รชนิชลที่ได้ยินก็ช็อกไปสักพักว่าจะต้องเสียพี่ชายไปแล้วจริงๆ เหรอ เธอต้องหันไปมองทางพี่ชาย แล้วเห็นว่าตรงหางตาของพี่ มีหยดน้ำใสๆเกาะอยู่ เธอรู้สึกได้ในทันทีว่าว่าพี่ยังไม่ยอมแพ้ พี่ชายของเธอยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อมาหาพ่อกับตัวเอง
เห็นดังนั้น เธอจึงเดินเข้าไปจับมือพี่ชายแล้วบีบมือเขาเพื่อให้กำลังใจ
น้ำตาเธอไหลอาบสองแก้มด้วยเสียใจที่ต้องเห็นพี่ชายที่เธอรักต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ทั้งที่ไม่ได้เกิดจากความผิดของเขาเลย พร้อมทั้งนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่พี่ชายยังเป็นปกติอยู่
พี่เมฆ เป็นพี่ชายที่อบอุ่น น่ารัก แล้วก็ช่วยเหลือน้องสาวเสมอ พี่เมฆผูกผมเปียให้เธอไปโรงเรียน ซึ่งเธอก็ยังรอคอยอย่างมีกำลังใจ และความหวัง... หวังว่าพี่จะกลับมาทำแบบนั้นให้อีก
เธอบอกกับพ่อว่าเดี๋ยวตัวเองจะหาวิธีเอง ตอนนี้อย่าเพิ่งให้พี่ไปไหนเลย พี่ยังอยากอยู่ต่อ ทั้งสองกอดกันแล้วพยายามคิดหาหนทาง
ซึ่งชีวิตจริงเป็นเรื่องยากมากในการที่คนฐานะปานกลางจะพยายามกระเสือกกระสนหาโรงพยาบาลเอกชนที่จะรับเคส หรือว่าการจะไปอยู่ในโรงพยาบาลช่วยเหลือของภาครัฐ ก็ยังไม่มีโอกาส
ทำให้วันรุ่งขึ้น เธอต้องดิ้นรนหางานพิเศษทำเพิ่ม นอกเหนือจากการทำรายงาน เธอหาโน่นหานี่ ซึ่งพอคำนวณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานไหน ก็ทำให้เงินไม่พออยู่ดี เพราะในการรักษาแต่ละครั้ง มันต้องใช้เงินจำนวนมาก
รชนิชลเริ่มรู้สึกท้อ เลยเดินไปเรื่อยๆ ตามตรอกย่านอโศก หลังจากที่หางานพิเศษมาตลอดทั้งวัน จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะปล้องยาสูบ เสียงนั้นดึงดูดความสนใจเธอจึงหันไปมองและได้พบหญิงสาวสวมผ้าปิดปากคนหนึ่งกำลังมองมาที่เธอ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
‘ดูท่าโลกจะโหดร้ายกับเธอมากเลยนะ ช่วยไม่ได้ ในเมื่อโลกนี้แทนทุกอย่างด้วยใบกระดาษโง่ๆ ที่ชื่อเงิน’
เธอที่ได้ยินก็ตกใจ แล้วรีบตรงดิ่งไปถาม
‘คุณผู้หญิงมีงานให้ฉันทำหรือเปล่า... ทำอะไรก็ได้’
‘แล้วเธอต้องการเงินไปทำอะไร ไหนบอกเหตุผลของเธอมาสิ’
หญิงที่สวมผ้าปิดปาก กวาดสายตามองรชนิชลตั้งแต่หัวจรดเท้า ความพึงพอใจในตัวเด็กสาวตรงหน้าประกายวาบในสายตา ก่อนหญิงสวมผ้าปิดปากจะพ่นยาสูบจนควันโขมง
‘ทั้งหมดก็เพื่อช่วยพี่ชายของหนู’ เธออธิบายเหตุผลทุกอย่างให้ผู้หญิงตรงหน้าฟัง เผื่อหล่อนจะคิดเห็นใจเธอบ้าง
ทางด้านตัวผู้หญิงที่ปกปิดใบหน้า ก็เลิกคิ้วขึ้นมอง แล้วชี้ไปยังป้ายหน้าจุดที่ยืนอยู่ ซึ่งเขียนไว้ว่า...
‘โคมแดง’
‘เธอเข้าใจความหมายหรือเปล่าที่มาขอ’
รชนิชลสะดุ้งไปแป๊บหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจความหมายได้ไม่ยากว่าโคมแดงคืออะไร
‘หนูขอโทษที่ทำให้คุณเสียเวลาค่ะ’
เธอบอกกล่าวพร้อมก้มหัวขอโทษที่เสียมารยาทขอร้องไปโดยที่ไม่ได้ดูให้ดีก่อน
อีกฝ่ายจึงส่ายหน้าพลางลูบหัวของหญิงสาว หล่อนรู้สึกเอ็นดูเด็กสาวตรงหน้า ก่อนจะยื่นนามบัตรไปให้ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าประตูเล็กๆ ไปโดยไม่ได้เอ่ยอะไร ทิ้งให้รชนิชลต้องยืนกำนามบัตรนั้นแน่น
หญิงปิดหน้าคงต้องการสื่อเป็นนัยๆ ว่าถ้าต้องการก็ให้ติดต่อมา
รชนิชลตั้งใจจะทิ้งนามบัตรตอนที่ถึงห้องพัก แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอถึงเก็บไว้ในกระเป๋าต่อ ก่อนจะมาเยี่ยมพี่ชายอีกครั้งในช่วงดึก
และพอมาถึง เธอก็ได้ยินพ่อกำลังคุยโทรศัพท์กับพวกเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเธอรู้ดีว่าพ่อเคยไปกู้ เมื่อครั้งที่พี่เมฆป่วยใหม่ๆ ดอกเบี้ยร้อยละยี่สิบขูดเลือดขูดเนื้อกันแทบตาย หากต้องเป็นหนี้กับที่นี่อีกคงแย่กว่าเดิมแน่ ๆ วินาทีนั้นความกลัวและความกังวลใดๆ ในใจของหญิงสาวดูเหมือนจะมลายหายไปทั้งสิ้น เธอก้าวเท้าไปหยิบโทรศัพท์ของพ่อมากดตัดสาย
‘พ่อคะ หนูได้งานแล้วค่ะ พ่อไม่ต้องกังวลเรื่องเงินนะคะ’
เธอพยายามปั้นหน้าให้สดใส เพื่อทำให้พ่อสบายใจ ทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้ เพราะยังหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่เธอจะไม่ยอมแพ้ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตพี่ชายของเธอ
‘งานที่ไหนลูก ลูกก็รู้ว่ามันต้องใช้เงินเยอะ ลูกแน่ใจนะ ว่าจะหาได้’
คนเป็นพ่อมองหน้าลูกสาวคนเล็กอย่างเป็นกังวล
‘พ่อคะ พ่อมาทานข้าวดีกว่าค่ะ... ดูสิคะ หนูซื้อข้าวกะเพราไก่ของโปรดของพ่อมาด้วย’
‘แล้วของหนูล่ะ’
‘หนูกินมาแล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ’
เธอจำเป็นต้องพูดปดกับพ่อไปแบบนั้นเพื่อให้ท่านสบายใจ ทั้งที่เธอตั้งใจจะกลับไปกินมาม่าอยู่ที่ห้อง ซึ่งเธอซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ แถมตุนไว้กินได้เป็นอาทิตย์
‘หนูได้งานในเครือบริษัทของเพื่อนสนิทเอง... พ่อจำยายซีได้ใช่ไหมคะ’
‘จำได้สิ’
‘นั่นแหละค่ะ พอหนูบอกถึงความจำเป็น แด๊ดของยัยซีก็แทบจะไม่สัมภาษณ์อะไรหนูเลยค่ะ เพราะท่านอยากช่วย’
‘ดีแล้วล่ะลูก ตั้งใจทำงานนะ... พ่อจะอยู่ดูแลพี่เขาเอง’
‘โอเคค่ะ งั้นหนูกลับก่อนนะคะ พอดีรับงานไว้น่ะค่ะ จะรีบไปเคลียร์... ถ้าพ่อมีอะไรก็โทรหาหนูได้ตลอดนะคะ’
‘อย่าทำงานหนักมากนะลูก ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วย’
‘ค่ะ หนูรักพ่อ และรักพี่เมฆด้วยค่ะ’
รชนิชลกอดพ่อแน่นเพื่อขอกำลังใจ เธอส่งยิ้มให้ผู้เป็นพ่อทั้งที่ในใจชาวาบไปกับการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีของตัวเอง
แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว
เมื่อรชนิชลเดินพ้นออกมาจากบริเวณโรงพยาบาล น้ำตาแห่งความอัดอั้นก็ได้ระเบิดออก เธอต้องแอบเดินสะอื้นไห้มาตลอดทางกลับห้องพักและพยายามจะไม่ให้ใครเห็น
กระทั่งกลับมาถึงห้องได้ เธอก็ตัดสินใจโทรไปตามนามบัตรที่ได้มา และทันทีที่ปลายสายกดรับ ก็เป็นเสียงของผู้หญิงที่ใช้ผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้
‘สวัสดีค่ะ คุณจำหนูได้ไหมคะ ที่คุณให้นามบัตรหนูมา’ รชนิชลเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ
(จำได้สิ เธอโทรมามีอะไรล่ะ)
‘คือ... หนูตัดสินใจแล้วค่ะ ว่าหนูจะไปทำงานกับคุณ’ หญิงสาวตัดสินใจรีบเอ่ยออกไปในทันที ราวกับกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ
(เธอตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม) ทางผู้หญิงปิดหน้าถามย้ำอีกหน
‘ดีแล้วค่ะ’
(ถ้างั้นก็เข้ามาพบฉันพรุ่งนี้ที่เดิม ตอนห้าโมงเย็น)
‘ขอบคุณนะคะ’
(แล้วอย่ามาสายล่ะ ฉันไม่ชอบคนที่ไม่ตรงเวลา)
‘ค่ะ’
รชนิชลขานรับ ก่อนละจากโทรศัพท์ ซึ่งน่าประหลาดที่ตัวเลขเวลามันก็เป็นเลขเดิมเหมือนตอนที่เธอรู้เรื่องของพี่ชายเลย
เธอแค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น ทำไมโลกนี้... ถึงไม่เท่าเทียมให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเวลา.... ที่มันแสนจะเถรตรงบ้าง?
[19:42 น.]
—เลขเวลาราวคล้ายถูกแช่แข็งให้ชีวิตทุกข์ระทมอยู่ในเข็มนาทีเดิม—