4
*******แผนการของอาเป้ย
เทพอู่เฉินในร่างปีศาจมีช่วงเวลาจำศีลถึงสิบชั่วยามหรือมากกว่าแล้วแต่พลังเวทในกาย ซึ่งหลังจากลงไปรับเครื่องบรรณาการบนโลกมนุษย์ เดินทางข้ามภพภูมิกลับมาทำให้สูญเสียพลังไปมาก คงซ่อมแซมตนได้ไม่ดีนัก
เทพและปีศาจต่อสู้กันมาสองราตรีแล้ว
อาเป้ยเดินไปเดินมาอย่างระวังไม่ให้เป็นภาระผู้ใด นางหลบเข้าไปนอนบ้าง เอามือปิดหูปิดประตูห้องเงียบเชียบ
เสียงกระบี่ดังกระทบกัน พื้นดินแตกหักเป็นเศษเป็นชิ้น เสียงตะโกนบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด แสง สี เสียงทอดดังเป็นระยะ ต่างฝ่ายยังทะเลาะกันไม่จบสิ้น โดยไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกรา
ท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ไหว จึงลองเดินหาห้องพักจำศีลของเทพอู่เฉินดูว่าอยู่ที่ใด
ห้องพักของเทพอู่เฉินหาไม่ยากนัก อยู่ถัดจากลานกว้างที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางคิดว่าท่านเทพคงไม่กลัวเกรงในสิ่งใดเลยจำศีลอย่างโจ่งแจ้ง ก่อนจะเห็นว่ามีเทพฝั่งสายน้ำมาสมทบ สองตนเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ดูมีภูมิฐานดี อีกสี่ตนคงเป็นลูกสมุน
นางเคาะประตูห้อง ส่งเสียงเรียกเบา ๆ อย่างมีมารยาทก่อนเข้าไป
ห้องกว้างขวางมีโต๊ะมุกตั้งอยู่ตรงกลาง นางมองไม่เห็นเจ้าของห้องแต่พอเดินไปหยุดยืนข้างเตียงสีดำสนิท นางเบิกตากว้างอย่างแปลกใจ
สภาพร่างกายของเทพหลงเหนียนผู้ยิ่งใหญ่ตามคำกล่าวอ้างของมนุษย์ บัดนี้ดูแทบไม่ได้
งูตัวใหญ่ยักษ์ร่างสูงเสียดฟ้ากลายเป็นงูตัวเล็กนิดเดียว เหมือนงูเขียวหลังกระท่อมซอมซ่อของนาง! เห็นว่านางจะตีตายไปหลายตัวแล้วนำซากศพมาประกอบอาหาร
“เจ้าถูกปีศาจรบกวนหรือยังไง จะมาหลบซ่อนตัวกับข้า เกรงว่าจะไม่เหมาะ”
นางส่ายหน้าไปมา ยกมือคารวะ “หามิได้เลยเทพอู่เฉิน สถานที่นี้เป็นของท่าน ข้ามิบังอาจ ข้าขออภัยที่ถือวิสาสะเข้ามา”
เทพอู่เฉินเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง ขณะขดตัวเป็นวงกลม ซุกหาไออุ่นอยู่หน้าเตาผิง
อาเป้ยรับรู้ได้ว่าท่านคงเสียหน้าพอประมาณ เมื่อนางก้มหน้าลงมองคราบที่เกาะติดอยู่บนร่าง จะหลุดก็มิหลุด แถมร่างสีดำทะมึนกลายเป็นสีใสมองทะลุผ่านเห็นองค์ประกอบข้างใน
ใสบางมากจนนางรู้สึกตกใจ เหตุใดท่านถึงกลายเป็นปีศาจอ่อนแอเพียงนี้
นางมิกล้าพูดออกไป ยกมือขึ้นสะบัดผ่านใบหน้าของนางครั้งหนึ่ง เพื่อทำความสะอาดห้องให้กลับมาเรียบร้อย เสกผ้าห่มผืนใหญ่ผืนหนึ่งเป็นผ้าห่มหนังสัตว์สีขาว
“เทพอู่เฉิน... ข้าขออนุญาตเสียมารยาท แต่ข้าเกรงว่าเรือนท่านจะไม่เหลือแม้ดอกไม้สักกลีบให้ชื่นชม เทพแห่งสายน้ำก็มีแต่จะเสียพลังเวท เสียแรงเปล่าหากยังดันทุรังต่อสู้กันไปไม่จบสิ้น ครั้งนี้ข้าขอร้อง... ช่วยทำตามแผนการของข้าทีเถิด”
เทพอู่เฉินอ่อนน้อมถ่อมตนกว่าที่นางคิด ในยามอ่อนแอท่านไม่หยิ่งทระนงตนแม้แต่น้อย ยังยอมทำตามแผนการของนาง
นางเดินเลี่ยงออกมานั่งบนสะพานไม้ คอยหลบการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายโดยไม่ตอบโต้ เอี้ยวตัวไปทางซ้ายทีขวาที กระโดดขึ้นกลางอากาศแล้วนั่งลงอย่างเดิม เด็ดลูกท้อมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย กว่าจะมีคนสนใจนางก็เล่นเอาเหนื่อย
ปีศาจพยัคฆาในร่างงดงามสีขาวสะอาดล้อมด้วยลูกไฟหันมามองนาง นางจึงได้ทีพูด
“พวกท่านจะสู้กันเพื่ออะไร? ข้าไม่เข้าใจ พวกท่านไม่เหน็ดเหนื่อยกันเลยหรือยังไง”
“ส่งหยกพันปีมาให้ข้า เทพอู่เฉินจำศีลอยู่ ข้ารู้ดี ออกมา...”
“เทพอู่เฉินขอตัวลาไปได้สักพักหนึ่งแล้ว ฝากข้ามาบอกพวกท่านด้วยว่าจะไปจำศีลในอ้อมอกท่านแม่ เพราะว่าท่านรำคาญหู เสียงพวกท่านเอะอะโวยวายอยู่ตลอด”
“เจ้าโกหกข้า! เทพอู่เฉินจะต้องอยู่เฝ้าสมบัติล้ำค่าเยี่ยงหยกพันปี...”
“ท่านไม่เชื่อข้าก็ลองไปค้นหาในเรือนท่านดูซี ท่านอู่เฉินอนุญาตให้พวกท่านเข้าไปชมเรือนได้ในฐานะแขก เทพอู่เฉินได้แจ้งกับข้าว่าท่านต้อนรับเทพได้ ย่อมต้อนรับปีศาจได้เช่นกัน...”
ฟังไม่เข้าท่าเลยสักนิด! คราวนี้ปีศาจทุกตนมองนางเป็นตาเดียว พวกเขาแลดูเกรี้ยวกราด เคียดแค้นชิงชัง ทว่ากลับคาดหวังในสิ่งที่นางพูด
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร เจ้าเอาอะไรมาพูด เทพอู่เฉินฝักใฝ่ฝ่ายเทพมากี่พันปี”
“เทพอู่เฉินเองก็เป็นครึ่งปีศาจ พวกท่านไม่ยอมเปิดใจฟังต่างหากเล่า เอาเถอะ พวกท่านไม่เชื่อข้า เชิญประลองฝีมือกันต่อตามอัธยาศัย... แต่เอ๊ะ! ท่านปีศาจ ท่านว่ามาหาเทพอู่เฉินมิใช่หรือ สู้ไปถามท่านให้รู้เรื่องรู้ราวว่าหยกพันปีอยู่ที่ใด หรือจะไปตามหาท่านแม่ของเทพอู่เฉิน ลองถามนางดูว่าบุตรชายอยู่ที่ใด”
อาเป้ยยั่วโทสะทั้งเทพและปีศาจได้ถูกจุด นางเฟยอี๋ไม่ใช่ปีศาจใจดี หากมีผู้ใดไปถามหาบุตรชายเพื่อทำร้ายแล้วละก็ ต่อให้เป็นพวกเดียวกันเองนางพร้อมจะกลืนปีศาจตนนั้นลงท้องด้วย
เทพแห่งสายน้ำผู้สูงศักดิ์เห็นจะทนฝีปากนางไม่ไหวจึงก้าวเข้าใกล้ ๆ นาง
“แม่นางอย่ายุ่มย่ามเรื่องของเทพจะดีกว่า และเจ้าเป็นสตรี การใดไม่ควร ก็เงียบเสีย”
นางยิ้มแล้วจึงพูด “ข้าขออภัย แต่อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องการมีมารยาท หากผู้ใดถามคำถามข้า ข้าควรต้องตอบให้ชัดเจนเท่าที่ข้าทราบ แถมตัวข้ายังมิใช่สตรี มิใช่ภรรยาของผู้ใด ข้าอยู่เยี่ยงบุรุษมาทั้งชีวิต บนโลกมนุษย์ข้ามีป้ายชื่อเด็กชาย เป็นข้ารับใช้นักพรต ตัวข้าไม่เคยมีแม้โอกาสจะได้ปักปิ่นผมเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำ”
นางยังอวดป้ายชื่อบุรุษของนางว่าอาเป้ย ซึ่งมีสีแตกต่างไปตามแคว้นที่อาศัยให้เทพดูเสียด้วย ทว่าเหล่าเทพคงไม่ได้สนใจ ถือโอกาสพักเอาแรงระหว่างทุกคนหันมาสนใจนาง
ในเมื่อนางเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีผู้ใดชิงชังนาง อย่างมากคงแค่รำคาญใจเท่านั้น อาเป้ยถีบขาทะยานขึ้นอากาศ เหยียบลงบนพื้นหินหน้าพยัคฆา
นางเกิดมีความคิดว่าสัตว์อสูรตนนี้เฉลียวฉลาดกว่าตนอื่น น่าจะพูดจารู้เรื่อง
“ข้าว่าท่านเอาเวลาไปตามหาหยกพันปีเสียดีกว่า ในเมื่อท่านอู่เฉินให้คำอนุญาตแล้ว ท่านบอกด้วยตัวท่านเองว่ามันอยู่บนเกาะเทพอุดรแห่งนี้ ยังฝากข้าเป็นธุระมา ทั้งเทพและปีศาจ เชิญตามอัธยาศัย” นางก้มศีรษะทำความเคารพทั้งสองฝั่งอย่างนักปราชญ์ ผู้มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายจึงสงบสติอารมณ์ลงเพราะคารมของนาง
“ข้าเอง... อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรจะทำ นึกอยากยลโฉมเจ้าหยกพันปีว่ามันจะงดงาม วิเศษถึงเพียงไหน พวกท่านถึงแย่งชิงเหลือเกิน ข้ามีความเห็นว่าหากผู้ใดเป็นฝ่ายเจอมันก่อน ค่อยประลองยุทธกันอีกครั้งหนึ่งว่าใครสมควรได้เป็นเจ้าของมันดีหรือไม่?”
นางพูดได้ดี! ในที่สุดก็สามารถเกลี้ยกล่อมปีศาจได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าฝั่งเทพจะไม่เห็นด้วยกับนางนัก แต่ไม่สามารถทำอะไรได้