ทันทีที่พสุธาสั่นไหวอย่างรุนแรง พื้นหญ้าชุ่มชื้นก็แยกตัวออกจากกันเป็นสองฝั่ง ผืนน้ำแบ่งเส้นระหว่างกลางจนเกิดเป็นชลธารสูงชัน ไอน้ำขนาดใหญ่ฟุ้งกระจายไปทั่ว อสรพิษสีดำพลันกระโจนกายหาสตรีกลางลำน้ำ ขดตัวเป็นวงกลมห่อหุ้มนางเอาไว้มิดชิด ไม่เห็นแม้ส่วนใดของร่างกายนาง
ทั้งสามตกลงไปในช่องของแม่น้ำซึ่งมวลน้ำทั้งหมดกลายเป็นน้ำแข็งคมกริบ ประหนึ่งฝูงใบมีดก่อตัวเป็นพายุพิโรธโกรธา พร้อมสังหารทุกสรรพสิ่งโดยรอบบริเวณให้แหลกเป็นผุยผง
เทพอู่เฉินรับรู้ได้ว่าตกลงมาลึกจนสุดก้นบึ้งของสายน้ำสีมรกต เมื่อพายุสงบลง จึงปล่อยสตรีและอสูรในพันธนาการให้เป็นอิสระ มองไปรอบ ๆ ถ้ำอับชื้นมืดสลัว มีหินย้อยจับตัวเป็นกลุ่มก้อนราวน้ำค้างแข็ง
“ข้าอุตส่าห์ตะโกนบอกเจ้าเป็นคนแรก เจ้ากลับร่ายเวทเกราะกำบังปกป้องเทพอู่เฉิน”
“ข้าก็ดึงเจ้าเข้ามาในอ้อมแขนของข้าแล้วไง”
“ดึงข้าลงมาตายพร้อมเจ้าเนี่ยนะ สู้ข้าหาทางเอาตัวรอดบนพื้นดินยังดีเสียกว่า เจ้านี่มันโง่เขลาแท้ ๆ อาเป้ย”
พยัคฆ์อัคคีในอ้อมแขนนางถกเถียงกับนาง อาเป้ยเงยหน้าขึ้นมองผืนน้ำกำลังปิดเส้นทางของมัน ในขณะที่บุรุษเทพในอาภรณ์สีดำเปียกปอนไปทั่วกาย ในฝั่งตรงกันข้ามนาง ทั้งช่วงแขนและลำคอมีรอยบาดจากน้ำแข็งคมกริบจนเลือดไหลซิบ แม้แค่ไม่ถึงชั่วพริบตาก่อนที่นางจะได้รับการห่อหุ้มกายไว้
อาเป้ยรู้ตัวว่านางพลาดอย่างใหญ่หลวง นางฟาดมือสาดแสงสีทอง เวทปกป้องแห่งสำนักเทียนหลง ใส่เทพซึ่งยืนอยู่บนพื้นดิน แทนที่จะสร้างเกราะกำบังให้ตัวเอง
“เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก ข้าเป็นเทพปีศาจผู้ทรงพลัง ข้าสามารถที่จะดูแลตัวของข้าเองได้”
“ข้าทำไปโดยสัญชาตญาณ หาได้รู้สึกตัวและมีสติแม้สักน้อย ข้าคงไม่สามารถรับปากท่านได้”
“เจ้าต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะใบหน้าอันงดงามของเจ้า ผิวกายนุ่มนวลของเจ้า หากว่ามันมีรอยแผลแม้สักเล็กน้อย ข้าจะเฉดหัวเจ้าออกไปนอนกลางป่า”
“ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่รับปาก ข้ายินดีนอนกลางป่า...”
อาเป้ยห่วงเทพอู่เฉินกว่าตัวนางเองเสียอีก นางไม่รู้ว่าเพราะอะไร จนสบเข้ากับนัยน์ตาสีแดงฉานที่หลุบมองลำคอของนาง เทพอู่เฉินยกมือขึ้นแตะบาดแผลเป็นทางยาวบริเวณลำคอนาง รักษาบาดแผลของนางอย่างนิ่มนวล จู่ ๆ นางก็พูดออกมา
“ข้าไม่รู้ว่าตัวข้าเป็นอะไร แต่ข้ามีความรู้สึกบางอย่างต่อท่าน ข้าไม่อยากให้ท่านบาดเจ็บแม้สักนิดเดียว ข้าจะไม่สบายใจ มิหนำซ้ำยามเทพอู่เฉินหมางเมินต่อข้า... ข้าเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน...”
“เป็นความรู้สึกเพียงชั่วครั้งชั่วยามของเจ้าอาเป้ย สักวันหนึ่งเจ้าก็จะลืมข้า ลืมเรื่องราวทุกอย่างนี้ไปจากความทรงจำ เพราะไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทพ หรือปีศาจ ต่างพบพานเพื่อจากลา”
เทพอู่เฉินเข้าใจสัจธรรม จึงพยายามห่างเหินเรื่องราวพวกนี้เสีย ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่ละวางมันลงได้ด้วยความเป็นเทพผู้เดียวดาย อยู่ลำพังมานานนับหลายพันปี ต่างจากนาง...
อาเป้ยเป็นมนุษย์ สตรี นางอายุเพียงสิบแปดปี
นับว่านางมาได้ไกลเกินความรับผิดชอบของนาง นางยังเฉลียวฉลาดกว่าผู้ใด
“ขอบคุณท่านที่รักษาบาดแผลให้ข้า ข้าขออภัยท่านด้วย การเล่นสนุกของข้าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่”
“เจ้าสร้างปัญหาได้เสมอ ข้าเชื่อว่าเจ้าเก่งฉกาจเรื่องพวกนี้ทีเดียว เจ้ากลับเรือนของข้าเมื่อไร ข้าจะขังเจ้ากับอสูรตนนี้ไว้”
เทพอู่เฉินกลับมาต่อว่านางแล้ว นางจึงกลับมามีรอยยิ้ม
“ข้าว่าเกล็ดของท่านคงเป็นใบมีดตามคำเล่าลือ ท่านจึงไม่มีแม้รอยขีดข่วน ท่านเจ็บหรือไม่?”
“ข้าผลัดเกล็ดได้สามครั้งต่อปี หากเพื่อเป็นอาวุธป้องกันตัวของปีศาจ ตอนนี้คงเหลืออีกเพียงสองเกล็ดเพราะมีผู้โง่เขลาไปเล่นสนุกกับหินพวกนั้น รู้ไหมว่าพวกเจ้าเกือบจะได้กลายเป็นอาหารปลา...”
ท้องนทีอันเงียบสงบกลายเป็นใบมีดคม ไอควันสีขาวเหล่านั้นหากสัมผัสเข้าอาจแหลกเป็นผุยผง กลายเป็นอาหารให้มัจฉากินอย่างเทพอู่เฉินว่า
อาเป้ยก้มลงมองพื้นหน้าสลด ยอมรับการรักษาและคำตำหนิจากเทพอู่เฉิน ใช่เพราะนางสร้างปัญหาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่านางทำให้ท่านบาดเจ็บ จิตใจของนางก็เจ็บปวดตามบาดแผลของท่านไปด้วย