Episode 03
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไปดี” ร่างบางกล่าวต่อเพื่อนสาวทั้งสองนั่นก็คือมอนต้าอดีตหัวหน้าห้องและบิลลี่ “เขาเปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ”
“แกก็ต้องเข้าใจเขาหน่อย ก็อย่างที่เขาพูดนั่นแหละ เขาสี่สิบแล้ว แทบจะเป็นปู่ได้แล้วด้วยซ้ำ ตระกูลของเขาเขาก็ต้องตั้งใจและดูแลมันอย่างดี” มอนต้ากล่าว
“แต่ก็ไม่เห็นจะต้องมาเคร่งอะไรกับฉันขนาดนั้นเลยนี่แก เมื่อก่อนจะเปิดประตูหรือจะเต้นลีลาศเข้าไปหาก็ยังทำได้ แต่ตอนนี้ต้องเคาะตลอดแม้ประตูจะไม่ได้ล็อก”
“คงเป็นอารมณ์ของคนอายุอย่างเขาน่ะ แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนไปในหลายๆ เรื่อง แต่เขาก็ยังรักแกเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอ? แค่เขายังรักแกเหมือนเดิมแค่นี้มันก็พอแล้ว แกไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นหรอกนะ” บิลลี่พูดต่อ
“แต่ฉันชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ นับวันเขาดูเหมือนคุณพ่อที่กำลังสั่งสอนลูกมากกว่าคนรัก ไม่รู้ว่า...เขาจะยังรักฉันเหมือนวันแรกที่เจอกันหรือเปล่าน่ะ” เราตอบบิลลี่พร้อมก้มหน้าอย่างครุ่นคิด
ถ้าเขาหมดรักเราแล้ว...เราก็ต้องไป
“อย่ามาคิดเองเออเองแบบนี้สิ! ถามเขาตรงๆ ไปเลย ถ้าแกอยากรู้ก็ถามเขาไปเลย ถ้าเขาไม่ยอมตอบหรือพยายามบ่ายเบี่ยงแกก็บอกไปเลยว่าถ้าเขาบอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากพอเขาก็ต้องพูด ถ้าแกไม่กล้าเดี๋ยวฉันเปิดประเด็นถามให้เลยเอาไหม?” มอนต้ากล่าว
“ยังดีกว่า เขาอาจจะงานเยอะมากเกินไปเลยไม่ค่อยมีเวลาให้ ถ้าเขามีลูกตั้งแต่ตอนหนุ่มๆ ป่านนี้ลูกของเขาก็คงจะทำหน้าที่แทนให้เขาได้พัก” มอนต้าและบิลลี่เอื้อมมือมาลูบหลังให้กำลังใจเรา “ฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ เป็นภรรยามาเฟีย ต้องอดทน ต้องเข้มแข็ง”
“สู้ๆ นะแก แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง แกเกิดทนไม่ไหวแล้วไม่มีความสุขแล้วจริงๆ ก็แค่ถอยออกมา แม้ว่าในตอนที่ออกมามันจะทุลักทุเล แต่แกจะต้องผ่านมันไปได้”
“อื้ม...ขอบใจพวกแกนะ”
“สู้ๆ” เวลาที่เรามีเรื่องเครียดหรือทุกข์ใจเราก็จะมาระบายให้กับเพื่อนๆ ของเราฟัง ซึ่งพวกเขาก็เป็นทั้งผู้ฟังและผู้ให้คำปรึกษาที่ดี
เพียงแค่มีคนคอยรับฟังเราก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ
“กลับมาแล้วค่ะ~” ร่างบางลากเสียงยาวดังลั่นคฤหาสน์ ประกาศให้โลกรู้ว่าเรากลับมาแล้ว เราพุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่นพร้อมเปิดทีวีดูในทันที “ขอคุกกี้กับชานะคะ”
“ค่ะนายหญิง” แม่บ้านผู้หนึ่งพยักหน้า ก่อนที่จะเดินออกไปเตรียมของที่เราต้องการ ในระหว่างรอคุกกี้กับชา เราก็เปิดทีวีดูหนังไป แล้วก็เล่นเกมไปด้วย
เปิดทีวีแต่นั่งเล่นโทรศัพท์
5555
พรึบ!
“อ๊ะ...เฮียปิดทำไมอะ หนูดูหนังอยู่นะคะ” เราจ้องหน้าร่างสูงเขม็ง เมื่ออยู่ๆ เขาก็เดินเข้ามาปิดทีวี ทั้งๆ ที่เราเปิดหนังดูอยู่แท้ๆ (หราบีร์หรา) “นิสัยไม่ดี”
“เปิดทีวีแต่นั่งเล่นโทรศัพท์? เนี่ยน่ะเหรอกำลังดูอยู่ แล้วนี่กลับมาจะเล่นอย่างเดียวเลยหรือยังไง การบ้านไม่มีให้ทำเหรอ?” เขาเท้าเอวมองเรานิ่งๆ
“ไม่มีค่ะ แถมพรุ่งนี้อาจารย์ก็ยังยกคลาสด้วยไม่ต้องไปเรียน พรุ่งนี้หยุดหนึ่งวันค่ะ” เราลุกขึ้นประจันหน้าพร้อมกอดอกท้าทายอำนาจมืดของเขา “ขอรีโมทคืนด้วยค่ะ”
“ถ้าในเมื่อเธอว่างแล้วก็อ่านหนังสือพวกนี้ซะ”
ปึก!
และนี่ก็คือเสียงวางหนังสือกองหนึ่งลงบนโต๊ะ โดยผู้ที่ถือกองหนังสือกองนั้นมาวางนั่นก็คือมาคัสบอดี้การ์ดคนสนิทคู่ใจของเขานั่นเองค่ะ
“What the fuck!”
“หนังสือพวกนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลของเราทั้งหมด ในฐานะที่เธอเป็นภรรยาของฉัน และยังเป็นนายหญิงของตระกูล เธอก็ควรจะศึกษาเรียนรู้รากเหง้าของตระกูลเอาไว้ซะ”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวเลย ทำไมหนูต้องรู้เรื่องพวกนั้นด้วยเล่า แถมหนังสือพวกนี้ก็เยอะมากด้วย ไม่เอาอะ...หนูอ่านไม่หมดหรอก” เราปัดกองหนังสือนั่นทิ้ง พร้อมหย่อนก้นนั่งลงไปที่โซฟาเบ้หน้าไม่ยอมอ่าน
“อาบีร์เธอช่วยฟังฉันบ้างจะได้ไหม เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ฉันไม่อยากเอาเธอไปเปรียบเทียบกับดีแลนและแดเนียลลูกของไอ้ซานติโน่หรอกนะ เด็กตัวแค่นั้นแต่คิดได้แบบผู้ใหญ่ เก่งกว่าเธออีก อย่าให้อายเด็กสิ”
ปรี๊ด!
พูดแบบนี้ได้ยังไงกันเนี่ย! บังอาจมาเอาเราไปเทียบกับเด็กสิบขวบ อีมาติน! คุณมึงเป็นเหี้ยอะไรคะ
กรี๊ดดดดด!!!
อาบีร์ไม่ยอม อาบีร์จะไม่ทน ไม่ทนแล้ว!
“ถ้าเด็กสิบขวบเก่งถูกใจคุณมากนัก ก็เลิกกับหนูแล้วไปคบกับเด็กสิบขวบเลยไหมล่ะคะ!”
“!!!!!!”