บทที่4
“อี๋นั่ว เจ้าอยู่ไหน” เสียงใสตะโกนลั่น ไม่สนใจว่าตอนนี้อยู่ในเขตวัดงดใช้เสียงรบกวนแม้แต่น้อย
“เลี่ยงหลิง เจ้าตะโกนเช่นนี้มีหวังอี๋นั่วถูกหลวงพ่อทำโทษให้ออกไปรดน้ำผักกลางแดดอีกหรอก” แม่ชีเฟยหย่าเอ็ด
ร่างบางหันไปยู่ปากให้แม่ชี ก็นางดีใจที่ทำงานสำเร็จจนต้องรีบเอามาอวดสหายรัก
“มีอะไร มาถึงก็เสียงดังไปถึงอารามสงฆ์ฝั่งนู้น” โอวหยางเจิ้งหัวรีบสาวเท้ามาที่อารามชี ได้ยินเสียงนางดังไปถึงฝั่งนู้นหากหลวงพ่อมาได้ยิน คนที่จะถูกดุแน่นอนว่าเป็นเขาไม่ใช่นาง
“ข้าตัดชุดใหม่มาให้เจ้า นี่ไงเสร็จแล้ว ไหน ๆ ลองสวมดู” เลี่ยงหลิงฉุดข้อมือแกร่งให้เดินตามไปที่ใต้ร่มไม่ไกล หยิบถุงผ้าชุดใหม่ของอี๋นั่ว ไม่ลืมหยิบถุงขนมกุ้ยฮวาติดมือไปด้วย
ร่างแกร่งรับชุดใหม่มาลองสวมโดยไม่อิดออด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามีเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่ทุกเทศกาล โอวหยางเจิ้งหัวนึกว่านางคงเบื่อเขาในเวลาไม่นาน ผู้ใดจะไปคาดคิดว่านางจะอยู่ใกล้ ๆ เขามาเป็นเวลาถึงเจ็ดปีแล้ว จากเรียกคุณหนูกลายเป็นเรียกด้วยชื่อ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาเงี่ยหูเฝ้ารอเสียงเรียกของนางทุกวัน
“แบบนี้ดีแล้วหรือเจ้าคะ” หนิงอันมองตามสตรีและบุรุษที่นั่งหัวเราะต่อกระซิกกันเพียงลำพังที่ใต้ร่มไม้ ตอนที่พบอี๋นั่วครั้งแรก เขาตัวเล็กกว่าคุณหนูเลี่ยงหลิงเสียอีก ไม่คิดว่าพอเติบโตเป็นหนุ่ม รูปร่างจะสูงใหญ่ พอนั่งเคียงกับคุณหนูของนางแล้ว คุณหนูตัวเล็กลงไปถนัดตา ไม่ต้องนั่งใต้ร่มไม้เพื่ออาศัยบังเแดด ร่างของอี๋นั่วก็บังแสงแดดจนมิดแล้ว
“อะไรที่เรียกว่าดีหรือไม่ดี แค่ก ๆ “ แม่ชีเดินไปหยิบลูกประคำมาเตรียมจะสวดมนต์ช่วงบ่าย ไม่ลืมหยิบเสื้อคลุมตัวนอกมาสวมอีกชั้น อากาศเริ่มหนาวแม้ในช่วงบ่ายมีแสงแดดส่องแต่นางยังรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก
“ตอนนี้สองคนนั้นไม่ใช้เด็ก ๆ เช่นวันวานแล้ว คุณหนูก็เพิ่งจะเข้าพิธีปักปิ่นไป บุรุษและสตรีแตกต่างกันให้ใกล้ชิดกันเช่นนั้นใครเห็นจะนินทาเอาได้ อีกอย่างไม่ว่ามองมุมใดอี๋นั่วก็ไม่เหมาะกับคุณหนูเลย ไม่ว่าจะฐานะ รูปร่างหน้าตานั้นอีก”
หนิงอันมองไม่เห็นความเหมาะสมของทั้งสองคนที่จะเล่นกันเหมือนเด็ก ๆ อีกต่อไป อี๋นั่วแม้โตเป็นหนุ่มจะหน้าตาหล่อเหลา แต่รูปร่างที่กำหยำบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นชนใช้แรงงาน ไหนจะสีผิวที่ดำคล้ำ ยิ่งโตยิ่งสีเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ก็แน่ล่ะนอกจากอี๋นั่วจะปัดกวาด เช็ดถูอารามทุกหลังแล้ว ยังต้องช่วยพระและชี ปลูกข้าวปลูกผักเพื่อใช้บริโภคภายในอารามด้วยดีที่ทานเจกัน หากทานเนื้อสัตว์ด้วยคงได้เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ มีกลิ่นเหม็นติดตัวอีก แค่คิดหนิงอันก็ส่ายศีรษะไปมา
“เหมาะสมคืออะไร ฐานะทัดเทียมกันแล้วอย่างไร ข้าเคยรักบุรุษผู้หนึ่งผลักดันเขาจากองค์ชายปลายแถว จนกลายเป็นรัชทายาท แล้วเป็นอย่างไร วันหนึ่งพอข้าหมดประโยชน์เขาก็ไปเกาะที่พึ่งพิงใหม่” แม่ชีเฟยหย่ากระชับเสื้อคลุม “แม้เลี่ยงหลิงจะเป็นบุตรสาวของข้า ชะตากรรมของนางที่เป็นคนของตระกูลอัน แต่ข้าก็อยากให้นางได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ไม่ต้องอยู่เพื่อตระกูลไม่ต้องอยู่เพื่อผู้ใด ตราบใดที่คนผู้นั้นลืมว่านางเป็นบุตรสาวของเขาตามที่ได้รับปากกับข้าเอาไว้ เลี่ยงหลิงก็จะได้ใช้ชีวิตสงบสุขที่นี่”
“ข้ามองเห็นความจงรักภักดีจากดวงตาของอี๋นั่ว ไม่ว่าเลี่ยงหลิงจะมีประโยชน์กับเขาหรือไม่ ข้าเชื่อว่าอี๋นั่วจะไม่ทอดทิ้งนาง”
แม่ชีเฟยหย่า ยิ้มมุมปาก นางมองเด็กน้อยสองคนที่เติบโตเคียงข้างกันมาโดยตลอด ภาษากายของสองหนุ่มสาวบ่งบอกว่าเป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายมากมายเพียงใด สายตาที่มองกันก็อบอุ่น คงเป็นเพราะความใกล้ชิดและความผูกพันแม้อี๋นั่วจะเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่หลวงตารับเอาไว้ แต่แม่ชีเฟยหย่ามองเห็นความขยันและมุมานะของเขา ไม่ว่างานใดอี๋นั่วไม่เคยเกี่ยงงอน หากทั้งคู่รักกันนางก็ยินดีที่จะฝากบุตรสาวคนเดียวให้อี๋นั่วดูแล ฐานันดรไม่มีความหมายสำหรับคนที่เคยผ่านการถูกหักหลังมาเช่นนาง ความจงรักภักดีและรักมั่นต่างหากที่นางเชื่อ
“อีกอย่างอารามบนเขานี่มีแค่พระกับชี ใครจะมาสนใจเรื่องพวกนี้กัน แล้วเลี่ยงหลิงกับอี๋นั่วก็อยู่ในสายตาข้ากับเจ้าตลอดเวลา”
“เฮ้อ!” หนิงอันถอนหายใจ นางเป็นแค่แม่นมคอยดูแลเท่านั้น หากมารดาของคุณหนูไม่ห้ามปราม แล้วนางจะไปห้ามอะไรได้ คุณหนูเลี่ยงหลิงฟังผู้ใดเสียที่ไหน
“แค่ก ๆ”
“ข้าตามหมอในหมู่บ้านมาดูอาการดีไหมเจ้าคะ แม่ชีไอแบบนี้มาหลายวันแล้ว” หนิงอันหันมาตามเสียงไอ รีบเขี่ยถ่านในเตาผิงให้ไฟแรงขึ้น
“ไม่เป็นไรแค่อากาศเปลี่ยนแปลง ปีนี้บนเขาหนาวกว่าทุกปี อย่าลืมกำชับเลี่ยงหลิงให้ห่มผ้าหลาย ๆ ผืน ก่อนนอนจะได้ไม่ล้มป่วยอีกคน เดี๋ยวจะเดินขึ้นเขาไม่ไหว” แม่ชีเฟยหย่าบอกปัด แค่เป็นไข้หวัดลงคอ เดี๋ยวคงหาย ห่วงแค่เลี่ยงหลิงที่หากนางป่วยก็จะไม่สามารถเดินขึ้นเขามาได้ แม้จะบวชชีเข้าทางธรรมแล้ว แม่ชีเฟยหย่าก็ยังอยากเห็นหน้าเลี่ยงหลิงทุกวัน