6
******สมบัติของเทพ
เทพอู่เฉินอุ้มพาร่างบอบบางกลับห้องพัก โดยไม่พูดถึงสระบัวอันสวยงาม ซึ่งถูกทำลายราบคาบ แม้กระทั่งค่ายกลเทพใต้น้ำยังไม่มีเหลือ
โชคชะตายังเข้าข้างพยัคฆ์อัคคีตัวน้อย ดอกบัวสีทองไม่กลายเป็นเศษบัวไปเสียก่อน มารดาของมันได้ยาถอนพิษไปรักษาบุตร หายจากพิษร้ายเพียงพริบตาเดียว
“เจ้าช่างสรรหาความวุ่นวายให้ข้า”
เทพอู่เฉินคอยประชดประชันนางตั้งแต่นางได้สติกลับมา ก้มหน้าลงมองใบหน้าซีดขาวบนตั่งนั่งไม้ในห้องพักของเรือนใต้เท้าจีกง บัดนี้ยังคงหยิ่งผยองทะนงตนสมเป็นนาง
อาเป้ยไม่มีแม้เรี่ยวแรงนั่งด้วยตัวของนางเองด้วยซ้ำ นางพิงศีรษะบนไหล่กว้าง เทพอู่เฉินคอยประคองต้นแขนของนางไว้ไม่ให้สำลักหากนางนอนราบลง โลหิตสีแดงฉานยังเปียกนองเต็มเสื้อและช่วงลำคอ นางพูดจาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายังกับว่านางจะไม่ไหว
“ท่านควรเชยชมข้า... มิใช่ซ้ำเติม”
“เจ้าเก่งมาก... อาเป้ย สภาพของเจ้าตอนนี้เป็นยังไง สมใจเจ้าหรือไม่?”
“ข้า... เจ็บ... เพียงเล็กน้อย”
“คงไม่ใช่เพียงเล็กน้อย แต่ว่าเจ้าต้องอดทน เหมือนที่เจ้าบอกกับเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อยนั่นว่าให้อดทน”
“ข้ากำลัง... อดทน”
นางยิ้มหยันเพียงนึกถึงคำพูดตน ทั้งที่นางกำลังบาดเจ็บ ปวดในอกเหลือคณาจนร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อน ราวกับว่านางถูกทิ่มแทงด้วยอาวุธที่แหลมคมและแสบร้อน
อาเป้ยไม่เคยสำลักพลังเวท ธาตุในกายสู้รบกันเองมาก่อน ตั้งแต่นางฝึกวิชามากับอาจารย์ฮุ่ยหมิง ท่านอาจารย์จะคอยบอกสอน ระวังเรื่องนี้ให้นางอยู่เสมอ นางไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการใดเกินกำลังของนางเอง
นางระลึกถึงบุญคุณของท่านอาจารย์ แต่หากว่าท่านจะห้ามนางก็จะทำมันอยู่ดี หัวใจของนางยังสัมผัสถึงความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“ท่านใจดี... กับข้า”
“ข้าจำเป็นต้องดูแลเจ้า ใช่ว่าข้าอยากดูแลเจ้าเสียเมื่อไร เงียบเสียอาเป้ย เจ้าห้ามพูดอะไรอีกแม้สักคำเดียว นี่เป็นคำสั่งของข้า”
ในน้ำเสียงหนักแน่นดุดัน ดวงตาคู่คมจรดมองโลหิตไหลจากริมฝีปากของนาง
เทพอู่เฉินเห็นอาการของนางไม่ดีนัก ตัดสินใจเลื่อนมือขึ้นปล่อยกระแสเวทสายรักษา หากพอไอสีดำหลุดออกมาจากฝ่ามือโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงก้มหน้าลงมองมือของตนด้วยท่าทีตื่นตระหนก
“ช้าก่อน... เทพอู่เฉิน กายท่านยังคงเหลือกลิ่นอายพลังหยิน ไม่สามารถรักษาบาดแผลจากภายในได้ ข้ากำลังให้บ่าวในเรือนนำยามาให้นาง ดอกบัวสีทองยังเหลือพอบดยามาให้นางดื่ม”
ใต้เท้าจีกงมาบอกเทพอู่เฉินได้ทันเวลาก่อนที่นางจะถูกสังหารไปเสียด้วยน้ำมือเทพปีศาจ แล้วรีบไปกำกับงานยาในครัว ไม่ปล่อยให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
อาเป้ยถูกไอหยินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางสำรอกโลหิตออกมาอีกเป็นจำนวนมาก หากพออาการของนางสงบลง อาการร้อนรนของเทพปีศาจกลับอยู่ในสายตาของนาง
“ข้าไม่เป็นไร... ท่านไม่ได้... ตั้งใจ... ทำร้ายข้า...”
“เงียบปากเสีย อาเป้ย ลองพูดอีกสักคำเดียว ข้าจะปิดปากเจ้าเอาไว้”
“... อย่างไร?”
นางหัวเราะเยาะเย้ยแม้ร่างกายแสนบาดเจ็บ ทั้งปากและฟันของนางเต็มไปด้วยโลหิต
นางช่างน่าเกลียดนัก!
เทพอู่เฉินบริภาษนางในใจ สะบัดมือขึ้นเช็ดรอบปากนางด้วยชายเสื้อ กระทำอย่างไม่ใส่ใจเหมือนไม่ใคร่จะอยากเช็ดปากให้นาง อยากจับนางตีก้นเสียด้วยซ้ำ ครั้นพอนางจะอ้าปากพูดอีกครา ก็ยกมือขึ้นปิดป้องปากนาง ปิดไปเสียครึ่งใบหน้า
“ข้าสั่งเจ้าว่าห้ามพูดอะไรทั้งสิ้น เจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้า อาเป้ย”
ดวงตาเรียวรีคู่นี้กำลังหัวเราะ นางแสนดีใจที่มีใครสักคนเป็นห่วงเป็นใยนาง นอกเสียจากท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงแล้ว เห็นว่าจะไม่เคยมี ยิ่งเป็นเทพปีศาจผู้ไม่เคยแยแสในสิ่งใด คล้ายกับว่านางได้รับชัยชนะเล็ก ๆ สักครั้งในชีวิตแสนอาภัพของนาง
เทพอู่เฉินดันเสียหน้าไม่น้อย เมื่อแววตาเข้มขรึมดุดันปรากฏความรู้สึกมากมาย ทั้งสับสนเป็นกังวล รู้สึกผิดต่อนางอย่างยิ่งยวด
เพราะเกือบปลิดชีพนางเป็นครั้งที่สอง! แม้ว่าจะไม่ได้เจตนาเลยก็ตาม
ใบหน้าเคร่งเครียดของบุรุษเทพยังจับจ้องดวงตาสวยใสของนางกะพริบปรือ
การสบประสานสายตาของหนุ่มสาวในห้องเงียบสนิท อาจทำให้ฝ่ายหนึ่งหวั่นไหว อย่างไรเสียคงไม่ใช่เทพปีศาจอู่เฉิน ซึ่งปิดปากนางจนแน่ใจว่านางจะไม่พูดอะไรอีกแม้สักคำ กว่าจะยอมปล่อยมือออก
อยู่ดี ๆ นางก็เลื่อนมือขึ้นรั้งมือเปียกชุ่มโลหิตเอาไว้ ฝ่ามือเล็กกว่ามือของบุรุษเกือบครึ่งหนึ่งกุมมือหนาใหญ่อย่างบรรจงสัมผัส นางยิ้มปลอบประโลมท่านเทพว่านางจะไม่เป็นอะไรไป ให้ท่านรู้สึกผิดมากไปกว่านี้แน่ ๆ
แม้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อน คิ้วเรียวสวยชนชิดติดกันเพราะความเจ็บปวด และนางไม่สามารถเก็บอาการทางสีหน้าได้อีก นางบีบมือหนาท่านเอาไว้แน่น ก่อนคลายแรงออกในทันทีทันใดที่ปิดตาลงอย่างสิ้นกำลัง
“อาเป้ย ๆ ...!”
เทพอู่เฉินตะโกนเรียกนาง ก้มหน้าลงมองปลายจมูกของนางให้แน่ใจว่านางยังมีลมหายใจ หันไปหน้าเร่งสตรีทั้งสองซึ่งยืนรออยู่หน้าประตู ให้รีบนำยามารักษานางเป็นการด่วน
อาเป้ยใช้เวลารักษาตัวหลายราตรี นางหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะอาการเจ็บปวดรวดร้าวจากภายใน ในห้องรับรองแขกซึ่งใต้เท้าจีกงให้คำอนุญาตนางได้พักรักษาตัว บริเวณด้านหลังสุดของเรือน เพื่อไม่ให้เป็นการเอิกเกริกมากนัก
นางไม่เคยบาดเจ็บถึงขั้นนี้จึงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับนาง นางเจ็บปวดทรมานในอก รู้สึกเหมือนถูกปักด้วยกริชคมซ้ำแล้วซ้ำแล้ว จนสำรอกโลหิตออกมาเช้าและเย็นวันละสองเวลา แม้แต่การผ่อนลมหายใจเข้าออกยังกลายเป็นเรื่องยาก ราวกับว่านางถูกใครสักคนกดหัวนางลงไปในน้ำ
ทว่านางยังระลึกรู้ถึงบุญกุศลครั้งนี้ นางได้รักษาชีวิตสัตว์อสูรที่น่ารักตัวหนึ่ง ได้สัมผัสถึงอีกมุมอุปนิสัยใจคอของเทพปีศาจผู้แสนเกรี้ยวกราด
ยามใดนางเปิดเปลือกตาหนักอึ้งราวถูกถ่วงเอาไว้ด้วยหินขึ้น จะพบอสรพิษคอยเฝ้าดูอาการของนาง ด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใย รู้สึกผิดต่อนางยิ่ง เมื่อท่านเกือบปลิดชีพนางถึงสองครา
ทั้งในร่างบุรุษและในร่างอสรพิษผู้มีนัยน์ตาดั่งสีของโลหิต เฝ้ามองนางอย่างเมตตาสงสาร
ทั้งที่จริงแล้วนั่นเป็นความผิดของนาง...
อาวุทเวทของอาจารย์ฮุ่ยหมิงทรงพลัง กล้าแกร่งไม่น้อยไปกว่าอาวุธของเทพและปีศาจในโลกของเทพเซียน อาวุธชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยนักพรตอาวุโสนับสิบรวมถึงท่านอาจารย์ฮุ่ยหมิงด้วย ร่วมใจกันถ่ายพลังลงในอาวุธเวท ในขณะที่ตัวนางนั้นเป็นเพียงเซียนหญิงระดับกลาง ไม่มีทางเทียบเท่าพวกเขา แม้แต่เทพปีศาจผู้มีพลังมากเข้าขั้นทำลายล้าง ผู้เป็นบ่อเกิดพลังในร่างของนาง
นางเพิ่งตระหนักรู้ว่าหากนางใช้ผิดวิธี หมายถึงชีวิตของนาง
เทพอู่เฉินบัดนี้กลับกลายเป็นอสรพิษสีดำร่างใหญ่โตพอประมาณ ขดตัวนอนอยู่หน้าประตูไม้สองบานที่เปิดอ้าออกกว้าง ขวางอยู่เต็มช่องทางเดิน พออาทิตย์ลาลับฟ้า ย่างเข้ายามราตรีเมื่อใด เทพปีศาจผู้นี้จะมีขนาดเล็กลงสักหน่อย เลื้อยเข้าห้องมาขดตัวนอนเฝ้านางอยู่ข้างเตียง นัยน์ตาสีแดงฉานหากไม่มองนางจะส่ายมองออกไปข้างนอกประตู คอยเฝ้ายามให้นางหลับใหลในนิทราอย่างสบายใจ
“เช็ดตัวให้นางแล้วพวกเจ้าออกไป”
เสียงเข้มสั่งวันละหนึ่งครั้ง สตรีทั้งสองพยักหน้ารับคำสั่ง เข้ามาทำหน้าที่แล้วรีบไป
อาเป้ยเพิ่งสังเกตเห็นว่าไม่ค่อยมีผู้ใดเข้าหน้าเทพอู่เฉินติดนัก ถึงท่านจะเป็นบุรุษรูปงาม แต่ไม่ได้มีอัธยาศัยดีน่าคบหาหรือแม้แต่จะเป็นมิตร รอบกายเทพปีศาจในร่างอสรพิษยังมีไอเวทสีดำแผ่คลุมอยู่ในระยะกว้างพอสมควร
หากท่านเทพปีศาจอารมณ์ไม่ดียิ่งแล้วใหญ่ ไอเวทปีศาจแผ่กระจายไปถึงข้างนอกห้อง พื้นดินและอากาศปกคลุมด้วยกลุ่มควันดำ นางยังเห็นอีกด้วยว่าท่านในบางคราท่านอู่เฉินก็ไม่มีอุ้งมือมังกร กลายเป็นงูเหลือมดำ ทว่ามีเกล็ดอันงดงามเป็นเงามันกว่างูทั่วไป ซึ่งนางเคยพบเจอบนโลกมนุษย์
“ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า... ท่านเทพหลงเหนียนผู้ยิ่งใหญ่ของเหล่ามนุษย์มีความเก่งฉกาจมาก ท่านสามารถที่จะปรับความเล็กใหญ่ของร่างกายในร่างอสรพิษได้... ท่านจะแปลงเป็นงูก็ได้...”
ไม่ใช่เทพอย่างที่นางคิดนั่นแหละ หากว่านางไม่พบเห็นด้วยสองตาตนเอง นางคงคิดว่าท่านอู่เฉินเป็นปีศาจงูเสียมากกว่า
นางยิ้มอารมณ์ดี ในใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ รุ่งอรุณที่ผ่านพ้นมานี้นางไม่สำลักโลหิตของตนแล้ว พูดจาได้มากขึ้น แต่ด้วยความที่นางไม่ได้บำรุงร่างกายจึงผ่ายผอมจนเห็นกระดูก อาภรณ์สีขาวบางบนไหล่มนทำให้มองเห็นสรีระอย่างชัดเจน
“เจ้าเป็นสมบัติของข้า... ย่อมต้องดูแลเจ้า...”
อสรพิษสีนิลคืบคลานขึ้นมาบนเตียงของนาง ชูคอขึ้นมองนางด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ จัดการผ้าห่มหนาขึ้นคลุมเรือนกายอรชรให้มิดชิดด้วยการคาบกัด ทว่ายังคงชื่นชมสภาพน่าอดสูของนาง
งานดูแลนางทั้งหมดทั้งมวลก็ทำในร่างงู ขยับเลื้อยไปมาเพื่อขยับสิ่งของ ทั้งที่ระดับเทพผู้ทรงพลังจะใช้เวทหยินในร่างนี้เพื่อดูแลนางก็ย่อมได้ เทพอู่เฉินกลับเอาใจใส่นาง งดใช้เวทเซียนของท่านทุกอย่างหากมิใช่เพื่อจำแลงกาย นั่นก็ยังไปทำให้ไกลนางเพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องสัมผัสไอเวทหยินแม้แต่น้อย
ธาตุในร่างกายของนางยังแปรปรวน ทั้งหยินและหยางไม่สมดุล จนกว่าจะกลับมาหายดีแล้วนางคงใช้สัมผัสเวทไม่ได้สักอย่าง ไปสักระยะหนึ่ง
“ดู ๆ ไปแล้ว... เจ้าในยามป่วยไข้ช่างงดงามนัก ยิ่งเสียกว่าพัดสีทอง น้ำเต้าวิเศษ กระจกหยินหยาง ข้าว่ามีสิ่งของหลายอย่างที่ข้าโปรดปราน ข้ามีของหายากอีกหลายชิ้น การที่เจ้าผ่ายผอมไปสักหน่อย ไม่ใช่ปัญหา...”
เสียงของบุรุษเทพดังก้องในห้องสี่เหลี่ยม ประตูหน้าต่างเปิดกว้างให้ลมพัดผ่าน งูสีนิลสนิทเลื้อยคลานมากระซิบอยู่ข้างหูของนาง
“...อย่างไรเสีย ข้าขอให้เจ้าเข้าใจว่าข้าไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการที่เจ้าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง หาใช่สตรีของข้าแต่อย่างใด”
แล้วเหตุใดท่านต้องเอาอกเอาใจนาง ขนาดใต้เท้าจีกงและนางฟางเหนียงเอ่ยปากตำหนิว่าบุรุษไม่ควรอยู่ในห้องนอนตามลำพังกับสตรีซึ่งมิใช่ภริยาของตน และอาเป้ยมิใช่สมบัติธรรมดา นางมีใบหน้าอันงดงามมากพอจะทำให้ท่านกลายเป็นข่าวฉาวในเทวโลกได้ เทพอู่เฉินก็หาได้ฟังผู้ใหญ่ จำแลงกายเป็นอสรพิษ เปิดประตูหน้าต่างทุกบานอย่างเปิดเผย คอยเฝ้านางอย่างไม่ให้คลาดสายตา จะมีเพียงเวลาที่สตรีทั้งสองเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางเท่านั้น เทพอู่เฉินถึงออกไปยืนรอด้านนอกในร่างบุรุษ
อาเป้ยคิดถึงบุรุษเทพปีศาจยามนี้ นางคิดว่าสมองของท่านน่าจะไม่ปรกติ
“ข้าว่าข้าคงจะเป็นสมบัติที่ท่านโปรดปรานมากที่สุด มากกว่าชิ้นใด ท่านจึงหวงแหนข้าถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงเข้าใจผิดไปว่าท่านเป็นบุรุษเทพประหลาด การกระทำของท่านจึงมักขัดแย้งกันเองอยู่เสมอ”
“เจ้าควรพักผ่อนให้มากกว่าพูดจาหยอกล้อกับข้า อาเป้ย ข้าไม่ใช่มิตรสหายของเจ้า”
นางกำลังยิ้ม! หัวเราะเทพอู่เฉินด้วยเสียงแหบแห้งของนางอย่างไม่มีผู้ใดหาญกล้ากระทำมันมาก่อน ดวงตาเรียวรีของนางราวจิ้งจอกเจ้าเล่ห์
จิ้งจอกไม่ว่าจะตระกูลไหน ล้วนมีนิสัยเช่นนางในเวลานี้
นางช่างทำตัวขวางหูขวางตา ทว่านำพาความรู้สึกชุ่มชื้นหัวใจอย่างน่าประหลาด เทพอู่เฉินนึกขัดหูขัดตานางนัก ทว่ายังคงจ้องมองดวงตากลมโต สดใสราวดอกไม้ผลิบานในสวนของทวยเทพ ในร่างอสรพิษ ชูคอตระหง่านอยู่ตรงหน้านาง
“ใช่แล้วล่ะ... เป็นบุญของข้ายิ่งนัก ได้เป็นสมบัติอันโปรดปรานของท่าน... เทพอู่เฉิน”