2

1616 คำ
“ครูใหญ่มาถึงบ้านผมมีอะไรครับ” พันถามครูใหญ่อย่างนอบน้อม “ครูจะมาคุยเรื่องพลับพลึงหน่อย” “นางพลับพลึงมันไปทำความเดือดร้อนอะไรให้ใครเหรอครับ นางลูกคนนี้มันต้องตีเสียให้เข็ด” นายพันทำท่าจะตรงเข้าไปทุบตีบุตรสาว แต่ครูใหญ่สุภาพรีบดึงมือเด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมมไปซุกเอาไว้ทางด้านหลัง พลับพลึงกอดขาครูใหญ่แน่น หลบบิดาอย่างหวาดกลัว “ไม่ใช่หรอกนายพัน พลับพลึงไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน” เสียงดุๆ ของครูใหญ่ทำให้นายพันหยุดกึก “แล้วครูใหญ่มาหาผมถึงบ้านมีอะไรเหรอครับ” “พลับพลึงควรได้เรียนหนังสือนะนายพัน ยังเด็กอยู่เลยจะให้ออกมาทำงานงกๆ ได้ยังไงกัน” “ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะครับ หัดให้มันทำมาหากินตั้งแต่ตอนนี้โตขึ้นจะได้เลี้ยงตัวเองได้ ไม่เป็นภาระคนอื่น” เหตุผลของนายพันทำให้ครูใหญ่ถอนใจแรงๆ “เป็นเด็กก็ควรเรียนหนังสือ จะทำงานก็ทำได้แต่นอกเหนือจากเวลาเรียน นายพันเป็นพ่อก็ควรส่งเสียเลี้ยงดูลูก มันเป็นหน้าที่ที่พ่อควรทำ ไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียนรู้ไหมว่าผิดกฎหมายนะ” คำขู่ของครูใหญ่ทำให้พันชะงัก “ถ้ามันอยากเรียนก็ได้ครับ แต่มันก็ต้องทำงานด้วย บ้านผมยากจนออกอย่างนี้ ข้าวสารกรอกหม้อแทบไม่มี จะให้ส่งมันเรียนผมก็ไม่มีปัญญาหรอกครับ” “ก็ถ้าเลิกกินเหล้าหรือกินเหล้าให้น้อยลงก็คงมีเงินมากกว่านี้” ครูใหญ่ตอกกลับ พันไม่กล้าเถียงอะไรมากเพราะเกรงบารมีครูใหญ่อยู่มาก “เดี๋ยวครูจะช่วยเรื่องจัดหาทุนการศึกษาให้พลับพลึงเอง พลับพลึงเป็นเด็กหัวดีเรียนเก่ง ฟังแบบนี้แล้วนายพันจะว่ายังไงล่ะ” ครูใหญ่วกกลับมาเรื่องเรียนของเด็กน้อยอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอขอบคุณครูใหญ่มากครับ” นายพันยกมือขึ้นไหว้     พอรู้ว่าบุตรสาวจะได้ทุนการศึกษาก็หูผึ่งในทันที “งั้นฉันกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ให้พลับพลึงไปเรียนด้วยล่ะ” ครูใหญ่กำชับนายพันเป็นมั่นเหมาะ “ได้ครับ มันอยากไปเรียนก็ให้มันไปเรียนสิครับ ถ้าได้ทุนการศึกษาก็ดีไม่ต้องเป็นภาระผม” พันรีบเออออห่อหมกเดินไปส่งครูใหญ่ก่อนจะหันมาทำตาเขียวใส่บุตรสาว “มึงฟ้องครูใหญ่ใช่ไหมว่ากูไม่ให้ไปโรงเรียน” เสียงของบิดาทำให้เด็กน้อยสะดุ้งตัวสั่นเทา “หนูเปล่านะจ๊ะ” “มึงไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน” พันตะคอกบุตรสาวเสียงดัง “หนูจะทำงานหลังเลิกเรียนนะจ๊ะพ่อ” “ให้มันแน่ จริงๆ ก็ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เสียเงินเสียทองเปล่าๆ นี่ถ้าครูใหญ่ไม่บอกว่าให้ทุนการศึกษามึง กูก็ไม่ให้มึงเรียนหรอก ไปให้พ้นหน้ากูเลยไป เห็นแล้วรำคาญจริงเชียว” ได้ยินเสียงตวาดเช่นนั้นเด็กน้อยจึงรีบหนีขึ้นบ้านในทันที ร่างเล็กๆ ผอมบางเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ผุพัง เธอหยิบชุดนักเรียนเก่าๆ สีซีดออกมา เสื้อนักเรียนมีคราบเหลืองๆ เพราะผ่านการใช้งานมานานหลายปี เด็กน้อยจำได้ว่ามีคนบริจาคมาให้เมื่อหลายปีก่อน แม้เสื้อนักเรียนจะตัวใหญ่มากใส่แล้วดูตลกจนโดนเพื่อนล้อ แต่เธอก็ยังมีความสุขที่ได้ใส่มันไปโรงเรียนทุกวัน กระโปรงนั้นขาดมีรอยปะ เย็บเบี้ยวๆ เยๆ จากฝีมือของตัวเอง มันเก่าจนซีดและยับย่นเพราะที่บ้านไม่มีเตารีด พอซักผึ่งจนแห้ง เธอก็สะบัดไปมา ก่อนนำมาสวมใส่ไปเรียน เด็กน้อยพลับพลึงกอดชุดนักเรียนแนบอกด้วยความรัก เธอมีชุดนักเรียนแค่ชุดเดียวและรองเท้านักเรียนขาดๆ อีกหนึ่งคู่ มือเล็กๆ หยาบกร้านลูบเสื้อผ้าไปมาแล้วอมยิ้มตามประสาเด็ก ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้อย่างทะนุถนอม เธอเดินเข้าไปในครัวด้วยความหิว วันนี้ไม่มีกับข้าวแต่มีข้าวสารอยู่นิดหน่อยจึงจัดการก่อไฟกับไม้ฟื้นเพื่อต้มข้าวต้ม เสียงบิดาที่เมามายขึ้นมานอนโวยวายอยู่บนพื้นบ้านเก่าๆ ผุๆ แว่วเข้ามากระทบหู “นางแพศยา นางกากี มึงมันร่าน นางดอกทอง หนีตามชู้ไป ทิ้งกูกับลูกไป นางวันทองสองใจ มึงต้องไม่ตายดี” พันด่าทอภรรยาที่หนีหายไปไม่หยุดปาก ก่อนจะเงียบเสียงแล้วหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เรียกหาบุตรสาว “นางพลับพลึง มึงอยู่ไหนวะ ทำไมไม่มาดูแลกู อย่าให้เห็นนะว่ามึงแอบไปกินอะไรอร่อยๆ แล้วปล่อยให้กูอดนะ กูจะตีมึงให้หลังลายเลยคอยดู” คนเมาร้องโหวกเหวกโวยวายเสียงดังลั่นบ้าน เด็กน้อยตัวเล็กผอมบางเดินไปทรุดนั่งลงข้างๆ บิดาก่อนจะใช้ช้อนตักข้าวต้มร้อนๆ ขึ้นมาเป่าเบาๆ “พ่อกินข้าวนะจ๊ะ” คนได้ยินก็อ้าปากรับข้าวเข้าปาก กลิ่นเหล้าหึ่งไปทั่วบริเวณแต่เด็กน้อยชินเสียแล้ว พลับพลึงป้อนข้าวบิดาจนหมดก่อนจะเดินไปล้างชามตรงนอกชานเก่าๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ เธอมองข้าวต้มที่เหลืออยู่ก้นหม้อจึงตักมากินแก้หิวเนื่องจากรู้สึกแสบท้อง เด็กน้อยเดินไปหยิบผ้าห่มผืนเก่าที่มีคนบริจาคมาห่มให้บิดาก่อนจะนำมุ้งมากางให้ เธอต่อเก้าอี้ขึ้นไปแขวนมุ้งกับตัวบ้าน แล้วตัวเองก็ไปนอนขดอยู่อีกด้านหนึ่งของมุ้งที่กางให้บิดาเพราะมีมุ้งแค่หลังเดียว เสียงไก่ขันในตอนย่ำรุ่งปลุกให้พลับพลึงลุกขึ้นมาจากที่นอน เธอปรือตาขึ้นแล้วรีบลอดมุ้งออกมาเพื่ออาบน้ำอาบท่าเตรียมจะไปโรงเรียน บิดายังไม่ตื่น เด็กน้อยจึงรีบไปขุดเผือกกับมันมาต้มและใส่จานสังกะสีเก่าๆ ทิ้งเอาไว้ให้ท่าน คิดตื่นมาท่านอาจจะหิว เด็กน้อยรีบสวมใส่ชุดนักเรียนเก่าๆ ของตัวเองและวิ่งลงบันไดบ้านไปอย่างลิงโลด รอยยิ้มสดใสของเด็กน้อยกลับมาอีกครั้งเมื่อจะได้ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอีกครั้ง มือน้อยๆ กอดตำราเรียนเก่าๆ และสมุดแจกฟรีที่ทางโรงเรียนแจกให้เอาไว้แน่น เธอไม่มีกระเป๋าสวยๆ เหมือนคนอื่นแต่ขอให้ได้เรียนก็ดีใจแล้ว พลับพลึงวิ่งมาถึงโรงเรียนตอนเข้าแถวเตรียมตัวเคารพธงชาติพอดิบพอดี เด็กน้อยวิ่งกระหืดกระหอบมาต่อท้ายแถว เธอตัวเล็กที่สุดเลยไม่ค่อยมีใครมองเห็น พลับพลึงร้องเพลงชาติอย่างมีความสุข เดินเขาห้องเรียนด้วยรอยยิ้ม เพื่อนๆ ที่โรงเรียนคุยกันอย่างสนุกสนาน ชีวิตการเป็นนักเรียนทำให้พลับพลึงรู้สึกมีความสุขเพราะเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่ที่บ้านและมีบิดาคอยเฆี่ยนตี พอพักกลางวันก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน พลับพลึงเข้าไปยืนต่อแถวจากเด็กคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้มยินดี เด็กน้อยมองแกงผักบุ้งใส่ปลากระป๋องแล้วกลืนน้ำลายด้วยความหิว การมาโรงเรียนทำให้เด็กน้อยไม่ต้องอดข้าว พลับพลึงมองถาดอาหารตรงหน้าขณะวิ่งตามเพื่อนๆ ไปนั่งลงกินอย่างมีความสุข เธอตักกินอย่างเอร็ดร่อยน้ำตาไหลเพราะสุขจนไม่อยากกลับบ้าน หลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ คุณครูจะให้ไปยืนเข้าแถว พลับพลึงตัวเล็กที่สุดแต่เธอก็ไปยืนอยู่ท้ายแถว ถุงเท้าที่ใช้งานมานานหลายปีแทบไม่เกาะเท้า แถมยังขาดจนเห็นนิ้วเท้าเล็กๆ โผล่ออกมา กระโปรงตัวเก่าและเสื้อนักเรียนสีเหลืองเก่าๆ ทำให้ครูใหญ่สุภาพหยุดมองเด็กน้อยอย่างเวทนา “เด็กๆ แปรงฟันกันนะจ๊ะ” ทุกวันคุณครูจะให้แปรงฟันก่อนเข้าห้องเรียน หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จและเด็กๆ ได้วิ่งกันจนหมดเวลาพักแล้ว แปรงสีฟันอันเล็กๆ เก่าๆ ที่ครูสมศรีเคยซื้อให้ก่อนย้ายไปสอนที่อื่นถูกหยิบมาพร้อมแก้วน้ำพลาสติกเก่าๆ เด็กน้อยไปยืนเข้าแถวแปรงฟันใกล้ๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ มองแปรงสีฟันอันใหม่และแก้วน้ำสีสวยของเพื่อนร่วมชั้นอย่างอิจฉานิดๆ เธอพยายามทำตัวกลมกลืนกับคนอื่น แม้หลายครั้งจะโดนเพื่อนๆ ดูถูกก็ตามที หลังจากแปรงฟันเสร็จแล้วคุณครูก็ให้นักเรียนท่องสูตรคูณ พลับพลึงท่องอย่างแข่งขันเพราะเธอค่อนข้างเป็นเด็กหัวดี พอตกเย็นก็เข้าแถวเดินกลับบ้านตามนักเรียนคนอื่นๆ ไป บ้านของเธออยู่หลังสุดท้ายของหมู่บ้านจึงต้องเดินเท้านานกว่าเด็กๆ คนอื่น พอถึงบ้านเด็กน้อยก็รีบซักชุดนักเรียนของตัวเองเพื่อวันพรุ่งจะได้ใส่อีก บ้านของเธอมีลมโกรกเพราะไม่ไกลกันนักมีทะเล ลมตอนกลางคืนทำให้เสื้อผ้าของเด็กน้อยแห้งหมาดๆ พอใส่ไปโรงเรียนก็แห้งไปเอง พลับพลึงบิดชุดนักเรียนและถุงเท้าของตัวเองแรงๆ แล้วสะบัดเพื่อให้แห้งมากที่สุดก่อนตากเอาไว้ เธอรีบกวาดบ้านถูบ้านและหุงหาอาหาร วันนี้ไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ จึงรีบพาจอบวิ่งไปขุดมันสำปะหลังตรงชายป่า เพื่อเอามาต้มเป็นอาหารเย็น บิดาไม่อยู่เธอจึงไม่ได้ยินเสียงบ่น รู้ว่าท่านออกไปสังสรรค์ดื่มเหล้ากับเพื่อนๆ อีกเช่นเคย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม