บทที่ 25 เสียนหวางเฟยจะคลอด
บ่าวที่วิ่งมาตามคือท่านพ่อบ้านประจำจวน พระชายาเอกของเสียนอ๋องมาเจ็บท้องคลอดในวันนี้พอดีในระหว่างที่กำลังรับรองแขกสำหรับงานเลี้ยงหลอกๆ ครั้งนี้
การเข้าป่าในครั้งนั้นของเสียนอ๋องก็เพื่อตามหาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กพลิกตัวกลับได้ง่าย เพราะหญิงในสกุลหลี่ของพระชายาผู้นี้ ครึ่งหนึ่งคลอดลูกตายด้วยสาเหตุเดียวกันคือเด็กไม่พลิกตัว
เสิ่นลี่อิงเองก็ไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดเขาจึงไม่บอกนางตั้งแต่คืนวันนั้น แต่หากจะให้นางก็คงเหมือนดังเช่นนางที่มิรู้ว่าผู้ใดสามารถไว้ใจเต็มสิบส่วนได้บ้าง
ชนชั้นสูงล้วนแต่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงแม้กระทั่งกับครอบครัว ทั้งวันนั้นยังมีนักฆ่าตามมาจัดการญาติผู้พี่คนละสกุลผู้นี้ พร้อมๆ กับที่เจอนางเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“ญาติผู้พี่หากสมุนไพรนี้ไม่ได้ผลท่านจะทำเช่นไรต่อไป” ตอนนี้นางรออยู่ด้านนอกข้างกายตู้เสียนเฉิง ส่วนตู้เปาหลงนั้น แม่นมที่เตรียมสำหรับมาดูแลทารกคนใหม่ได้เป็นผู้นำไปดูแลให้แทนก่อน
“ข้า..” เสียนเฉิงไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เขาเองคิดเพียงแค่สมุนไพรที่เข้าป่าลึกเพื่อไปตามหาจะต้องสามารถรักษาชีวิตของนางในดวงใจไว้ได้
“กริ๊ด ออกมาเสียทีเถิดลูก!!” เสียงกรีดร้องของพระชายาเสียนอ๋องดังออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ฟังแล้วรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่นางกำลังได้รับเป็นอย่างมาก การคลอดลูกแม้จะเป็นในโลกเดิมก็ยังมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นในโลกโบราณเช่นนี้แล้วการคลอดลูกได้หลายครั้งโดยยังรักษาชีวิตตนไว้ได้คงถือเป็นปาฏิหาริย์
เสิ่นลี่อิงเดาเหตุการณ์ต่อไปไว้ในใจ อย่างไรสมุนไพรนี้ก็ต้องไม่ได้ผลกับพี่สะใภ้หลี่เจียอี เพราะในเนื้อหาตามนิยายเสียนอ๋องที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในกระดานการเมืองไร้ซึ่งพระชายาเอกข้างกาย จนเป็นที่จับตาว่าหญิงจากสกุลฝั่งใดจะสามารถคว้าชิ้นปลามันทางอำนาจนี้ไปให้ฝ่ายตนเองได้
หากข้าสามารถ..!?
“ญาติผู้พี่ หากท้ายที่สุดแล้วไม่เหลือหนทางอื่น ท่านจะยอมให้ข้าช่วยนางได้หรือไม่”
เสียนอ๋องนั่งขบคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตพอดีกับจังหวะที่หมอตำแย รวมถึงท่านหมอจ้านและลูกศิษย์เดินออกมา
“หมอจ้านหรือ” นางขมวดคิ้วคล้ายไม่เข้าใจ แต่เมื่อคิดว่าหมอจ้านคงต้องการชื่อเสียงและกลายเป็นผู้มีบุญคุณของเสียนอ๋องจึงเข้าใจ
“หมอหญิงลี่” เขาหันมาทักทายเพียงเล็กน้อยแล้วหันกลับไปแจ้งต่อเสียนอ๋องว่าสมุนไพรที่นำมาใช้ไม่ได้ผล เสิ่นลี่อิงหน้าเสียเมื่อรู้ว่ากลุ่มหมอที่มาได้พยายามนวดท้องเพื่อพลิกตัวเด็กแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผล
นางมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นทันทีเพราะในคราแรกก็คิดว่าจะนวดกระตุ้นกลับหัวเด็กเช่นกัน หากเป็นเช่นนี้มิใช่ว่านางเหลือเพียงทางเลือกเดียวหรอกหรือ
นางหันกลับไปฟังหมอจ้านที่กำลังอธิบายต่อ “เมื่อไม่มีทางเลือกเช่นนี้ หากไม่นำเด็กออกมาจะต้องตายทั้งอ๋องน้อยและพระชายา แต่หากเลือกที่จะกรีดผ่านำเด็กออกมาอย่างน้อยก็ยังสามารถรักษาไว้ได้หนึ่งชีวิต”
“ให้พวกเขาออกไปก่อน” เสิ่นลี่อิงหันไปพูดกับญาติผู้พี่ของตน
“หมอหญิงลี่ทำเช่นนี้จะได้อย่างไร เรื่องเช่นนี้ต้องแข่งกับเวลา” หมอจ้านเริ่มมีอาการโอหังอย่างในคราแรกที่เจอกันกลับมาเสียแล้ว
“ข้ารู้ จึงให้พวกท่านกลับไปอย่างไรเล่า เสียนอ๋องเพคะ รบกวนให้คนไปตามหมอชิงเสวียนให้ที เขาเป็นผู้มีความสามารถ เรื่องนี้หม่อมฉันทำเองผู้เดียวมิได้เพคะ” เมื่อมีผู้อื่นอยู่ด้วยจากคำพูดสนิทสนมก็กลับกลายเป็นคำพูดที่เป็นทางการตามยศศักดิ์ของญาติผู้พี่ทันที
“ทำตามที่นางบอก และเชิญแขกเรื่อกลับไปก่อน ท่านพ่อบ้านรบกวนจัดการส่งของขวัญขออภัยให้ครบด้วย”
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันขออนุญาตไปเตรียมของ”
เสิ่นลี่อิงเดินเข้ามาในห้องที่มีหญิงท้อง 8 เดือนกำลังนอนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด
“ยาไม่ได้ผล ลูกข้า ลูกข้า ฮือ ฮืออๆ” หลี่เจียอีน้ำตาไหลรินท่าทางน่าสงสาร เมื่อลี่อิงเห็นเด็กสาววัย 17 ปีตรงหน้ากำลังทุกข์ทรมานใจ ดวงจิตวัยสี่สิบกว่าอย่างนางก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปปลอบใจอีกฝ่าย
“ข้าจะพยายามช่วยเจ้าเอง อาจมีหลายสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ แต่ข้าขอให้เจ้าสาบานว่าตราบจนชีวิตเจ้าหาไม่ก็จะมิแพร่งพรายสิ่งใดที่อาจทำลายข้าได้ในอนาคต”
“ข้าสัญญาเจ้าค่ะ” นางให้สัญญาณบ่าวของตนให้ออกจากห้องไป
เมื่อได้คำตอบเช่นนั้นเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นก็ทยอยออกมาจากในมิติ นางวางสิ่งที่อาจทำให้หมอชิงเสวียนตกใจเกินไปไว้หลังม่านกั้น และฉีดฆ่าเชื้อไปรอบบริเวณและบนสิ่งของทั้งหมดเท่าที่จะทำได้
จากนั้นนางเปลี่ยนจากชุดโบราณที่ไม่ถนัดเป็นเสื้อกางเกงธรรมดา และเตรียมอีกชุดไว้ให้หมอชิงเสวียนด้วย เมื่อเขาเข้ามาก็ตกตะลึงเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นความจริงจังในแววตาของนางก็ยอมทำตามแต่โดยดี รวมถึงการรัดผมใส่หมวกคลุมไว้ และการสวมใส่หน้ากากอนามัยด้วย
นางให้คนต้มน้ำร้อนเข้ามาใช้ขัดล้างทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมก่อนใส่ถุงมือในตอนสุดท้าย “สิ่งที่ข้าจะทำในวันนี้ นอกจากจะช่วยเด็กแล้วเราจะต้องพยายามช่วยแม่ของเด็กให้ได้ด้วย”
นอกจากนางสองคนในห้องนี้ ก็ได้มีเปาหลงเป็นสมาชิกเพิ่มอีกคนที่ต้องคอยดูมอนิเตอร์และแจ้งนางเมื่อถึงตัวเลขที่บอกให้ท่องจำไว้ เปาหลงเป็นผู้เดียวที่นางไว้ใจให้เห็นสิ่งเหล่านี้
“ข้าเคยกรีดท้องนำเด็กออก แต่จะรักษาชีวิตแม่เด็กไว้ได้ด้วยเช่นนี้ไม่เคยทำ”
“ข้าบอกว่าพยายาม” เมื่อฉีดยาชาเข้าบริเวณไขสันหลังของเสียนหวางเฟยเรียบร้อยแล้ว นางเริ่มจรดใบมีดลงไปอย่างมีสมาธิทันที
“เหตุใดนางจึงไม่รู้สึกเจ็บปวด” หมอชิงเสวียนที่ถืออุปกรณ์ต่างๆ ในตำแหน่งที่เสิ่นลี่อิงบอกมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า อีกฝ่ายถูกกรีดผ่านชั้นผิวลงมาแล้ว แต่กลับไม่มีเสียงโหยหวนหรืออาการดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดเกิดขึ้นเลย
“ยาที่ข้าฉีดเข้าไขสันหลังของนางมีฤทธิ์ที่ทำให้ชาไม่รู้สึกเจ็บปวด”
ในที่สุดหลังจากกรีดผ่านชั้นผิวและกล้ามเนื้อก็มาถึงการกรีดเปิดผนังมดลูกออก นางเห็นทารกน้อยอยู่ในถุงน้ำคร่ำ เสิ่นลี่อิงอุ้มเด็กออกมาใช้ลูกยางดูดน้ำเมือกในปากและจมูกออกตัดสายสะดือ แล้วเรียกให้หมอตำแยเข้ามานำเด็กไปดูแล
“เป็นท่านหญิงน้อย!” เสียงหมอตำแยที่ล้างด้วยเด็กกล่าวออกมาดังลั่น
หลังจากนั้นนางก็ให้หมอชิงเสวียนทำคลอดรกและตรวจดูว่ามีส่วนใดหลงเหลือหรือไม่ จากนั้นก็สอนให้หมอชิงเสวียนเย็บปิดผนังมดลูกและชั้นผิวหนังทั้งหมดจนครบ นางมิได้ใส่สายสวนปัสสาวะให้หลี่เจียอี เพราะกลัวจะทำให้บ่าวไพร่ที่ต้องมาดูแลนางตกใจจนเกินไป และความลับอาจรั่วไหลได้
ระหว่างที่รอดูอาการของหลี่เจียอีนางก็อธิบายข้อคำถามเพิ่มเติมที่หมอชิงเสวียนผู้นี้มี พร้อมกับอธิบายวิธีการดูแลตนเองกับหลี่เจียอีไปด้วย “ท่านต้องดูอาการของผู้ป่วยอย่างน้อย 1 ชั่วยาม แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของท่านเองด้วย ภายในสามวันนางต้องลุกเดินให้ได้ แต่หลักจากนี้อย่างน้อย 2 วันไม่ควรทานอาหารหนัก ควรเน้นเป็นอาหารอ่อน จิมน้ำบ่อยๆ”
“อย่ากลัวหากต้องขับถ่ายในช่วยที่ยังลุกไม่ได้ ให้บ่าวไพร่ช่วยเหลือไป และแผลนี้ต้องดูแลรักษาให้สะอาด ห้ามโดนน้ำ หากเจ็บบวมมีลือดซึมให้ไปตามข้าทันที”
“ยาชา กระบอกฉีด และเส้นด้ายที่ใช้ขอนำไปเป็นตัวอย่างได้หรือไม่”
“ย่อมได้” นางยื่นของเหล่านั้นให้กับชิงเสวียนที่เก็บมันลงย่ามไปมิต่างอะไรกับของมีค่า
ผ่านไปเค่อหนึ่งญาติผู้พี่ก็อุ้มท่านหญิงน้อยเข้ามาภายในห้อง เมื่อสายตาเห็นว่าฮูหยินของตนแม้จะมีสีหน้าซีดเซียวแต่ก็มิได้สิ้นลมหายใจไปดังที่หมอจากโรงหมดเฟยฉีกล่าวกัน
“ท่านพี่เพคะ” หญิงงามตรงหน้าหลั่งน้ำตาออกมาทันทีที่เห็นสามีและลูกน้อย
“เจียเออร์ เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้ามิรู้สึกเจ็บปวดเลยเพคะ ท่านหมอลี่บอกว่าอีกสักพักจะรู้สึกเจ็บ นางให้ยาไว้กับหม่อมฉันแล้ว”
“พวกท่านจะเรียกนางว่าอย่างไรหรือ” นางระบายยิ้มออกมาเด็กคนนี้อย่างไรก็นับว่าเป็นหลานนางผู้หนึ่ง ทั้งเสิ่นลี่อิงยังเป็นผู้ทำคลอดจึงต้องอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา
“เรื่องนี้.. ท่านพี่ให้นางตั้งชื่อได้หรือไม่เพคะ”
เสียนอ๋องมิได้ตอบออกมาเป็นคำพูดเขาเพียงพยักหน้าและส่งทารกหญิงตัวน้อยวางในอ้อมแขนเสียนหวางเฟย
เสิ่นลี่อิงที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้มอบนามให้กับท่านหญิงน้อยก็เริ่มคิดชื่อที่เหมาะสมทันที “นางเกิดในคืนงานเลี้ยงชมจันทร์ ทั้งยังคลอดออกมายากเย็นดังว่ามีราคาค่าตัวแสนแพงเช่นนี้ เจ้าชื่อเยว่กุ้ยดีหรือไม่”
เด็กทารกน้อยคล้ายว่ารับรู้คำพูดของนางระบายยิ้มกริ่มออกมาทั้งที่ยังหลับตาพริ้ม ส่วนเปาหลงย้ายมาจดจ้องลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของตนด้วย “เยว่กุ้ย น้องข้า”
“ตู้เยว่กุ้ย สมตัวนางดีจริง” เสียนอ๋องกล่าวออกมาอย่างพึงพอใจ หลี่เจียอีก็ยกยิ้มเช่นเดียวกัน
แววตาเลื่อมใสและขอบคุณจากพ่อแม่มือใหม่ตรงหน้านางก็ทำให้เสิ่นลี่อิงมั่นใจว่าสิ่งที่นางจะขอให้ญาติผู้พี่ช่วยเหลือเขาจะต้องไม่ปฏิเสธ
เมื่อครบชั่วยามหลี่เจียอีไร้อาการแทรกซ้อนหมอชิงเสวียนจึงกลับไปก่อน เขาต้องการนำตัวยาและเส้นด้ายไปศึกษา ทั้งยังต้องหาช่างฝีมือมาทำกระบอกอีกด้วย
ส่วนตัวนางยังอยู่เฝ้านางต่ออีกระยะเพื่อให้แน่ใจว่าหลี่เจียอีจะไม่มีอาการอื่นใดพร้อมกับอบรมบ่าวไพร่ที่ต้องดูแลเสียนหวางเฟยว่าต้องดูแลพระชายาอย่างไร เสิ่นลี่อิงและเปาหลงนอนเฝ้าหลี่เจียอีในคืนนี้ ยามเช้าจึงค่อยนั่งรถม้าจากจวนเสียนอ๋องกลับไปส่งที่หมู่บ้านหยาง
รถม้าคันหรูที่พานางและเปาหลงกลับมาต้องจอดชะงักที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน มีชาวบ้านมากมายมายืนออเหมือนว่ารอบางสิ่งบางอย่างอยู่
คนเบื้องล่างเมื่อเห็นตราจวนอ๋องก็หันมองกันอย่างไม่แน่ใจนักว่าสถานการณ์ตรงหน้าตนคือสิ่งใด ผิดกับนางผู่จานที่รีบวิ่งมาคุกเข่าด้านหน้าทันที “ท่านอ๋องช่วยทวงความยุติธรรมให้พวกข้าด้วย ฮือๆๆ”
เสิ่นลี่อิงส่ายหัวเมื่อได้ยินเสียงสตรีนางนี้
เห้อ เจอตัวฉินเปาแล้วสินะ น่ารำคาญจริงๆ