กลิ่นหอมตลบอบอวลของหมู่มวลบุปผาถูกกลบด้วยกลิ่นอาภรณ์และเส้นผมของสตรีนางหนึ่งเสียหมด เทพอู่เฉินอยู่ในร่างปีศาจค่อนข้างนาน แทบไม่ได้กลับร่างบุรุษเทพเลยตอนเฝ้าไข้นาง เมื่อกลับมาพักผ่อนในเรือนอันเงียบสงบ จำต้องใช้เวลาในการนั่งบำเพ็ญเพียรหลายวัน
ยามใดที่อยู่ในร่างปีศาจอสรพิษผู้ทรงพลัง เขาก็มีความคิดเช่นปีศาจ โมโหฉุนเฉียวได้อย่างไม่ยากนัก โมหะโทสะเข้าครอบงำจิตใจรุ่มร้อน ลุ่มหลงในเนื้อหนังมังสาความงามของอิสตรี
การกลับมาเป็นบุรุษเทพครานี้ อู่เฉินเริ่มที่จะไม่พึงพอใจกลิ่นนวลเนื้อนาง อันทำให้หัวสมองฟุ้งซ่านยากแก่การสงบจิตสงบใจ ไหนจะเรื่องที่เพิ่งถูกนางบริภาษ กล่าวถามถึงสตรีบริสุทธิ์เหล่านั้นต้องเจ็บปวดเท่าไร คงไม่แปลกที่เทพใจดีอย่างเขาจะสำนึกผิดในบาปที่กระทำลงไป
แล้วเช่นนี้จะเกิดวิบากกรรมหรือไม่? กรรมเป็นของผู้กระทำหรือผู้สั่งการ
เทพอู่เฉินนั่งตรึกตรองเรื่องนี้ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดอกเหมยบานสะพรั่งด้านหน้าเรือนไม้อันสวยงาม เขายังเข้าข้างตัวเองว่าคำสั่งของเบื้องบน สั่งให้เขาถือดาบสังหารมนุษย์อาจไม่ใช่ความผิด พวกนางต่างหากที่จำเป็นต้องตายในฐานะเครื่องสังเวย
หรือแท้จริงแล้วเขาอาจไม่คู่ควรกับคำว่าเทพ แต่ควรเป็นปีศาจอู่เฉิน
“ท่าน ๆ ...”
“เทพอู่เฉิน...”
เสียงกระซิบเรียกทำให้บุรุษเทพเปิดตาขึ้นช้า ๆ หันไปมองสตรีข้างกาย เทพอู่เฉินเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มยิ้มแย้มกว่าวันก่อน กลับถอนหายใจออกมา
“เจ้ามีเรื่องอะไร? อาเป้ย”
“ข้าเห็นว่าท่านนั่งหลับตาอยู่ลำพังตั้งนาน ข้าจึงสงสัยว่าท่านนอนหลับบ้างหรือไม่ ท่านมีความฝันหรือไม่ ส่วนตัวข้าเห็นจะไม่ฝันอะไรเลยสักอย่าง”
อาเป้ยสวมอาภรณ์เป็นเสื้อคลุมตัวยาว สีชมพูเข้มอ่อนสลับไปกับสีขาว ดูสดใสราวสีสันของดอกบ๊วย ด้านในเป็นผ้าคาดอกผืนตรงยาวไปถึงตาตุ่ม ผิวละเอียดเนียนบริเวณเนินอกของนางช่างยั่วยวนสายตาบุรุษ แต่นางหาได้รู้สึกตัวแม้สักนิด นางเพียงอยากใส่ชุดสวยงามสดใส ซึ่งมารดาแห่งสายน้ำมอบให้ แม้แต่เส้นผมที่ปักไว้ด้วยปิ่นสีทองส่งกลิ่นหอมอ่อนไปถึงท่านเทพเมื่อสายลมพัดผ่านเรือนร่างของนาง ราวกับว่านางกำลังยั่วยวนกิเลศเทพปีศาจ ผู้ไม่เคยใกล้ชิดอิสตรีมาก่อนตลอดห้าพันกว่าปี เทพอู่เฉินจึงมองนางด้วยสายตาเย็นยะเยียบเยี่ยงนี้
“ไหนเจ้าบอกกับข้าว่าท่านอาจารย์ห้ามไม่ให้เข้าใกล้บุรุษเกินสามย่างก้าว”
“ข้าอภัยท่านอู่เฉิน! ข้าไม่ควรให้นางเข้ามายุ่มย่าม” เซียวอี้หรูวิ่งเข้ามาทันควัน เพื่อห้ามปรามแต่ว่าคงไม่ทัน อาเป้ยมองขวับด้วยท่าทางฉุนเฉียว
“ข้าไปก็ได้... ท่านเซียวอี้หรู ไม่ต้องขับไล่ไสส่งข้านักหรอก เชอะ” แล้วนางก็หันไปทางพยัคฆ์อัคคีตัวน้อย “เหลียนเหลียน เจ้าไปเที่ยวเล่นกับข้าดีกว่า”
บ่าวงูคนสนิทของเทพอู่เฉินคงไม่แปลกใจเพราะเห็นนางอุ้มเจ้าตัวน้อยมาสักพัก แต่เป็นเทพอู่เฉินเสียเอง เมื่อเท้าทั้งสี่ของพยัคฆ์อัคคีเหยียบข้ามอากาศมาหาอาเป้ย อ้าแขนรับมันเข้าหาอ้อมกอดอย่างสนิทสนม
“มันให้เจ้าอุ้มด้วยหรือ?”
“ใช่ ข้านอนกอดมันด้วย ขนของมันนุ่มราวปุยนุ่น ร่างกายของมันห่อหุ้มด้วยเปลวไฟอันอบอุ่น ข้ากล่อมมันให้หลับทุกราตรี มันจะได้ไม่คิดถึงท่านแม่ของมันมาก” นางลูบศีรษะมันก็ทำเซื่องซึมเป็นแมวตัวหนึ่ง ไร้ความเป็นพยัคฆ์อัคคี อาจเพราะว่ามันยังเล็กนัก นางหันไปพูดกับเทพอู่เฉิน
“อืม... ข้าว่าข้าคงเบื่อท่านแล้วล่ะ เทพอู่เฉินไม่มาเชยชมสมบัติของท่านเอง ข้าคงจะช่วยอะไรท่านไม่ได้หากว่าข้าเป็นฝ่ายเบื่อหน่ายในตัวท่าน”
นางพูดจบเท่านั้น! พยัคฆ์อัคคีผู้ไร้เดียงสาพลันถูกพายุสีดำลูกใหญ่พัดกระเด็น กลิ้งตุบลงบนพื้นหญ้า กลุ่มควันเวทสีดำดึงหลังนางจนเสื้อคลุมตัวนอกเกือบจะหลุดปลิวไปกับสายลม
ข้ารับใช้เทพอู่เฉินหน้าตาตื่นกับภาพที่เห็น รีบหนีไปกันเสียหมด สองขาของอาเป้ยลอยพ้นจากพื้น อาภรณ์ชั้นนอกของนางจะหลุดมิหลุดแหล่ เมื่อมือหยาบกร้านจับคอเสื้อด้านหลังของนางเอาไว้
“เมื่อครู่นี้เจ้าพูดอะไร?”
“หูท่านมีปัญหาไปแล้วหรือยังไง เหตุใดท่านจะต้องถามข้าซ้ำซากเป็นครั้งที่สองด้วย”
“เจ้า... เป็นสตรีน่าเกลียด”
“ท่านเยินยอข้าว่างดงามเสมอ”
“งามเพียงใบหน้าและจิตใจของเจ้า แต่เจ้าชอบทำตัวน่าเกลียด ไม่สมเป็นสตรี เจ้ายังมีความคิดที่ไม่ดี เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาใส่หัวข้า”
“ข้าเปล่าเสียหน่อย ข้าเพียงคิดว่าท่านควรระวังตัว ข้าประสงค์ดีต่อท่านข้าจึงเตือนท่าน ยิ่งท่านนั่งอยู่ผู้เดียวลำพัง ถึงเป็นเทพก็เป็นไปได้ว่าอาจเจอวิญญาณอาฆาตเข้า ข้าเกรงว่าผีนางสิบสองตนนั้นจะมาเยือน...”
“อาเป้ย... ข้าขอสั่งห้ามไม่ให้เจ้าพูดถึงพวกนางอีก!”
เสียงเข่นเขี้ยวของเทพอู่เฉินเงียบไปเท่านั้น ตรงมุมปากหนาหยักได้รูปปรากฏเขี้ยวคม นัยน์ตาเปล่งประกายสีแดงเยี่ยงปีศาจ หากทว่าอาเป้ยหาได้กลัวท่านแม้สักน้อย นางเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวน เชิญนั่งบำเพ็ญเพียรต่อเถิด เทพอู่เฉินสัมผัสนิพพานเมื่อใด อย่าลืมแวะมาบอกข้าด้วย ข้าจะมาแสดงความยินดีกับท่าน จัดงานเฉลิมฉลองให้ยิ่งใหญ่ว่างานส่งเครื่องสังเวยของเจ้าเมืองหลงอี้จีนซะอีก”
“อาเป้ย! เจ้านี่มัน!”
เทพอู่เฉินโมโหนางจนหน้าแดงก่ำแล้วตอนนี้ แต่นางไม่ใคร่ใส่ใจเหมือนตั้งใจมายั่วโทสะท่านเต็มประดา ก็สมใจนางแล้วล่ะ นางลุล่วงสำเร็จผลของนาง ตราบจนนางได้รับอิสรภาพ เดินเอามือไพล่หลังไปในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ข้างหนึ่งหล่นลงจนเห็นไหล่กลมกลึง นางยังไม่ยอมสวมใส่เสื้อผ้าให้ดี
แล้วคนนั่งบำเพ็ญเพียรก็ตบะแตก ต้องตามไปสะบัดมือตีอากาศครั้งหนึ่ง จัดการเสื้อผ้าให้นาง ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะแรงกล้า
“ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเทพอู่เฉินมีวิบากกรรมหรือไม่ เป็นจุดประสงค์ข้อที่หนึ่งของข้า... ส่วนข้อที่สอง... ข้าจะหาสักหนทางหนีไปเที่ยวแถว ๆ นี้แหละ”
รอยยิ้มมาดมั่นบนใบหน้าสวยหวานทำให้เจ้าเหลียนเหลียนสงสัย มันยังดุนาง ด้วยความกลัวเกรงว่านางจะก่อเรื่องอะไรอีก
แต่จะให้นางทำอย่างไร หาทางติดต่อมารดาบนโลกมนุษย์ก็ไม่ได้ นางไม่ได้รับอนุญาตจากเทพอู่เฉิน ครั้นจะนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงก็น่าเบื่อหน่าย
หลายวันมานี้เทพอู่เฉินไม่ค่อยจะสนใจนาง หลังจากที่นางไปยั่วโมโหท่านกลับเดินมากำชับนางเรื่องการแต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องสวยสง่า ไม่มีเหตุจำเป็นก็อย่าได้สวมอาภรณ์ที่เผยให้เห็นเนื้อหนังมังสาขาว ๆ ของนาง ในเมื่อนางแทบไม่ได้ออกไปไหน วัน ๆ อยู่แต่ในเรือนของท่าน
นางพยักหน้ารับทราบ แต่ขอพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ให้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนางบ้างว่าอยากจะสวมอาภรณ์สวยงาม หรือว่าวันไหนนางอยากสวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ
“เจ้าจะไปไหน? อาเป้ย... เจ้าไม่ควรออกนอกอาณาเขตของเรือนนี้ ข้าไม่อยากมีปัญหากับเทพอู่เฉิน ท่านไม่ชอบหน้าข้า เจ้าก็รู้”
“เจ้าจะกลัวอะไรกันเล่า เทพอู่เฉินแท้จริงแล้วเป็นเทพผู้มีเมตตา ท่านเพียงหยอกเจ้าเล่นเท่านั้น ครานี้ข้ารับปากว่าข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
พยัคฆ์อัคคีดูไม่สดใสนัก มันไม่เคยเห็นด้วยกับความคิดของนาง ขนาดว่าตอนนี้มันยังต้องอยู่หน้าห้องนอนเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้นอนกับนางอีก อาเป้ยจึงนั่งยองลง เลื่อนมือไปลูบเปลวไฟสีน้ำเงินเพื่อปลอบประโลม
“เหลียนเหลียน... เจ้าอย่าเศร้าไปเลย ชีวิตเราไม่ยืนนาน ทว่าต่อให้ยืนนานเยี่ยงในเมืองเทพ เจ้าก็ไม่ควรจมปลักกับความเศร้าหมอง วันสองวันก็เพียงพอแล้วสำหรับความเศร้า ตอนนี้เจ้าอยากทำอะไร เจ้าจงทำ หาความบันเทิงใจ ความสุขให้กับตัวเจ้าเอง เจ้าอยากไปจากเทือกเขาอุดรแห่งนี้เมื่อใด เจ้าจงไป...”
“ข้าจะไปที่ไหนได้ ตัวข้าเวลานี้แสนจะอ่อนแอยิ่งกว่าลูกสุนัขบนโลกมนุษย์...”
พยัคฆ์อัคคีตัวน้อยกำลังคิดสับสนกับชีวิตของมัน ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป มันไม่ได้รับการต้อนรับในสถานที่แห่งนี้แต่มันไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญโลกกว้าง ในขณะที่มันได้รับการปลอบประโลมทุกวันจากอาเป้ย ผู้มีทักษะในการพูดจาจรรโลงใจได้เสมอ
“ข้าเองไม่เคยจะได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่ ข้าอยู่กับหลวงจีนนักพรตมาทั้งชีวิต ข้าทำงานงก ๆ ทุกวันเช้าจรดค่ำ ไม่เคยจะได้แต่งตัวสวยงาม ข้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าประหนึ่งร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง วันหนึ่งข้าก็ถูกท่านเจ้าเมืองจับตัวมาสั่งสังหารอีก ข้าว่าชีวิตของข้าอาภัพไม่แพ้เจ้าหรอก”
แล้วนางก็สร้างกำลังใจให้เจ้าพยัคฆ์อัคคีลุกขึ้นเดินตามนางได้สำเร็จ ถึงการเดินเล่นของนางในแต่ละวันจะขัดใจท่านเทพเจ้าของเรือนอยู่สักเล็กน้อย นางว่าวันนี้นางคงไม่ทำเสียงดังรบกวน หากเป็นไปได้นางจะไปหลบอยู่ด้านหลังป่าไผ่ นั่งเล่นกับเจ้าเหลียนเหลียน
บัดนี้เปลวเพลิงรอบกายของพยัคฆ์อัคคีกลับมาเป็นสีเดิมของมัน ขนาดของลำตัวยังเติบโตขึ้นเล็กน้อย ทว่ายังคงเป็นพยัคฆ์สีขาวตัวกระจ้อยร่อย เตี้ยกว่าหัวเข่าของนางอยู่ดี
“เจ้าดูซีว่าเวลานี้ข้าเป็นสตรีสมใจข้า แต่ทั้งมนุษย์ เทพ หรือแม้กระทั่งปีศาจกลับดูถูกข้ายิ่งนัก เอาล่ะ ในเมื่อข้ารอดชีวิตมาได้ ข้าจะหาเรื่องบันเทิงใจ หาความสุขให้กับชีวิตของข้าดีกว่า เราจะไปไหนกันดี? อ้อ... ข้าว่าข้ารู้แล้วล่ะ”
มีเพียงนางผู้เอาแต่ใจ เจ้าพยัคฆ์อัคคีไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่นางกำลังจะทำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกจากเรือนเทพอู่เฉินซึ่งเป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาด ทว่ามันคงไม่มีทางเลือก ก็ต้องตามนางไปเงียบ ๆ เพื่อระวังหลังให้นาง