ตอนที่ 17 ใช้ชีวิตต่อไป
เช้านี้เสิ่นลี่อิงลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากเย็น แม้หนิงอ๋องจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง แต่จากการที่เปาหลงยังนึกถึงและกล่าวถึงพ่อของตนเสมอก็ทำให้นางเป็นห่วงเขาไม่น้อยเช่นกัน และที่สำคัญคือความรู้สึกของเปาหลง หากรู้ว่าพ่อของตนมิรู้ว่าเป็นเช่นไรจะกังวลหรือไม่
นางลืมตามองเพดานอยู่นานจนเปาหลงต้องตื่นมาเขย่าให้นางลุกขึ้น เพราะหน้าบ้านไฉ่ตู้กำลังส่งเสียงเรียกนางอยู่ “พี่สาวมีคนมา”
“แม่นางลี่อิง! ท่านอยู่หรือไม่ ข้ามาถอนหญ้าต่อ แม่นาง!”
“พี่สาว ไฉ่ตู้มา ท่านลุกขึ้น”
“ขอเวลาครู่เดียว” นางออกจากภวังค์ความคิด และลุกจากเตียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงค่อยจูงเปาหลงที่ยังงัวเงียให้เดินออกไปรับไฉ่ตู้ที่มาเพียงคนเดียว
เสิ่นลี่อิงมิได้ตกใจอันใดที่วันนี้ไฉ่ตู้มาทำงานที่บ้านนางตามลำพัง เพราะเมื่อคืนไฉ่หม่ากับฉินเปาถูกทำให้สลบลงคงจะบอบช้ำกันไม่น้อย และถึงแม้ว่าเขาจะมาด้วยนางก็คงไม่ให้ไฉ่หม่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับนางอีก ลอบดักนางในป่าเช่นนั้น อย่างไรก็คิดกระทำชั่ว พวกเขาเพียงแค่อ่อนหัดเกินกว่าจะมีโอกาสทำร้ายนางก็เท่านั้น
ไฉ่ตู้ที่เห็นนางเอาแต่มองไม่พูดอะไร ก็ลุกลี้ลุกล้นขออภัยแทนไฉ่หม่า “น้องชายข้าขอไม่มา เขาไม่สบายต้องขออภัยแม่นางด้วย”
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็เริ่มรู้สึกไม่ไว้ใจเขาเช่นกัน ไม่มาอีกต่อไปก็ดีแล้ว” นางตัดสินใจบอกไปตรงๆ กับไฉ่ตู้
ต่อให้หายดีก็ไม่ต้องมา ไอ้ชั่ว!
ไฉ่ตู้มิได้รู้สึกน้อยใจที่ต้องทำงานเพียงคนเดียวแต่อย่างใด การทำงานบ้านแม่นางลี่อิง แม้จะไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเป็นการทำงานชดใช้ความผิด แต่เสิ่นลี่อิงถึงกับแบ่งปันอาหารอย่างดีให้ มีเนื้อให้กินเป็นชิ้นเป็นอันไม่อดอยาก หากจะพูดตามตรงไฉ่ตู้อยากจะมาทุกวันเสียด้วยซ้ำ
ด้านเสิ่นลี่อิงที่เห็นไฉ่ตู้เริ่มทำงานแล้ว นางก็ให้เปาหลงไปเล่นรูบิคที่ใกล้จะแก้สำเร็จแล้วในห้องนอนก่อน ส่วนตัวนางก็มาทำอาหารให้กับคนทั้งสาม นางตัดสินใจทำข้าวไข่เจียวหมูสับและหอมใหญ่ราดซอสมะเขือเทศรสเข้มข้น และให้กินคู่กับผักโขมอบซีสที่อบด้วยเครื่องอบในมิติ โรยด้วยเบค่อนกรอบทานเป็นมื้อเช้ากัน และนางก็ไม่ลืมที่จะแบ่งส่วนหนึ่งสำหรับเซ่นไหว้ผีประจำบ้านหลังนี้ด้วย
เมื่อนำอาหารไปแบ่งไฉ่ตู้แล้ว นางก็เรียกเปาเปามานั่งทานข้าวที่โต๊ะพร้อมกัน “เมื่อคืนท่านน้าจินเหมยบอกว่าเจ้าร้องไห้จนหลับ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ”
“เปาเปากลัว”
“อยากให้พี่สาวกอดหรือไม่”
“ขอรับ” เด็กน้อยเดินเข้ามาในอ้อมแขนนาง ในใจของเปาหลงรู้ว่านางเก่งกาจเหนือสามัญ แต่ในป่ามืดมิดและน่ากลัวเพียงใดเขาเองก็เคยพบเจอ หากเจอชาวยุทธที่ออกเดินทางปราบมาร เทพมารในความคิดของเขาอย่างพี่สาวลี่อิงอาจมีอันตรายได้
“ไม่เป็นไรแล้ว พี่สาวอยู่นี่” นางกอดไว้จนเปาเปาดิ้นขลุกขลักจึงผละออกและเริ่มพูดคุยกับเขาแทน “เอาล่ะข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”
“เปาเปาตอบได้” เด็กน้อยพยักหน้า เดินกลับไปนั่งด้านหน้าจานข้าวของตนเอง และเริ่มตักข้าวกินไปด้วย
“ก่อนเจ้าออกเดินทาง ท่านพ่อเจ้าเป็นอย่างไร”
“ท่านพ่อ ไม่ค่อยเล่นกับข้า”
“ไม่เล่นบ่อยๆ เหมือนปกติหรือ”
“ใช่”
“พูดสิ่งใดบ้าง”
“ท่านพ่อบอกว่างานมาก”
“ทำสิ่งใดอีกบ้าง”
“ไม่ทำ ไม่ยิ้มบ่อยๆ หน้าดุทั้งวัน”
“แล้วเจ้าบอกว่าไม่ยิ้ม ปกติพ่อเจ้ายิ้มบ่อยหรือ” นางเลิ่กคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ ชายที่เป็นแม่ทัพแต่กลับยิ้มง่าย น่าสนใจจริงๆ
“ยิ้มให้ข้า”
ที่แท้ก็ยิ้มให้แต่ลูกนี่เอง…
นางเลิกถามเปาหลงต่อ เพราะดูเหมือนก่อนที่เปาหลงจะมาหนิงอ๋องเพียงแค่เครียดจากเรื่องงาน มิได้มีสิ่งใดที่ผิดปกติจนเด็กน้อยจับสังเกตได้ หากอยากรู้อะไรก็คงต้องรอข่าวคราวจากญาติผู้พี่เท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ข้าก็ต้องใช้ชีวิตของข้าให้ดี
“เปาเปารีบกินเข้าวันนี้ เราจะมาแอบต้มเกลือในบ้านกัน” นางพูดกับเปาหลงด้วยเสียงกระซิบ ซึ่งเด็กน้อยก็เลียนแบบนางตอบ “แอบทำขอรับ” ว่าแล้วคู่หูต่างวัยก็เริ่มภารกิจกันทันที
เสิ่นลี่อิงเลือกใช้เตาแก๊สจากในมิติ เพราะนางไม่ถนัดคุมไฟด้วยการใช้ถ่ายหรือฟืนเท่าใดนัก คงไม่เหมาะกับการต้มเกลือในระยะเวลานานๆ น้ำเกลือที่วัดความเค็มด้วยหนามจางแล้วถูกเทใส่กระทะแบนใบใหญ่ต้มด้วยไฟอ่อนๆ คนต่อเนื่องไปจนเริ่มขึ้นมาเป็นเกล็ดเกลือ เสิ่นลี่อิงก็ตักขึ้น และให้เปาหลงเป็นคนนำใส่ถังไว้
ในระหว่างนั้นเสิ่นลี่อิงก็สลับไปทำอาหารเก็บไว้สำหรับมื้อกลางวันและมื้อเย็นไปด้วย ช่วงปลายยามอู่นางและเปาหลงก็ได้เกลือมา 1 ถังใหญ่
“เกลือมากขนาดนี้เรามาทำน้ำปลา และน้ำปรุงเห็ดหอมกันเถอะ”
“เปาเปาช่วยด้วย”
อาหารกลางวันของวันนี้เป็นแซนวิชอกไก่ให้ถือกินได้อย่างสะดวกระหว่างขึ้นเขา หลังนำไปแบ่งไฉ่ตู้ แล้วนางก็บอกเขาไว้ว่าจะพาเปาเปาขึ้นเขา และสั่งงานไฉ่ตู้อีกเล็กน้อย “หากเจ้ากินอิ่มแล้ว ข้าจะวานให้เจ้าหารถเข็นขายอาหารให้ข้าสักหน่อย หากราคาเหมาะสมก็รับมาได้เลยให้เขามาเก็บเงินที่ข้าได้ตอนยามเซิน ถือว่าเป็นงานครั้งที่ 2 แล้วกัน”
“ได้ข้าจัดการให้”
.
.
.
“เอาละ หากจะลงไปจับปลาในน้ำนั้นได้น้อย และใช้เวลามาก เพราะฉะนั้นเราจะมาทำกับดักปลากัน”
“ขอรับ”
นางสอนเปาเปาทำชะลอมดักปลาง่ายๆ ด้วยไม้ไผ่ที่เก็บมา นางเลือกจะทุ่นเวลาสานด้วยการใช้กาวร้อนติดแทน และใช้เชือกมัดหลอกตบตาเปาหลงไว้
เสิ่นลี่อิงเริ่มทำชะลอมจากชั้นนอกก่อน นางขึ้นรูปเป็นกระบอกยาวๆ สำหรับเก็บปลา ส่วนชั้นในเสิ่นลี่อิงติดไม้ไผ่ให้ลู่ลงเข้าหากันคล้ายกรวยจนรอบ “เมื่อปลาว่ายเข้ารูก็จะติดอยู่ในชะลอมเพราะว่ายสวนออกมาไม่ได้ เราต้องใช้มือกดเช่นนี้ไม้ไผ่ชั้นในจึงจะอ้าออกให้เทปลาออกมาได้”
“ขอรับ”
เมื่ออธิบายจนเด็กน้อยเข้าใจ นางจึงนำวางลงในลำธารลึกที่จินเหมยเคยพามาในทีแรก นางเลือกวางไว้ในซอกโขดหินที่มีน้ำไหลผ่าน และใช้เชือกรัดไว้จนแน่นดี เสร็จแล้วจึงชวนเปาหลงสำรวจป่าแทบนี้ดูเสียบ้าง “ห้ามจับสิ่งที่ไม่รู้จัก อยากรู้อะไรให้ถามพี่สาวก่อน เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ ไม่จับ” เสร็จสิ้นการตกลงเรื่องความปลอดภัยเด็กน้อยก็เริ่มเดินชี้ถามเจื้อยแจ้วให้นางอธิบายพืชพรรณต่างๆ ในป่าไม่ยอมหยุด นางเองก็พร้อมจะเดินตามเพื่ออธิบายสิ่งที่นางรู้ให้เปาหลงฟัง จนเขาไปพบซากเปลือกต้นไม้ใหญ่อันหนึ่งเข้า
“พี่สาว อยากดูใต้นี้” เปาหลงชี้บอกนาง เสิ่นลี่อิงจึงยกเปลือกไม้ดูก็พบกับเห็ด 6 - 7 ดอก และถัดมาเล็กน้อยก็มีให้เห็นอีก 4 - 5 ดอก
“อะไร ไม่สวย” เปาเปาน้อยเมื่อเห็นว่าน่าตาของสิ่งที่อยู่ใต้เปลือกไม้นั้นดูน่ากลัวก็ไม่สนใจอีก และกำลังจะเดินไปทางอื่น แต่เสิ่นลี่อิงกลับมีสีหน้าประหลาดใจจนเด็กน้อยไม่กล้าไปไหนไกล
“นั่นมัน!” ลี่อิงร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะปิดปากตนเองแล้วหันมองรอบตัวอย่างรวดเร็ว นางรีบขุดออกมาทั้งยวง และชวนเปาหลงเดินออกจากป่าทันที “เปาหลงรีบกลับกันเถิดสิ่งนี้สำคัญนัก เจ้านี่ช่างเป็นดาวนำโชคของข้าเสียจริงๆ”
นางตื่นตะลึงกับเด็กคนนี้นัก ฉลาด รู้ความทั้งยังโชคดีอีกด้วย ช่างเป็นผู้มีบุญญาธิการมาเกิดโดยแท้
เปาหลงแม้จะไม่รู้ว่าตนเองพบสิ่งใดเข้า แต่ในใจของเด็กน้อยกู่ร้องว่าตนเป็นคนเก่งซ้ำไปซ้ำมาจนถึงบ้าน
______
กาวร้อน หมายถึงกาวตราช้าง ใช้คำว่ากาวร้อน เพราะกาวตราช้างเป็นชื่อทางการค้า