ตอน ม.5 เทอม 1
ขึ้นปีการศึกษาใหม่คิริมาก็ได้ย้ายโรงเรียนสมใจ โรงเรียนใหม่และสังคมใหม่ทำให้คนที่เพิ่งย้ายมาต้องปรับตัวพอสมควร หากแต่ไม่ยากเกินความสามารถ จะแย่หน่อยก็ตรงที่เธอไม่มีเพื่อนเท่าไร ไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับเธอ ด้วยความที่เธอเป็นคนพูดน้อยทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าหา จะมีก็แต่ตุ๊ดยักษ์ประจำห้องอย่างศุภชัยหรือเอวาที่เดินเข้ามาพูดคุยกับเธอ คอยช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนในที่สุดทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในระยะเวลาเพียงไม่นาน และอีกฝ่ายก็ทำให้คิริมารู้ว่าโลกนี้ไม่โหดร้ายจนเกินไป อย่างน้อยก็ยังมีชายใจหญิงอย่างศุภชัยคอยอยู่เคียงข้างในวันที่เธอไม่เหลือใคร คอยปลอบใจในวันที่เธออ่อนแอจนมีน้ำตา
ทุกอย่างมันกำลังจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว หากว่าในช่วงพักเที่ยงของวันหนึ่งจะไม่มีใครคนบางคนเดินเข้ามาผลักอกเธอในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำ พอเงยหน้าขึ้นก็ปรากฏว่าเป็นพิริยา ยังไม่ทันจะได้จับต้นชนปลายอีกฝ่ายก็ชี้หน้าด่าเธอเสียงดังลั่น ว่าแม่ของเธอทำให้พ่อของอีกฝ่ายตาย ทำเอานักเรียนใหม่ที่คิดว่าจะย้ายมาเจอสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมถึงกับแทบปล่อยโฮออกมา เสียงตะโกนด่าทอของพิริยาทำให้เด็กนักเรียนต่างพากันเดินมามุงดู บ้างซุบซิบ บ้างมองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาด บ้างส่งสายตารังเกียจมาให้
ด้วยความที่ลูกของพ่ออีกคนอย่างพิริยาเป็นสาวป็อปประจำโรงเรียนทำให้ทุกคนต่างให้ความสนใจ บางคนตัดสินว่าแม่ของเธอผิดก็ถึงกับด่ากราด และพากันรุมประณามต่างๆ นานา ซึ่งถ้อยคำเหล่านั้นล้วนกระแทกใจคนที่ยังเจ็บปวดกับการสูญเสียอันแสนสะเทือนใจไม่สร่างซา ทั้งที่การตายของพ่อกับแม่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากเธอ และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่ทุกคนก็มองเธออย่างรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้
เธออยากจะบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง บอกตัวเองให้กล้าที่จะตะโกนใส่หน้าทุกคนว่าอย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ แค่พ่อกับแม่เธอจากไปในเวลาเดียวกันมันก็เจ็บปวดและหนักหนาสาหัสมากพอแล้ว ทำไมทุกคนต้องเอาเรื่องการตายของพวกท่านมาซ้ำเติมให้แผลในใจเธอกลัดหนองไปมากกว่าเดิม ทำไมทุกคนถึงได้ใจร้ายกับเธอนัก อยากจะไล่ตะเพิดทุกคนไปให้ไกลๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิด เพราะการถูกรุมพร้อมกันหลายๆ คนทำให้คิริมายืนนิ่งเหมือนช็อกและหาทางออกไม่เจอ ริมฝีปากสั่นระริกเม้มเข้าหากัน มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัดจนเส้นเลือดบริเวณหลังมือปูดโปน น้ำตาคลอเบ้า ส่วนหูก็ได้ยินเสียงประณามอันเลวร้ายไม่หยุดหย่อน
“แม่ของยัยนั่นเป็นคนประเภทไหนถึงได้ฆ่าพ่อของพิมมี่ ตัวเองแย่งพ่อไปจากแม่พิมมี่ แล้วฆ่าเขาตายเนี่ยนะ คนอะไรประสาทจริงๆ ตายคนเดียวไม่พอยังลากคนอื่นไปตายด้วย”
“ก็คงเลือดเย็นทั้งแม่และลูกนั่นแหละ เพราะยัยจืดนั่นก็อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ร้องไห้ซักแอะ”
“เห็นคนแทงกันตายต่อหน้าต่อตาแล้วไม่รู้สึกอะไรเนี่ยนะ คนอะไรเลือดเย็นจนน่าขนลุก”
“นั่นสิ ไม่รู้ที่ย้ายมาเนี่ยเพราะนางไปแทงใครตายมาหรือเปล่า”
“ทางที่ดีอย่าไปเข้าใกล้เลยคนแบบนั้น”
น้ำคำบาดหัวใจยังคงดังอื้ออึงอยู่ในหู หัวใจดวงน้อยถูกรุมกระหน่ำซ้ำเติมจากคนที่ตัดสินคนอื่นแค่ภายนอกทั้งที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย คำพูดทำนองว่าแม่ของเธอคือคนที่แย่งพ่อมาจากแม่ของพิริยา ทั้งที่แม่ของเธอคือเมียหลวง ส่วนแม่ของพิริยาคือเมียน้อย คือคนที่เข้ามาแทรกกลางทำให้ครอบครัวเธอร้าวฉาน
ซึ่งถ้อยคำประณามแม่ที่ไร้ซึ่งความเป็นจริงนั้นก็ทำให้คิริมาเกือบทนไม่ไหวเพราะรับไม่ได้ แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดเอาไว้ อยากจะหนีไปจากตรงนั้นแต่ขาเจ้ากรรมกลับก้าวไม่ออก เธอคิดผิดอย่างมหันต์ที่ย้ายมาเรียนที่นี่ ปัญหาเดิมตามมาหลอกหลอนทำให้คิริมายืนตัวแข็งทื่ออยู่ท่ามกลางวงล้อมของพิริยากับเพื่อน และเธอคงจะโดนอีกฝ่ายเล่นงานจนเผลอแสดงความอ่อนแอออกมา หากเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่ใครต่อใครต่างเรียกว่าอีตุ๊ดยักษ์ไม่เดินฝ่าวงล้อมเข้ามาปกป้อง และด่ากราดจนทุกคนแตกกระเจิง
ตั้งแต่นั้นมาคิริมาก็รู้ซึ้งว่าการย้ายโรงเรียนไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด เรื่องที่พ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้ากลายเป็นประเด็นซุบซิบนินทาไปทั่วทั้งโรงเรียน และนั่นก็ทำให้สังคมของเธอแคบลงเรื่อยๆ จนน่าใจหาย แค่พ่อกับแม่ของเธอฆ่ากันตายต่อหน้าสังคมก็ไม่มีที่ยืนสำหรับผู้สูญเสียเช่นเธออย่างนั้นหรือ แค่เธอไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้ใครเห็นทุกคนก็ตัดสินว่าเธอเป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ เธอทำผิดอะไร หรือว่าเธอควรตายๆ ไปเสียดีไหม นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่จิตใต้สำนึกส่วนดีจะคอยย้ำเตือนว่า เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตเธอยังคงต้องก้าวต่อไป ถึงแม้ไร้พ่อและแม่เธอก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง
ทุกครั้งที่โดนพิริยาตามก่อกวนคิริมาจะพยายามนิ่งเฉย ทำเป็นหูทวนลม หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะตอบโต้ไปบ้างด้วยคำพูดในแบบผู้ใหญ่เกินตัว เธอไม่นิยมใช้ความรุนแรงหรือตบตีในแบบที่นักเรียนหญิงชอบทำกัน เพราะไม่อยากมีปัญหาจนถูกฝ่ายปกครองเรียกไปพบ อีกทั้งไม่อยากถูกอาจารย์เพ่งเล็งว่าเพิ่งย้ายมาใหม่ก็ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท เลยเลือกที่จะเงียบเข้าไว้ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายเจ็บใจและนึกหมั่นไส้ที่เธอทำเหมือนคนไร้ความรู้สึก จึงตามราวีไม่เลิก และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันแห่งความซวยของเธอเพราะศุภชัยดันลาป่วยเสียนี่
อยู่ๆ หัวหน้าห้องและเพื่อนซี้ก็เดินมานั่งลงที่ม้านั่งในฝั่งตรงกันข้ามกับเธอ คิริมาทำเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะสองสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่เคยพูดกับเธอตั้งแต่เธอย้ายมาเรียนที่นี่ ก่อนจะเริ่มรู้ถึงจุดประสงค์ของการมาของทั้งคู่ เมื่อเห็นเพื่อนร่วมห้องที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบขี้หน้าเธอหันไปมองตากัน แล้วยิ้มตรงมุมปาก ก่อนที่เธอจะนิ่งงันในเสี้ยววินาทีที่หัวหน้าห้องเอ่ยน้ำคำอันแสนกระแทกใจออกมา
“นี่ครีม วันแม่ที่จะถึงแม่เธอจะมาหรือเปล่า”
“เอ่อ…” ยังไม่ทันที่คนโดนสะกิดแผลใจจะได้ขยับริมฝีปากหนักอึ้งตอบโต้ เสียงแหลมเล็กฟังดูน่ารำคาญของผู้ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหลังก็ดังแทรกขึ้น
“ใบเตยลืมไปเเล้วหรือไง ว่ายัยเนี่ยไม่มีแม่” ผู้มาใหม่ซึ่งเป็นคนเคยสอบได้คะแนนสูงสุดของห้องแต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่คิริมาในกลางภาคจ้องใบหน้าซีดเซียวอย่างเยาะหยัน
“นั่นสิ ฉันลืมไปเลย ว่าเธอไม่มีแม่นี่นา” คนที่ตั้งใจเข้ามาหาเรื่องก่อกวนนักเรียนใหม่ของห้องกอดอกสาดน้ำคำแทงใจดำคนฟัง แล้วยิ้มเยาะอย่างสะใจเมื่อเห็นเธอตาแดงๆ
“ฉันมีแม่!” คิริมาเชิดหน้าตอบโต้เสียงแข็งๆ ทั้งที่น้ำตาเจียนจะหยดแหมะอยู่รอมร่อ พยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอให้อีกฝ่ายได้ใจ แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ถึงแม้แม่จะจากไปเกือบจะครบหนึ่งปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแต่เธอก็ยังคงอาลัยอาวรณ์ท่านไม่เสื่อมคลาย เธอยังคิดถึงและโหยหาอ้อมกอดของแม่ คนมีแม่ไม่เข้าใจหรอกว่าในวันแม่คนที่ขาดแม่มันรู้สึกอ้างว้างและเจ็บปวดหัวใจมากแค่ไหน
“เธอไม่มีแม่!”
“ฉันมีแม่! ฉันมีแม่พวกเธอได้ยินไหม!”
“เธอไม่มีแม่! แม่เธอตายแล้ว! ยัยเด็กไม่มีแม่!”
สามสาวประสานเสียงตะโกนใส่หน้าคนที่ตกเป็นแกะดำของโรงเรียน คิริมาทำเพียงกำหมัดแน่นๆ เม้มริมฝีปากสั่นระริกเข้าหากันอย่างพยายามจะข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไปแบบไร้ทิศทาง ที่สุดเธอก็มาหยุดลงที่ดาดฟ้า สถานที่ต้องห้ามสำหรับเด็กนักเรียนทุกคนแต่ไม่รู้ว่าใครมาแอบเปิดประตูค้างเอาไว้ ร่างบอบบางทว่าสั่นเทาเดินไปนั่งลงที่ข้างผนังดาดฟ้าอย่างหมดแรง ทันใดนั้นความเจ็บปวดเสียใจที่กักเก็บไว้ก็พลันพรั่งพรูออกมาเป็นหยาดน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม พร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังลั่น
“ฮึก...ฮือ...ฉันมีแม่…ฉันมีแม่…ฮือ…”
เสียงร้องไห้ที่แว่วเข้าหูทำให้คนที่นอนหนุนแขนเหม่อมองท้องฟ้าสีหม่นถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะคิดว่าที่ได้ยินนั้นคือเสียงผี ทว่าครั้นลุกขึ้นแล้วเห็นใครบางคนนั่งก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้อยู่อีกมุมหนึ่งของกำแพงดาดฟ้า เขาก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความรำคาญปนหงุดหงิดงุ่นง่าน
บัดซบ! เขาเกลียดเสียงร้องไห้ และไม่ชอบน้ำตาผู้หญิง
อุตส่าห์หนีขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจในคาบเรียนที่อาจารย์ไม่เข้าสอนแต่ยังมิวายมีคนมาทำให้ความสงบสุขของเขาพังทลาย ครั้นเสียงร้องไห้บาดหูยังไม่หยุดหย่อน คนที่ถูกรบกวนเวลานอนในตอนบ่ายก็กลอกตาขึ้นฟ้า นับหนึ่งจนถึงสิบในใจแล้วปรากฏว่าอีกฝ่ายยังไม่หยุดปล่อยโฮเขาจึงหมดสิ้นความอดทน
“หยุดแหกปาก! แล้วไสหัวไปซะ!”
เจ้าถิ่นตวาดกร้าวไล่ตะเพิด แต่ดูเหมือนว่าคนที่ยังตกอยู่ในห้วงความเศร้าเสียใจอย่างแสนสาหัสจะไม่สนอะไรทั้งสิ้น แถมยังร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
“โว้ย! บอกให้หุบปากไงวะ!”
คราวนี้น้ำเสียงกราดเกรี้ยวเจ้าอารมณ์ตวาดลั่นทำเอาคนที่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้เป็นเผาเต่าชะงักไปชั่วอึดใจ ก่อนจะสะอื้นฮัก แล้วปล่อยโฮออกมาอีกครา
“ฮึก…ฮือ…ไม่ต้องมาห้าม…คนเสียใจก็ต้องร้องไห้สิ…ฮือ…”
“จะไม่หยุดใช่ไหม”
“ฮือ…”
คำตอบที่ได้รับคือเสียงร้องไห้หนักกว่าเดิม
“ได้…”
ทันใดนั้นหนุ่มหล่อจอมเย็นชาแต่ป็อปสุดๆ ของโรงเรียนก็จัดการถอดถุงเท้าของตัวเองออกหนึ่งข้าง มัดเป็นก้อนกลมๆ แล้วปาใส่หัวคนที่กำลังนั่งซบหน้าลงกับเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจตาย
ตุ้บ!
“แหกปากร้องไห้อยู่ได้! คนจะนอน…รำคาญ!”
“รำคาญก็ปิดหูสิ”
หลังจากคลำหัวตัวเองป้อยๆ แล้วมองถุงเท้าที่ตกกระเด็นห่างออกไปเล็กน้อย คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นโมโหแทน
นี่เล่นเอาถุงเท้าปาหัวกันเลยเหรอ มันจะมากเกินไปแล้วนะ!
“อ้าว...ยัยนี่วอนโดนดีว่ะ”
ขาดคำเจ้าของถุงเท้าปริศนาก็ผุดลุกขึ้น แล้วเดินลากขายกไหล่ด้วยท่าทางกร่างๆ ไปหาคนที่เอาแต่ก้มหน้าเช็ดน้ำตาอย่างเอาเรื่อง
“เมื่อกี้เธอพูดว่าไงนะ”
เสียงเข้มๆ ของคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ทำให้คิริมาเม้มปากแน่น แทนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยตอบโต้เธอกลับต่อต้านด้วยการเลือกที่จะก้มหน้าปิดปากเงียบ และนั่นก็ทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
“ว่าไง…ซ่าหรือไงเรา”