พี่ชายให้เลือกรถสปอร์ตคันใหม่ได้ตามใจชอบ เท่าไหร่ก็ไม่ขัด ขอแค่ชอบพร้อมจ่าย โอลิเวียจึงแวะมาดูรถที่โชว์รูมรถนำเข้า เธอเดินดูรถคันแล้วคันเล่าจนมาหยุดที่รถสปอร์ตสีแดงสีโปรดตัวเองแล้วพนักงานขายที่เดินแนะนำเธอตลอดการเดินชมก็นำเสนอรถคันที่เธอสนใจอย่างละเอียด
“เอาคันนี้ค่ะ ซื้อเงินสดนะคะ ไปส่งให้ที่บ้านด้วยนะคะ” เธอบอกพนักงาน
“ขอบคุณมากๆ ครับคุณโอลิเวีย” พนักงานยกมือไหว้ขอบคุณแล้วขอตัวไปทำเอกสารและเชิญโอลิเวียไปรอที่ห้องรับรองก่อน
โอลิเวียเดินไปห้องรับรองลูกค้าของโชว์รูม แต่ยังไม่ทันได้ถึงห้องรับรอง ประตูห้องอะไรไม่รู้ที่อยู่ก่อนห้องรับรองก็ถูกเปิดผลักออกมาชนตนก่อน
โอ๊ย!
ปึก!
เธอยกมือขึ้นปิดจมูกตัวเองด้วยความเจ็บ เมื่อประตูกระจกกระแทกปลายจมูกโด่งๆ ของตน
“ขอโทษครับคุณลูกค้า” คนที่เปิดประตูออกมาด้วยความเร่งรีบรีบยกมือไหว้ขอโทษลูกค้า
“ไม่เป็นไรค่ะ” โอลิเวียตอบพร้อมกับกุมจมูกตัวเองแล้วเงยหน้ามองร่างสูงตรงหน้า
“โอลิเวีย!”
“พี่โอบ”
ต่างฝ่ายต่างเรียกชื่อกันด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอกัน โดยเฉพาะโอลิเวียไม่คิดว่าพูดถึงอีกฝ่ายไปไม่นานมานี้จะได้มาเจอที่นี่ วันนี้
“เข้ามาในห้องทำงานพี่ก่อน เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำแข็งมาประคบให้” โอบประคองรุ่นน้องสาวลูกครึ่งคนสวยเข้าไปนั่งในห้องทำงานตัวเอง แล้วก็รีบเดินออกไปสั่งพนักงานให้นำน้ำแข็งห่อผ้ามาให้ตน
โอลิเวียนั่งรอไม่นาน โอบก็เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมห่อผ้าขาวในมือ คาดว่าในห่อผ้าคงเป็นน้ำแข็งที่เขาบอก ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้างตนบนโซฟาตัวยาวตัวเดียวกัน โอลิเวียขยับถอยห่างเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายขยับใกล้ชิดตน
“โอลิเวียประคบเองได้ค่ะพี่โอบ” เธอยื่นมือออกไปรับห่อผ้าขาวมา
“ครับ” แล้วโอบก็ยื่นห่อผ้าขาวที่ห่อน้ำแข็งก้อนให้สาวเจ้าประคบจมูกที่บวมแดงเพราะตน
“พี่ขอโทษนะเมื่อกี้ที่เปิดประตูไม่ระวัง”
“ไม่เป็นไรค่ะ โอลิเวียเองก็ไม่ระวัง ว่าแต่พี่โอบทำงานที่นี่เหรอคะ” เธอถามเขา
“เพิ่งมาได้สามเดือนน่ะ ว่าแต่เรามาซื้อรถเหรอ”
“ค่ะ มาซื้อรถ พอดีพี่ชายซื้อให้เป็นของขวัญค่ะ”
โอบพยักหน้ารับรู้หลังฟังจบ ทำไมจะไม่รู้ว่าพี่ชายของโอลิเวียเป็นใครและร่ำรวยแค่ไหน
“แล้วเลือกได้รึยังฮึ”
“เลือกได้แล้วค่ะ กำลังรอพนักงานนำเอกสารมาให้ค่ะ”
“เดี๋ยวรอในนี้แหละ พี่จะให้เขาเอาเข้ามาให้ในห้อง”
“พี่โอบเป็นผู้จัดการเหรอคะ”
“เป็นเจ้าของน่ะ พ่อเพิ่งยกให้หลังจากเรียนจบกลับมาน่ะ”
“ฮะ! พี่โอบเป็นเจ้าของโชว์รูมนี้” ไม่อยากเชื่อ ไม่คิดว่ารุ่นพี่จะเป็นถึงทายาทเจ้าของโชว์รูมรถ เพราะสมัยเรียนเขาไม่เคยโอ้อวดฐานะสักครั้ง ไปเรียนก็นั่งรถเมล์ แถมพักหอพักราคาถูกหารกับเพื่อนอีกต่างหาก
“อะไรกัน ไม่เชื่อเหรอ แต่ก็เข้าใจแหละ สมัยเรียนพี่ก็ทำตัวจน”
“ไม่เชื่อจริงๆ ค่ะ ว่าพี่โอบจะเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง”
หึ!
โอบแค่นขำในคอ
“ขอโทษนะคะพี่โอบที่ดูถูก”
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เราเถอะทำงานที่ไหน หรือช่วยงานที่บริษัทของที่บ้านตอนนี้”
“โอลิเวียไม่ชอบหรอกค่ะงานบริหาร”
“แล้วเรียนบริหารทำไม”
“ที่บ้านบังคับค่ะ พอเรียนจบโอลิเวียก็มาเรียนทำขนม ตอนนี้เปิดร้านเบเกอรี่ขายส่งตามร้านคาเฟ่หลายแห่งในกรุงเทพค่ะ เป็นร้านขนาดกลางค่ะ”
“เก่ง อายุแค่นี้เป็นเจ้าของกิจการแล้ว”
“ทุนพ่อกับแม่ให้ทั้งนั้นค่ะ ไม่เก่งอะไรหรอกพี่โอบ”
“พี่ก็ไม่ต่างกัน ถ้าไม่มีครอบครัวก็ไม่ได้มาทำงานในห้องสบายแบบนี้หรอก ว่าแต่เสร็จจากนี้ไปไหนไหม ไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหม” โอบเชิญสาวเจ้าเพื่อที่อนาคตจะได้ติดต่อกันบ่อยๆ
“เอ่อ...วันนี้ไม่สะดวกค่ะพี่โอบ งั้นเราแลกเบอร์แลกไลน์กันนะคะ ค่อยนัดกันวันหลัง โอลิเวียจะชวนปิ่นปักไปด้วยค่ะ พี่โอบจำได้ไหมคะ”
อือ!
โอบพยักหน้าครุ่นคิดและจำได้ว่าสาวลูกครึ่งมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งและก็สวยน่ารักเช่นกัน แต่เขาไม่ได้สนใจเท่าคนที่นั่งด้วยตอนนี้
ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าจะติดต่อเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันเพื่อจะขอช่องทางติดต่อรุ่นพี่ แต่ตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว แถมดันมาเจอวันนี้ โอลิเวียเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เจอรุ่นพี่ หนุ่มเสน่ห์แรงสุดฮอตของคณะ เมื่อตอนสมัยเรียนเคยคุยกันไม่กี่ครั้ง ด้วยเขาเป็นคนฮอตของคณะจึงมีสาวๆ ที่เข้าหาเยอะ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“สงสัยพนักงานทำเอกสารเสร็จแล้วน่ะ เข้ามา” โอบเอ่ยจบ ประตูห้องก็ถูกเปิด
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายออกไปดูแลลูกค้าคนอื่นเถอะ ค่าคอมเป็นของนายเหมือนเดิม” โอบลุกเดินไปรับเอกสารจากพนักงานขายพร้อมบอกให้อีกฝ่ายสบายใจ
“ครับ คุณโอบ” แล้วพนักงานก็จากไปพร้อมประตูห้องปิดสนิทเหมือนเดิม
โอบเดินมานั่งที่เดิมพร้อมเอกสารในมือ เขาเปิดดูรายละเอียด
“พี่ชายซื้อให้ค่ะ ลำพังตัวเองซื้อไม่ได้หรอกค่ะราคานี้” โอลิเวียเอ่ยเมื่อเห็นเขาอ่านรายละเอียดบนเอกสาร
“ครับ เดี๋ยวพี่จะขับไปส่งที่บ้านให้เอง ประมาณวันศุกร์นะครับ”
“พี่โอบให้คนอื่นไปส่งก็ได้ค่ะ”
“ได้ยังไง พี่จะไปส่งให้โอลิเวียเอง อีกอย่างจะได้ถือโอกาสทักทายพ่อกับแม่ของโอลิเวียด้วย”
“คือ...”
“ตามนี้นะ” โอบรีบแทรกด้วยกลัวว่าสาวเจ้าจะปฏิเสธ
อือ!
แล้วเธอก็ต้องรับปากอย่างเลี่ยงไม่ได้
โอบส่งเอกสารปากกาให้สาวเจ้าเซ็น ระหว่างรอเธออ่านทวนและเซ็นเอกสารนั้นเขาก็มองดูเธอตลอดแล้วก็ยิ้มกริ่ม โอลิเวียยังคงสวยสะดุดตาเหมือนครั้งแรกที่เจอที่มหาวิทยาลัย
โอลิเวียรู้สึกแปลกๆ จึงเงยหน้าจากเอกสารในมือแล้วก็สบตาสีเข้มของรุ่นพี่ แล้วก็รีบหลบสายตาของเขา เธอรู้สึกว่าเขามองเธอแปลกๆ ยังไงไม่รู้ มันทำให้ใจของสาวเจ้าเต้นแรงผิดจังหวะ
ลูคัสมองดูมื้อเที่ยงของตัวเองที่ถูกเตรียมโดยภรรยาสาวคนสวยเหมือนทุกวัน แต่วันนี้ปิ่นปักอยู่ในตำแหน่งภรรยาด้วยไม่ใช่แค่เลขา
“แล้วของเราล่ะปิ่นปัก”
“ไม่มีค่ะ ปกติเวลาไม่มีนัดข้างนอก ดิฉันก็เตรียมให้ท่านประธานทานคนเดียวในห้องทำงานอยู่แล้วนี่คะ”
“ปิ่นปักทำไมต้องให้พี่บอกทุกครั้งด้วยว่าเราอยู่กันสองคนไม่จำเป็นต้องพูดจาห่างเหินกันแบบนี้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ต้องพูดให้ชินปาก ขอตัวนะคะท่านประธาน”
“ไปสั่งข้าวแล้วมาทานกับพี่เดี๋ยวนี้! นี่เป็นคำสั่ง! หรือจะทานกับพี่ก็ได้ นั่งลง” ลูคัสสั่งเสียงเข้ม
ปิ่นปักเม้มปากแน่นแล้วไม่ตอบ เธอเดินจากไปไม่สนใจคำสั่ง
“ให้มันได้อย่างงี้สิเมียกู!” แล้วลูคัสก็ลุกจากโซฟาที่นั่งเดินสาวเท้าเร็วๆ ตามร่างเล็กไปที่กำลังจะยกมือขึ้นเปิดประตู
ว้าย!
“ทำอะไรคะพี่ลูคัส!”
เธอตกใจ ไม่คิดว่าคนตัวโตจะลุกเดินตามตนมากระชากจากด้านหลังแบบนี้
“ไปกินข้าวกับพี่ พี่ไม่ชอบกินข้าวคนเดียว”
“ก่อนหน้านี้ก็กินคนเดียวนี่คะ”
“นั่นมันก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ปิ่นปักเป็นเมียพี่”
“พูดอะไรของพี่คะ พี่ลูคัสก็รู้ว่าเราจดทะเบียนสมรสกันในนามเท่านั้น ในสัญญาก็บอกว่าจะไม่แตะต้องเนื้อตัวกัน ให้อิสระแก่กัน แต่สิ่งที่พี่ลูคัสทำตอนนี้กำลังล้ำเส้นของปิ่นปักนะคะ พี่กำลังละเมิดสัญญาของเรา” เธอบิดข้อมือออกจากมือหนา แต่เขาก็กำบีบแน่นจนเจ็บ
“ปล่อยสิคะพี่ลูคัส ปิ่นปักเจ็บ!”
“กลับไปนั่งทานข้าวกับพี่เดี๋ยวนี้ แล้วพี่จะปล่อย” ลูคัสสั่งเสียงแข็งพร้อมดึงลากร่างเล็กให้เดินตามตนกลับไปนั่งยังโซฟา
“พี่กำลังทำผิดสัญญาของเรานะคะ”
“ช่างสัญญาสิ! ปิ่นปักเป็นของพี่ พี่จะทำอะไรกับเราก็ได้”
“หมายความว่ายังไงคะ พี่ลูคัสจะไม่ทำตามสัญญางั้นเหรอ แล้วที่จะบริจาคอสุจิให้ปิ่นปักก็จะไม่ทำใช่ไหมคะ”
“บริจาคแน่ จะบริจาคด้วยวิธีธรรมชาติเท่านั้น”
“หมายความว่าพี่โกหกปิ่นปัก หลอกลวงปิ่นปัก”
“พี่ไม่ได้หลอกลวงสักหน่อย กินข้าวได้แล้ว ผอมแห้งแบบนี้จะอุ้มท้องลูกของพี่ได้ยังไงกัน” แล้วเขาก็ดึงเธอขึ้นมานั่งบนตักหนาของตัวเอง แขนหนึ่งข้างโอบกอดเอวเล็กคอดรั้งไว้ไม่ให้ลุกหนีจากตักตน อีกมือก็จับช้อนเพื่อจะตักข้าวในกล่องป้อนปิ่นปักคำ ตัวเองคำสลับกันด้วยช้อนคันเดียวกัน
“อ้าปาก! พี่จะป้อนข้าวเที่ยง”
“คนเหลือทน!” แล้วเธอก็จนใจจะหนีจากตักหนาเมื่อเขากอดแน่น ทำได้แค่ยอมนั่งบนตักหนาของประธานจอมเผด็จการให้เขาป้อนมื้อเที่ยงตน
“ว่าง่ายๆ กับพี่สักวันเถอะปิ่นปัก อีกอย่างตอนนี้เราก็อยู่กันสองคน ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นการเป็นงาน” ลูคัสอมยิ้มน้อยๆ เมื่อคนตัวเล็กบนตักนั่งนิ่งและยอมอ้าปากรับคำข้าวที่ตนป้อน
“ปิ่นปักจะหย่า” เธอกลืนข้าวคำแรกแล้วก็เอ่ย
“เราเพิ่งจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวานจะรีบหย่าไปไหนล่ะ สัญญาไว้สองปีเชียวนะ”
“ใช่ แต่ปิ่นปักไม่ยอมเป็นนางบำเรอให้พี่แน่นอน”
“ปิ่นปักเป็นเมีย จะเป็นนางบำเรอได้ยังไงกัน ปิ่นปักไม่ใช่ผู้หญิงที่เลาจน์นะ พี่ถึงจะเห็นเป็นของเล่น”
“คนลวง! ปิ่นปักเกลียด ได้ยินไหมว่าเกลียด”
“จะพูดเสียงดังทำไมกัน อยู่กันแค่สองคนเอง รีบกินข้าวเถอะ คืนนี้ต้องเข้าหอนะ”
“ใครจะเข้าหอกับพี่มิทราบ”
“ก็ปิ่นปักไง ถ้าไม่เข้าหอจะท้องได้ยังไง ปิ่นปักอยากมีลูกไม่ใช่เหรอ อยากมีลูกก็ต้องนอนกับพี่ มี ‘เซ็กซ์’ กับพี่สิถึงจะท้อง นอนจับมือกันมันไม่ท้องหรอกนะ”
“คนสกปรก!”
ลูคัสรู้ความหมายของเลขาพ่วงตำแหน่งภรรยาบนตักว่าหมายถึงอะไร เขาได้แต่ยิ้มกริ่มยอมรับ เพราะเขาเองก็ไม่ได้สะอาดสะอ้านอะไร ไม่ต่างอะไรจากผู้ชายทั่วไปที่มีความต้องการเรื่องทางเพศ แต่ต่างจากคนทั่วไปคือเขาค่อนข้างเสพติดเรื่อง ‘เซ็กซ์’ เป็นพิเศษ เพราะมันคือความผ่อนคลายอย่างหนึ่งหลังจากทำงานหนักๆ มาทั้งวัน
“สบายใจได้ ไม่มีโรคมาติดแน่นอน อีกอย่างสองปีในสัญญาที่เราทำข้อตกลงกัน พี่จะไม่แตะต้องผู้หญิงคนไหนนอกจากปิ่นปัก”
“ใครต้องการกัน ปิ่นปักไม่ได้ต้องการพี่ลูคัส ปิ่นปักต้องการแค่น้ำอสุจิเท่านั้น”
“พี่จะให้ แต่จะให้วิธีธรรมชาติเท่านั้น ไม่ยอมให้ปิ่นปักทำกิฟต์แน่นอน เลิกฝันไปเถอะ”
“คนหลอกลวง!”
หึ!
“พี่แค่พูดไม่หมดเท่านั้นเอง กินข้าวได้แล้ว ถ้าไม่อิ่ม พี่จะพาไปกินข้างนอก”
“ทำไมถึงบังคับปิ่นปักแบบนี้ ปิ่นปักไม่ชอบที่พี่ลูคัสเป็นแบบนี้”
“งั้นก็หัดชินไว้ซะ เพราะหลังจากนี้จะเจอพี่บังคับ ‘เอา’ บ่อยๆ” คำว่า ‘เอา’ ของลูคัสมันมีความหมายอีกอย่างซ่อนอยู่
“ถ้าพี่ทำแบบนี้ เราก็คงต้องจบกันแค่นี้ค่ะพี่ลูคัส พี่คงไม่เหมาะที่จะเป็นพ่อพันธุ์ให้ปิ่นปัก” เธอปัดช้อนข้าวที่จ่อที่ปากออกห่าง
“มาดูกันว่าจะกำจัดพี่ไปไหนได้ ในเมื่อทะเบียนสมรสก็จดเรียบร้อยแล้ว กินข้าว ถ้าดื้อ พี่จะป้อนเราด้วยปากของพี่ หรือจะให้ป้อนเลยฮะ”
“ดีแต่สั่ง!” แล้วเธอก็อ้าปากยอมทานข้าวที่เขาป้อนให้ตัวเอง แล้วเขาก็ตักทานเองด้วยช้อนคันเดียวกับที่ป้อนตน แบบนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการจูบปากทางอ้อม
เมื่อสาวเจ้าไม่ดื้อต่อต้าน เขาก็ยิ้มแล้วทำหน้าที่ป้อนคนบนตักคำและตัวเองคำสลับกันจนข้าวหมด จะว่าไปข้าวแค่นี้ไม่อิ่มหรอก แต่อิ่มอกอิ่มใจที่ได้ทานข้าวพร้อมกับปิ่นปักและทานช้อนเดียวกัน