5-1 *****ดอกบัวสีทอง

1407 คำ
5 *****ดอกบัวสีทอง พยัคฆ์อัคคียอมบอกความจริงต่อเทพว่าต้องการหยกพันปีไปฟื้นฟูพลังกายของบุตรชายตัวน้อย ซึ่งเล่นซนไปสักหน่อยจึงถูกพิษของป๋ายเซี่ย ****สัตว์อสูรจำพวกปูยักษ์มีวิถีนักล่าที่แปลกประหลาด ไม่กลืนเหยื่อเข้าไปทว่าจะฝังคมเขี้ยวไว้ รอให้แผลเน่าและถูกพิษกัดกินเสียก่อน ให้เหยื่อดิ้นรนทรมาน ร่างกายขยับไม่ได้เมื่อไรค่อยกลับมาจัดการอีกครั้งหนึ่ง ปีศาจไม่ใช่ทุกเผ่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ปีศาจหลายตนนี้เป็นพวกเดียวกับพยัคฆ์อัคคี ส่วนอสูรปักษาซึ่งมาก่อกวนคราวก่อนนั้นต้องการหยกพันปีไปทำอะไรไม่รู้ได้ ถึงคราวนี้ไม่มาปรากฏตัวแต่คราวหน้าไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่ อาเป้ยเห็นสัจธรรมอีกข้อหนึ่งว่ามนุษย์มีการแบ่งแยกเป็นหลายชนเผ่า เหล่าปีศาจและอสูรก็เช่นกัน ถึงบนเทวโลกไม่วุ่นวายเท่าโลกมนุษย์ แสนจะวุ่นวายนัก ต่างฝ่ายสู้รบกันเพื่อสนองกิเลศตัณหาและอำนาจ อย่างเช่นท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินผู้ส่งเครื่องสังเวยมา ก็ปรารถนาต้องการบางอย่างจากเทพ ยังหวังให้ผู้คนเคารพสยบต่อท่าน ปีศาจอาจกินปีศาจด้วยกันเองเพื่อสูบพลังเวท ในขณะที่เทพล้วนฝักใฝ่การบำเพ็ญเพียร ปลีกวิเวกเพื่อสำเร็จผลเป็นเซียน ไม่ใคร่สนใจว่าผู้อื่นลำบากเดือดร้อนหรือไม่อย่างไร ใจนางอยากช่วยเหลือพยัคฆ์อัคคีตนนี้ นางเข้าใจความรักของแม่ว่ายิ่งใหญ่เพียงใด แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยปาก เสียง ๆ หนึ่งก็ดังก้องขึ้นทั่วฟ้า “ป๋ายเซี่ยเป็นปูอสูรตระกูลน้ำ หนึ่งในอสูรราตรี ยาถอนพิษอยู่ในเรือนเทพแห่งสายน้ำ” สายตาทุกคู่มองไปทางเทพในร่างอสรพิษกายายิ่งใหญ่คับฟ้า นัยน์ตาสีแดงฉาน มีไอควันสีดำสนิทรอบกายเทพ อันบ่งบอกว่าการจำศีลเสร็จสมบูรณ์ เทพอู่เฉินแปลงกายกลับร่างบุรุษสวมอาภรณ์สีดำ แตะปลายเท้าลงพื้นดินอย่างสง่างามน่าเกรงขาม “ท่านคงต้องรอเสียหน่อย ข้าจะไปนำดอกบัวสีทองในเรือนใต้เท้าจีกงมาแก้พิษให้ลูกชายท่าน” “ข้ารอไม่ได้” น้ำเสียงของพยัคฆ์อัคคีเต็มไปด้วยความก้าวร้าว ด้วยนิสัยอย่างพยัคฆ์ แม้ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่อักขระสีทองฝีมือของอาเป้ย ซึ่งนางมีสีหน้าไม่สดใสนัก เมื่อไม่สามารถปล่อยพยัคฆ์อัคคีให้เป็นอิสระ สัตว์อสูรตัวเล็กที่ซ่อนเร้นกายอยู่ในกระเป๋าเวทของมารดาผู้เหนื่อยล้าอ่อนกำลัง บริเวณข้างใต้ท้องพยัคฆ์ทำให้มันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ถนัด ในที่สุดก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ “ท่านต้องยอมลดศักดิ์ศรีลงหากต้องการความช่วยเหลือจากเทพ ตัวข้าไม่ได้โกหกท่านเรื่องหยกพันปี ข้าหาได้รู้ไม่ว่ามันอยู่ที่แห่งใดบนเกาะเทพอุดรนี้ แต่ถ้าท่านไม่อยากจะรอนาน ตามข้ามา...” ในน้ำเสียงเด็ดขาดราวคำสั่งประกาศิต อาเป้ยหน้าตาเบิกบานเพราะว่านางจะได้ไปชมดอกบัวสีทอง นางถูกหยุดเอาไว้ด้วยนัยน์ตาสีแดงฉานในบัดดล “เจ้าอยู่ที่นี่ อาเป้ย” อาเป้ยโวยวาย “โธ่! เทพอู่เฉิน ขอข้าไปด้วยซี ข้าเป็นผู้กระทำผิด หลอกลวงเหล่าปีศาจให้หัวเสียอยู่ตั้งหลายวันหลายคืน ข้าควรจะต้องไป” “ให้นางไปด้วยเถิดท่าน แล้ว... เชือกนี้อยู่ในมือนางด้วยกระมัง” นางล่ามพยัคฆ์อัคคีเหมือนเป็นสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น เทพแห่งสายน้ำคนพี่เห็นพ้องต้องกัน ตามมาสมทบ เหยียบลงบนพื้นดินแล้วจึงเร่งเร้า “รีบไปกันเถอะพวกท่าน ชักช้าไป จะไม่ทันการ” อาเป้ยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เพียงได้รับอนุญาตให้ติดตามไปเรือนเทพแห่งสายน้ำด้วย นางส่ายคอมองไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมิดไร้แสงดาว หนึ่งก้านธูปไม่สามารถใช้บอกเวลาในเทวโลก นางบอกไม่ได้ว่าเป็นยามจื่อหรือว่ายามโฉ่ว หนึ่งราตรีช่างแสนยาวนาน แต่บางวันนางรู้สึกว่ามันไม่นานนัก แสงอรุณก็ส่องหัวนางเสียแล้ว อาเป้ยกระชับเชือกสีทองในมือแน่น นั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อทรงตัวอย่างมั่นคง ในอุ้งมือหยาบของอสรพิษกายายิ่งใหญ่ผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพ พร้อมกันนั้น เสียงร้องแหลมเล็กของสัตว์อสูรตัวน้อย ฟังดูแล้วแสนเจ็บปวดทุกข์ทรมานทำให้นางก้มหน้าลงมองบริเวณใต้ท้องของมารดาพยัคฆ์ มันเอามือบังร่างตนไว้ ส่งเสียงคำรามเอ็ดลูกว่าไม่ให้ร้อง จากนั้นนางก็ไม่ได้ยินสุ้มเสียงใดอีก พวกมันต่างเงียบสนิทไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมา ด้วยความสงสารเวทนา นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าพยัคฆ์ตัวน้อย... อดทนอีกสักนิดเถิด ข้าเชื่อว่าเทพอู่เฉินต้องหาสักหนทางช่วยชีวิตเจ้าให้ได้” เทพอู่เฉินคอยเงี่ยหูฟังนางพูดคุยกับอสูรพยัคฆ์ ขณะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ที่ผ่านมาเทพอู่เฉินไม่เคยให้ความช่วยเหลือใด ๆ แก่ปีศาจหรืออสูร ยังนึกรังเกียจความอ่อนแอของตนยามเป็นปีศาจ และเขาไม่เคยนึกชื่นชอบปีศาจ กระนั้นยังไม่ใช่วิสัยของเทพอู่เฉิน จะยอมให้ผู้ใดใช้เขาเป็นพาหนะในการเดินทางไปไหน แม้กระทั่งการนำเครื่องสังเวยจากโลกมนุษย์เดินทางกลับมายังเทวโลก เขาไม่ใคร่สนใจว่ามนุษย์แสนอ่อนแอเหล่านั้นจะตายเพราะพิษจากคมเขี้ยวและน้ำลาย ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด เขาถึงได้โอนอ่อนยอมตามใจนาง วาดเท้ามังกรทั้งสามข้างที่เหลือ อีกหนึ่งนั้นให้เป็นที่นั่งพักพิงของนางและสองอสูร ฝ่าเท้ามังกรแห่งสวรรค์เยื้องย่างในเวหาดังวิหคยักษ์ ร่างสีดำทะมึนปกคลุมด้วยไอปีศาจทำให้การเดินทางผ่านสายลมแรงกรรโชก อุปสรรคจากแม่น้ำและเทือกเขาทอดยาว ไม่ใช่ปัญหาต่อเทพปีศาจ อย่าว่าแต่เทวโลกเลย การข้ามเขตในภพภูมิเดียวกันหรือคนละภพภูมิ เทพอู่เฉินไปไหนมาไหนได้โดยไม่ลำบากแม้แต่น้อย เขาเพียงเป็นเทพอยู่ติดเรือน ไม่ใคร่จะชอบการเดินทางนัก “เทพอู่เฉินท่านแข็งแกร่ง มีเมตตากรุณาถึงเพียงนี้ ท่านช่วยเหลือผู้ใดได้ท่านก็จะช่วย เชื่อข้าเถิดว่าท่านไม่ได้โกหกเรื่องที่ท่านจะต้อนรับปีศาจเช่นกัน ข้าไม่อยากให้พวกท่านทั้งหลายทะเลาะกัน ข้าจึงยินดีเอาหัวเป็นประกัน” “คำพูดของเจ้ามีความจริงแค่สองส่วน อีกแปดส่วนล้วนแล้วแต่เป็นคารม ระวังให้ดี สักวันศีรษะเจ้าจะกระเด็นจากบ่าเพราะปากของเจ้า” บุรุษเทพในร่างอสรพิษแลดูเกรี้ยวกราด นางพูดอะไร ก็จะเห็นเป็นตรงกันข้ามไปเสียหมด ทว่านางกลับเอาอกเอาใจท่านเทพเสียเหลือเกิน “ข้าเชื่อก็คือเชื่อ... ท่านเคยได้ยินไหมว่าเปลี่ยนความเชื่อมนุษย์นี้ยากกว่ายกภูเขาทั้งลูกเสียอีก” “ข้าเพิ่งจะเอ็ดเจ้า” “ข้าขอนับเป็นความหวังดี ใช่ว่าท่านอยากจะเอ็ดจะว่าข้าเสียเมื่อไร ท่านใจดีกับข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “และที่ท่านยอมช่วยเหลือพยัคฆาน้อยวันนี้ นับเป็นบุญกุศลของท่าน ข้าเชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา การทำความดี สิ่งดี ๆ จะย้อนกลับมา” อาเป้ยยิ้ม เงยหน้ามองเทพอู่เฉินในร่างสีดำทะมึนด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินคงไม่สบอารมณ์นางนัก ไม่หลงกลคารมนาง “เจ้าพูดจาได้ดี... ทั้งที่เพิ่งจะขังเทพผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เอาไว้ใต้ที่นอนในห้องใต้ดิน ห่อร่างข้าด้วยผ้าห่มเหม็นเน่าของเจ้า ทำให้ข้าในร่างครึ่งงูครึ่งบุรุษต้องติดอยู่ใต้เตียงถึงสองคืน” อาเป้ยเพิ่งนึกออกว่าลืมท่านเทพเอาไว้ หลังร่ายเวทอำพรางตาเปลี่ยนประตูให้กลายเป็นกำแพง ส่วนตัวนางนั่งน่ะหรือ เล่นหมากเซี่ยงฉี หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ ยังไปเที่ยวชมพรรณพฤกษาในป่ากับสองบุรุษเทพแห่งสายน้ำ!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม