“เอาจริงนะพวกแก ฉันว่าจะต่อโทเลยวะ ขี้เกียจทำงาน”
กลอยใจลูกสาวเจ้าของภัตตาคารอาหารชื่อดังพูดถึงเรื่องการวางแผนอนาคตตัวเองในอีกสองเดือนข้างหน้าจะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี
“อิจฉาว่ะ ฉันนะต้องร่อนใบสมัครงาน เรียนต่อแบบยัยกลอยไม่ได้เพราะมีภาระต้องส่งน้องชายเรียนมหา’ ลัย”
“เอาน่าแก เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีคำว่าสายไปสำหรับการเรียนรู้” กลอยใจพูดพลางโอบบ่าแก้วตา ในบรรดาเพื่อนสนิททั้งหมดมีเธอ ปรมัตถ์และคณานางที่ทางบ้านจัดว่ามีฐานะ “แล้วเหมยล่ะ จะเรียนต่อโทพร้อมกลอยมั้ย”
กลอยใจแอบหวังว่าคณานางจะศึกษาต่อระดับปริญญาโทเพราะอยากมีเพื่อน ส่วนปรมัตถ์ไม่ต้องถามถึง ครอบครัวชายหนุ่มวางแผนให้ตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยวันแรกแล้วว่าจบปริญญาตรีเมื่อไหร่ก็ไปเรียนต่อปริญญาโทหรืออาจจะต่อปริญญาเอกด้วยอีกใบที่ต่างประเทศ
จะเรียนต่อได้ยังไงในเมื่อยังมีคนข้างหลังให้ต้องดูแล “ไม่หรอกแก ฉันว่าจะทำงานเหมือนกัน” ตั้งแต่รู้วันจบการศึกษาที่แน่นอน เธอก็เริ่มสมัครงานทันที
“เสียดายว่ะ อย่างนี้ฉันก็ไม่มีเพื่อนเรียนน่ะสิ” กลอยใจบ่นอุบ
“ไม่มีเพื่อนก็หาแฟนมาเรียนด้วยแทนสิวะ” ปรมัตถ์ออกความเห็น
กลอยใจเหล่ตามองชายหนุ่ม “ฉันหาเพื่อนไม่ได้หาสามี ใครจะไปเหมือนแก เจอสาวที่ไหนก็เตาะเขาไปทั่ว”
“เฮ๊ย! ไม่เคยเว้ย” ปรมัตถ์พูดพลางชำเลืองมองคณานางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่หญิงสาวดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งที่เขาพูดเลยสักนิด ดวงตาคมจับจ้องเจ้าของใบหน้าหวาน “ฉันรักใครรักจริง ไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
เพื่อนทั้งกลุ่มต่างหันหน้ามองกัน ทุกคนต่างรู้ดีว่าปรมัตถ์แอบชอบคณานางตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หลานชายเจ้าของห้างสรรพสินค้ารั้งตำแหน่งผู้บริหารในอนาคตก็ไม่สมหวังเสียที
“เหมย แกไม่อยากไปเรียนต่อโทกับไอ้ปกเหรอ” แก้วตาเอ่ยถามคณานางทว่าสายตากลับชำเลืองมองปรมัตถ์
“ไอ้อยากก็อยากอยู่หรอกนะ แต่ติดที่ว่าตังค์ฉันมีไปถึงแค่หน้ามหา’ ลัยน่ะสิ”
เพื่อนทั้งกลุ่มหัวเราะกับประโยคที่เธอพูดออกไปเมื่อครู่ ทุกคนอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงมุกขำขัน แต่นี่แหละคือความเป็นจริงของชีวิตผู้หญิงที่ชื่อคณานาง
“บ้านแกรวยจะตาย แค่กระเป๋าแกใบเดียวก็เป็นแสนแล้วยัยเหมย” แก้วตาพูดพลางชี้ไปที่กระเป๋าแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาแพงลิบลิ่วเกินกว่าที่คนฐานะปานกลางอย่างเธอจะเอื้อมถึง
คณานางเหลือบมองกระเป๋าราคาหกหลักก่อนจะหันไปมองรถหรูที่อิชย์ซื้อให้ใช้แต่ไม่ได้โอนเป็นชื่อเธอ เขาบอกว่าเรียนจบมหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ ชายหนุ่มจะโอนรถและบ้านหลังที่เธออาศัยอยู่ปัจจุบันให้เป็นของขวัญ แต่ถ้าหากว่าเธอใจแตกเรียนไม่จบหรือคบชู้ระหว่างเรียน ทุกอย่างที่เคยมีเคยได้ อิชย์จะยึดคืนทั้งหมด
เรียวปากอิ่มยกยิ้มบางเบา ดวงตากลมโตหมองเศร้า “ฉันจะทำงานสักปีแล้วเรียนเนติฯ ต่อน่ะ”
“จริงสิ พวกเราจบนิติศาสตร์ แต่ไม่มีใครคิดจะเรียนเนติฯ ต่อเหมือนเหมยบ้างเหรอ” พาฝันที่นั่งเงียบฟังเพื่อนสนทนากันมานานพูดขึ้นบ้าง
“ฉันกับปกต่อบริหารเพราะมีกิจการของครอบครัวที่ต้องดูแลต่อ” กลอยใจหันไปหาแก้วตา “แล้วแกล่ะ คิดได้ยังว่าอยากทำงานอะไร”
“อืม.. สำนักงานกฎหมายแหละ ฉันเรียนนิติฯ ก็จริง แต่ไม่ได้อยากสอบเป็นท่านเพราะไม่อยากย้ายที่ทำงานบ่อย แล้วอีกอย่างนะ ฉันชอบเข้าสังคม จะให้ใช้ชีวิตแบบผู้พิพากษาหรืออัยการคงไม่ไหว”
ทุกคนบนโต๊ะต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของแก้วตา ยกเว้นเพียงคณานางเท่านั้น ทุกคนคิดว่าเธอมาจากตระกูลร่ำรวย เป็นลูกคุณหนู แต่ความจริงมันไม่ใช่ เธอเป็นเพียงลูกสาวตาสีตาสาที่ดันมีรูปเป็นทรัพย์ถูกตาต้องใจผู้ชายมีฐานะ จนเขาอุปการะส่งเสียเลี้ยงดูในฐานะ ‘เด็ก’ ก็เท่านั้น และการที่เธอจะหลุดพ้นจากจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ มีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้น คือต้องมีหน้าที่การงานและอาชีพที่มั่นคง แน่นอนว่าข้าราชการเป็นอาชีพที่ถูกมองไว้เป็นลำดับแรก
“สรุปคือพวกเราไม่มีใครเรียนหรือทำงานที่เดียวกันสักคนเลยใช่มั้ย” กลอยใจทำหน้าเซ็ง
“เอาน่า เดี๋ยวค่อยนัดรวมแก๊งก็ได้นี่นา ทำอย่างกับว่าจบแล้วจบเลย แยกทางกันไปตลอดกาล” พาฝันตบบ่าเพื่อน “แต่ก่อนที่จะดราม่า ฉันว่าพวกเราไปหาอะไรยัดปากประทังชีวิตกันดีกว่า”
คณานางเห็นด้วยกับพาฝัน “ฉันเองก็หิวจนตาลายแล้วเหมือนกัน แล้วจะกินอะไรดี”
“อยากกินปิ้งย่างกับวากิว ร้านอาหารเกาหลีที่มาเปิดใหม่ข้างมหา’ ลัยมั้ย ฉันแอบเห็นรีวิวว่าอร่อย” ปรมัตถ์เสนอ
“ปั่นรีวิวหรือเปล่าวะ”
ปรมัตถ์เหล่ตามองแก้วตาซึ่งได้รับฉายาว่าจอมขัดขวางประจำกลุ่ม “อยากรู้ว่าปั่นรีวิวหรือเปล่าก็ต้องไปลองสิ”
ร้านอาหารเกาหลีข้างมหาวิทยาลัยยามนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ด้วยว่าเป็นเวลาเที่ยงวันพอดี นักศึกษาทั้งห้าคนมองหาโต๊ะที่ยังว่าง
“ทำไมคนเยอะขนาดนี้วะ” กลอยใจเริ่มบ่นเมื่อมองไม่เห็นเค้าลางว่าจะได้นั่งรับประทานอาหารที่ร้านนี้
ทว่าโชคดีที่โต๊ะมุมอับลับสายตามีคนลุกขึ้นพอดี “นั่นไงพวกแก โต๊ะนู้นว่างแล้ว” คณานางชี้ไปที่โต๊ะตัวดังกล่าวพร้อมบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงปรีดา
ทั้งห้าคนไม่รีรออีกต่อไป กลอยใจเดินนำเพื่อนไปจับจองโต๊ะด้วยกลัวว่าหากชักช้าจะไม่ทันการ
“ถ้าไม่มีโต๊ะให้นั่ง ฉันคงร้องไห้อ้ะพวกแก” คนหิวจัดจนเริ่มตาลายพูดกับเพื่อนทั้งโต๊ะ
เวลานี้คณานางแทบอ่านเมนูอาหารบนแผ่นกระดาษไม่รู้เรื่อง เธอหิวจนไส้แทบขาดด้วยว่าเมื่อเช้าหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารพร้อมอิชย์ เธอไม่อยากเจอหน้าเขา แม้จะอยู่ในสถานะเมียเก็บหรือเด็กที่ชายหนุ่มเลี้ยงไว้ปลดปล่อย แต่เธอเป็นคนไม่ใช่หุ่นยนต์จะได้ไม่มีหัวใจไร้ความรู้สึก ยอมรับเลยว่าน้อยใจเรื่องคีรติ
“เหมย” ปรมัตถ์สะกิดแขนเรียกคณานางที่นั่งเหม่อลอยไม่ยอมรับประทานอาหารเสียที ทั้งที่เจ้าหล่อนพึ่งกินไปได้ไม่กี่คำ
“หือ ว่าไงปก” คนได้สติหันไปยิ้มแฉ่งให้ปรมัตถ์
แม้เวลาจะผันผ่านไปกี่ปีก็ตาม รอยยิ้มหวานๆ ยังสามารถทำให้หัวใจกล้าแกร่งเต้นระรัวราวกลองนับร้อยตีพร้อมกันได้เสมอ
“เหมยจะสั่งอะไรเพิ่มมั้ย” แม้ว่าร้านอาหารแห่งนี้จะเป็นปิ้งย่างแบบบุฟเฟต์ แต่ยังมีบางเมนูที่ต้องสั่งและจ่ายเงินเพิ่มเพราะเป็นเมนูพิเศษของทางร้าน
“ไม่ล่ะ ขอบใจมาก”
ปรมัตถ์พยักหน้าก่อนจะส่งแผ่นเมนูคืนให้พนักงาน “เหมยเป็นอะไรหรือเปล่า” เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกไป คณานางยามปกติเป็นคนสดใสร่าเริง แต่เมื่อครู่มันกลับหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
“เปล่านี่ สงสัยคงเป็นเพราะเราหิวแหละ”
“แน่นะ” เขาถามย้ำอีกครั้งอย่างเป็นห่วง
“อื้อ”
ร้านอาหารเปิดใหม่ข้างมหาวิทยาลัยใช่เพียงจะมีแค่นักศึกษาที่มาใช้บริการ ยังมีบุคลากรของมหาวิทยาลัยและบุคคลภายนอกอีกด้วย
“ร้านนี้อร่อยดีว่ะ น้ำจิ้มใช้ได้เลย” หนึ่งในอาจารย์แพทย์ประจำแผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อพูดออกมาหลังจากกินไปได้สักพัก
“ใช่ค่ะ กุ้งก็ว่าอร่อย” เธอไม่ชอบกินเนื้อเลยสักนิด แต่ที่พูดเช่นนั้นออกไปเพราะอยากเอาใจเพื่อนสนิทของชายคนรัก
“พึ่งรู้นะครับว่าหมอกุ้งก็สายเนื้อเหมือนกัน”
คีรติยิ้มให้มานพก่อนจะคีบเนื้อบนตะแกรงย่างใส่จานอิชย์อย่างเอาใจ “พี่อิชย์ชอบร้านนี้มั้ยคะ”
นายแพทย์อิชย์ไม่ได้ยินคำถามของคีรติเพราะมัวแต่มองนักศึกษาชายหญิงที่นั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่โต๊ะมุมสุดของร้าน
“พี่อิชย์คะ” คีรติเรียกนายแพทย์หนุ่มอีกรอบ
“ครับ” เขาละความสนใจจากชายหญิงคู่นั้นหันกลับมาที่คีรติ
“เนื้อสุกแล้วนะคะ”
ชายหนุ่มก้มลงมองที่จานตัวเองจึงเห็นว่ามีเนื้อสุกกำลังดีวางอยู่หนึ่งชิ้น แน่นอนว่าเขาไม่ได้คีบมันขึ้นจากตะแกรงย่างเองอย่างแน่นอน “ขอบคุณครับ กุ้งชอบร้านนี้มั้ย”
“ค่ะ อร่อยดี” เธอโกหกอีกแล้ว
“เดี๋ยววันหลังพี่พาไปลองร้านอื่นบ้าง มีหลายร้านที่อร่อย”
อิชย์ชอบรับประทานอาหารจำพวกเนื้อ เขาเกลียดผักเป็นที่สุด
“ค่ะ พี่อิชย์ว่ายังไงกุ้งก็ว่ายังงั้นแหละ” คีรติตอบรับและส่งยิ้มหวานให้ชายคนรัก
มานพมองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนจะพูดขึ้นว่า “แหม.. เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ สงสัยพี่คงต้องตัดชุดเพื่อนเจ้าบ่าวเตรียมไว้แล้วแหละ”
คีรติเขินแทบม้วนลงตรงนั้น ต่างจากอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดของมานพเลยแม้แต่นิด ดวงตาคมดุดันหันไปมองนักศึกษาชายหญิงคู่นั้นอีกครั้ง
ด้วยความเป็นคนช่างสังเกต มานพจึงรับรู้ได้ว่าอิชย์มีอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ เขาวางตะเกียบที่ใช้คีบอาหารบนจานแล้วค่อยๆ หันไปมองด้านหลัง
เด็ก..ไอ้อิชย์เหรอ
เพื่อนสนิทของอิชย์ทุกคนต่างรับรู้การมีตัวตนอยู่ของคณานาง อิชย์มักควงหญิงสาวไปด้วยเกือบทุกครั้งเมื่อมีนัดรวมกลุ่มเที่ยวสถานบันเทิงหรือรับประทานอาหาร เพื่อนทั้งหกคนของเขานั้นมีสถานะสมรสแล้วสี่คน ส่วนอีกสองคนคือตัวเขาและอิชย์ยังไม่แต่งงานแต่มีแฟนที่คบออกหน้าออกตาด้วยกันทั้งคู่
“มึงสั่งอะไรเพิ่มมั้ย” มานพถามเพื่อเรียกความสนใจจากอิชย์
ชายหนุ่มทั้งสองมองตากัน มานพพยักพเยิดไปยังหญิงสาวที่นั่งข้างอิชย์เพื่อเตือนเพื่อนให้รู้ว่าวันนี้มีคีรติมาด้วย
“ไม่ล่ะ กูอิ่มแล้ว” เขาวางตะเกียบก่อนจะนั่งพิงพนักเก้าอี้
ถึงแม้ว่านายแพทย์หนุ่มทั้งหกคนจะมีผู้หญิงของตัวเองเป็นตัวเป็นตนที่คบออกหน้าออกตากันหมดแล้ว ทว่าชายหนุ่มทั้งหกยังมีโลกอีกใบกับเด็กสาวหน้าตาดี แต่โลกอีกใบก็มีไว้เพียงอวดกันในกลุ่มเท่านั้นไม่ได้คิดจริงจัง บางคนใช้บริการคนเดิมแต่จ้างเป็นครั้งคราว ส่วนบางคนเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อยเพราะไม่ชอบกินของซ้ำ มีเพียงอิชย์เท่านั้นที่ใช้บริการแบบผูกปิ่นโตกับคณานางมานานหลายปี
โทสะมากมายมหาศาลแล่นพล่านในหัวใจ คณานางเป็นผู้หญิงของเขา แต่วันนี้เจ้าหล่อนกลับมานั่งอี๋อ๋อกับผู้ชายคนอื่นอย่างไม่สนเลยว่าตัวเองมีสถานะเช่นไร
“เดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำแป๊บนะ” เขาหันไปบอกคีรติก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านหลังสุดของร้านอาหาร
มานพมองเห็นแผ่นหลังของสาวน้อยเอวบางที่เดินไปที่ด้านหลังของร้านก่อนหน้าอิชย์แล้วนึกเป็นห่วง ผู้ชายด้วยกันย่อมมองกันออก แววตายามที่อิชย์มองคีรติมันราบเรียบไร้ความรู้สึก แต่กับอีกคนช่างแตกต่าง เพียงแค่เห็นภาพบาดตาก็สามารถปลุกโทสะของอิชย์ได้อย่างน่ากลัว