนตัวอักษรจีน 2,ออนไลน์, 20 ตุลาคม 2553)
[2] กระดาษเซวียนจื่อเป็นกระดาษคุณภาพสูง เนื้อกระดาษนิ่ม เหนียว ละเอียด ไม่ขาดง่าย เหมาะแก่การขีดเขียน
[3] ลี่ซู เป็นตัวอักษรที่ประยุกต์มาจากอักษรจ้วน หรือ อักษรภาพ เริ่มใช้ในสมัยฮั่น อักษรลี่ซูทำให้อักษรจีนก้าวเข้าสู่ขอบเขตของอักษรสัญลักษณ์อย่างเต็มรูปแบบ
[4] แปลว่า มีทั้งจันทร์และเงาอยู่เป็นเพื่อน เป็นบทกวีของ หลี่ ไป๋ เป็นกวีจีนที่ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง ได้รับยกย่องเป็น กวีผู้ยิ่งใหญ่