โต้ง ก็คือ โต้ง

1988 คำ
โต้ง ผมถือน้ำอัดลมมาสองขวดเดินกลับมายังโต๊ะที่เพื่อนทั้งสองคนนั่งรออยู่ แต่กลับไม่เห็นพวกมันสองคนไม่รู้ไปไหนกัน “โต้ง เลโอ” เสียงหวานใสเรียกมาจากด้านหลัง ผมรับรู้ได้ทันทีว่าเป็นใครโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมองด้วยซ้ำ มิริน “อ้าว พี่มิริน มาได้ไงครับ” เลโอทักทายมิริน “ก็มาแสดงความยินดีกลับพวกเราไง” มิรินตอบ เธออยู่ในชุดนักศึกษาของมหาลัยที่เธอเรียนอยู่ ซึ่งมันก็คือมหาลัยเดียวกันกับที่ผมและเพื่อนๆ สอบติด มิรินเดินมาพร้อมช่อดอกไม้ขนาดกลางถือพอดีมือ “แล้วราเรซกับบิ๊กไบค์ไปไหนแล้วล่ะ” เธอถามหาเพื่อนผมอีกสองคน “ไม่รู้เหมือนกันครับ ก่อนจะไปซื้อของพวกมันก็ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอยู่เลย” เลโอตอบเธอ “มิริน ขอคุยอะไรด้วยหน่อยดิ” ผมพูดกับเธอ “อะไรล่ะ” มิรินเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย “เลโอมึงไปตามหาไอ้สองตัวนั้นดิ เอาน้ำไปให้พวกมันด้วย” ผมยัดน้ำอัดลมสองขวดใส่มือเลโอแล้วก็บังคับให้มันเดินออกไปจากตรงนี้ เลโอเดินออกไปอย่าง งงๆ แต่มันก็ทำตามแต่โดยดี “คือโต้ง... โต้ง...” ตึกๆ ๆ ๆ ๆ ตึกๆ ๆ ๆ ๆ ทำไมมันพูดยากจังว่ะ.. กะอีแค่ไม่กี่คำเนี้ย “จะเรียกชื่อตัวเองอีกนานไหม” มิรินมองหน้าผมพร้อมกับยิ้มขำๆ “โต้งชอบ...” มิรินหยุดขำแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่ผมจะพูด “ชอบมิริน..” ในที่สุดก็พูดออกมาจนได้ รู้สึกเหมือนเหงื่อเม็ดเล็กๆ จะพุดขึ้นตามซอกนิ้วมือหน่อยๆ “คือ..อย่างงี้นะโต้ง มิรินขอบใจนะที่โต้งมีความรู้สึกดีๆ ให้ แต่ว่าเราเป็นพี่น้องกันดีกว่าเนอะ” คำพูดฟังดูดีแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกดีเลยสักนิด “ทำไม” ผมถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ “จะต้องให้พูดตรงๆ ใช่ไหมถึงจะเข้าใจ” “ก็พูดมาตรงๆ ดิ” ผมเริ่มขึ้นเสียงใส่ “โต้งยังเด็กเกินไป แค่นี้ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย หัดใจเย็นซะบ้าง” เหตุผลแค่นี้นะเหรอ ที่ว่าเด็กเกินไปนี้ก็ห่างกันแค่ปีเดียวเอง มันจะอะไรกันนักหนาว่ะ.. “เหตุผลแค่เนี้ย..” ผมจ้องหน้ามิรินด้วยอารมณ์ขุ่นๆ “พี่ชอบคนที่มีวุฒิภาวะสูงกว่าพี่และมีความเป็นผู้นำ” “ชอบคนแก่..ว่างั้น” ผมเดินเข้าชิดตัวยื่นหน้าเข้าไปถามแสดงความกวนตีนใส่มิรินนิดๆ “ไม่มีไรแล้วพี่กลับก่อนนะ” มิรินหันหลังให้เตรียมจะเดินหนี “บอกว่าไง... อย่างแทนตัวเองว่าพี่” ผมพูดย้ำอีกครั้ง “ฉันเป็นพี่นาย..” มิรินเดินกลับมายัดช่อดอกไม้ใส่มือผมพร้อมกับพูดย้ำชัดถึงสถานะระหว่างผมกับเธอ ใจร้ายไปแล้วนะ อย่าให้ถึงทีผมบ้างก็แล้วกัน เธอไม่รอดแน่ มิริน.. หนึ่งปีต่อมา วันนี้เป็นวันรับน้องคณะบริหารธุรกิจ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยสำหรับผม ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ มหาลัยเปิดเทอมได้อาทิตย์หนึ่งแล้วล่ะ ไม่รู้จะมารับอะไรตอนนี้เสียเวลา... “แม่ง! น่าเบื่อว่ะ” ผมหันไปบ่นกับเพื่อนทั้งสามคน “นั่นดิ เสียเวลาชิบ!” ราเรซเห็นด้วยกับผม “น้องปีหนึ่งสองคนนั้นน่ะ คุยอะไรกัน ออกมาคุยตรงนี้มา” รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งประกาศเรียกให้ผมกับราเรซเดินออกไปยืนด้านหน้าเพื่อนๆ พอผมกับราเรซลุกขึ้นยื่นเท่านั้นแหละ สายตาของผู้หญิงที่คณะ ต่างก็หันมามองที่ผมสองคนเป็นตาเดียว ก็คนมันหล่ออ่ะนะ พอรู้ตัวเองอยู่แหละ ผมกับราเรซเดินตรงไปหารุ่นพี่ที่ถือไมค์ประกาศเรียกพวกผมเมื่อกี้ ชำเลืองมองดูป้ายชื่อที่รุ่นพี่คนนี้ฆ้องคอไว้ ชื่อน้ำหวานสินะ ทำเป็นพูดเสียงเข้มใส่ ตัวเท่าลูกแมวยังกล้ามาเบ่งใส่อีก ผมเล่ตามองพี่น้ำหวานเล็กน้อยด้วยแววตาเรียบนิ่ง เพียงแค่นั้นก็ทำให้พี่น้ำหวานยืนอายม้วนบิดไป บิดมา อะไรวะ... เรียกออกมาแล้วก็มาเขินใส่เนี้ยนะ ไร้สาระวะ! พี่น้ำหวานเอาแต่จ้องหน้าผมกับราเรซสลับกันไม่ยอมพูดอะไรสักที เธอก็เลยโดนเพื่อนตบหัวไปหนึ่งทีเพื่อเรียกสติพี่น้ำหวานให้กลับคืนมา “อะ แฮ่ม! น้องสองคนคุยอะไรกันค่ะ” น้ำเสียงที่พูดออกมาเหมือนพยายามทำให้ดุนะ แต่ใบหน้าของพี่น้ำหวานกลับยิ้มแก้มแทบปริอยู่ล่ะ “คุยกันว่า น่าเบื่อ เมื่อไรจะเสร็จสักที” ผมจ้องหน้าพี่น้ำหวานนิ่ง ตอบตามความจริงโดยที่ไม่คิดจะแก้ตัวด้วย แต่ก็ดูเอาเถอะ อุตส่าห์เรียกผมสองคนออกมาเพื่อดุว่า แต่กลับมายืนเคลิบเคลิ้มซะงั้น ผมหันไปมองหน้าไอ้เรซอย่างเซ็งๆ ซึ่งมันก็แสดงสีหน้าไม่ต่างจากผม จะพูดอะไรก็ไม่พูดสักที มัวแต่ยืนเขินอยู่ได้ “ถ้าไม่มีอะไรผมกับเพื่อนกลับไปนั่งที่นะ” ผมหันหลังเตรียมจะเดินกลับไปนั่งที่ ก็มีเสียงหนึ่งเรียกไว้ “เดี๋ยว!” ทันทีที่ได้ยินเสียงผมก็รู้ว่าเป็นใคร โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาหันไปมองด้วย เธอคือคนที่อยู่ในใจของผมมาโดยตลอด ถึงแม้จะโดนเธอปฏิเสธไปแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอมันไม่เคยจางหายไปเลย “พี่มิริน” ราเรซเอ่ยชื่อลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง “สองคนคุยกันเสียงดัง ไม่ให้เกียรติรุ่นพี่ ควรถูกทำโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อเพื่อนคนอื่นๆ” มิรินยืนบ่นร่ายยาวเป็นหางว่าว “งั้นก็ทำโทษเองสิ รุ่นพี่” ผมหันหลังกลับมาสบตากับมิริน พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เฉียดผิวแก้มเธอไปนิดเดียว มิรินถึงกับผละตัวออกเล็กน้อยด้วยความตกใจที่ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอจนเกือบจะโดนแก้มเนียน “เฮ้ย! เดี๋ยวกูทำโทษมึงเอง” เสียงรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับมิริน ชื่อแมทสินะ เพราะป้ายชื่อเขียนไว้แบบนั้น “เอาดิ จะทำไรก็รีบทำ เสียเวลาชิบ!” ผมหันไปตอบไอ้พี่แมทอย่างกวนๆ ด้วยการยืนล้วงกระเป๋ากางเกงคุยกับรุ่นพี่อย่างมีมารยาท แล้วไอ้พี่แมทก็เดินเข้ามาประจันหน้ากับผม มันเดินเอาอกของมันมาชนกับอกผมหนึ่งทีอย่างกวนตีนไม่แพ้กัน ผมยกยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับยกมือขึ้นมาปัดที่อกแกร่งบริเวณที่ถูกไอ้รุ่นพี่กระแทกเมื่อกี้อย่างสะทกสะท้านอะไร ประมาณว่าก็แค่แมลงบินชน ก็แค่นั้น... “ไอ้นี่ กวนตีนเหรอ ห๊ะ!” แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เพราะมันทำให้ไอ้รุ่นพี่หัวร้อนขึ้น มันเดินเข้ามาตั้งท่าเอาเรื่องผมเต็มที่ แต่ก็โดนคนตัวเล็กห้ามไว้ก่อน “เออ... เดี๋ยวมิรินจัดการเองนะคะ พี่แมท ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ” มิรินเดินมาขว้างหน้าผมไว้ เธอหันมามองหน้าผมพร้อมกับส่งสายตาดุมาให้ “ก็ได้จ้ะ เห็นแก่น้องมิริน พี่จะเว้นมันไว้ก่อนก็ได้ แต่ถ้ามันยังไม่เลิกทำนิสัยเสียแบบนี้กับรุ่นพี่อีก พี่คงปล่อยไว้ไม่ได้...” “ก็ทำเลยสิ จะรออะไรล่ะ” “ไอ้..” “โต้ง!” มิรินเดินเข้ามาคว้าหมับที่ข้อมือของผมแล้วคนตัวเล็กก็ออกแรงลากผมมายังด้านหลังของตึกคณะ ผมมองตามแผ่นหลังของเธอที่เดินนำหน้าอยู่ แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนหน้าของผม ทำไมนะ ทั้งที่โดนปฏิเสธไปแล้วแท้ๆ แต่ผมกลับตัดใจจากมิรินไม่ได้สักที มันยิ่งทำให้ผมต้องการเธอมากขึ้นต่อให้มิรินไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมก็ตาม “ทำไม ชอบทำตัวมีปัญหาอยู่เรื่อยเลยนะ” มิรินหยุดเดินแล้วหันไปมองบริเวณรอบๆ พอมั่นใจว่าไม่มีใคร เธอก็หันมาบ่นผมทันที มิรินปล่อยมือของเธอออกจากข้อมือผม ผมรีบคว้าหมับที่ข้อมือของมิริน ออกแรงกระตุกนิดเดียวก็ทำให้ร่างบางของเธอปลิวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผมอย่างง่ายดาย ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ ก็รีบยกขึ้นโอบรอบเอวบางไว้แน่นอย่างรู้งาน มิรินรีบยกแขนเล็กขึ้นมาดันอกแกร่งของผมไว้อย่างรวดเร็ว “โต้ง!” มิรินขึงตาใส่พร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง “ว่า..” ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก จ้องมองใบหน้ารูปไข่ของมิรินด้วยแววตาเรียบนิ่งพยายามไม่แสดงความรู้สึกใดใดออกมา เพราะไม่อยากทำให้มีมิรินรู้สึกกดดันหรืออึดอัด แต่ต่อให้ผมแสดงความต้องการเธอยังไง มิรินก็เมินผมอยู่ดี “ปล่อย..” “ไม่..” “ปล่อย พี่ เดี๋ยวนี้...” พี่.. อีกแล้วเหรอ เธอก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้เธอแทนตัวเองแบบนี้ แต่ก็ยังพูดอยู่ได้ ชอบลองของนักใช่ไหม... เดี๋ยวจัดให้ ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งไปจับที่ท้ายทอยของมิรินบังคับให้เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ผมโฉบฉวยจูบริมฝีปากบางของมิรินโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เธอต่อต้านผมด้วยการเม้มปากไว้แน่น ไม่ยอมให้ผมรุกล้ำเข้าไปได้ ไม่ยอมเปิดปากใช่ไหม... มือหนาที่โอบเอวบางอยู่เลือนเข้าไปในขอบกระโปรงทรงเอแล้วรั้งเอาชายเสื้อนักศึกษาของมิรินขึ้นมา ตากลมโตเปิกโพรงอย่างตกใจ ไม่หยุดแค่นั้นหรอก... ผมเลือนมือหนาเข้าไปในเสื้อนักศึกษาของมิริน ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังบาง ทำให้ร่างเล็กตรงหน้าถึงกับสั่นนิดๆ กำปั้นเล็กระดมทุบเป็นว่าเล่นเมื่อมือของผมเลื่อนขึ้นไปลูบไล้ใกล้ๆ กับตะขอบราของเธอ สะกิดเพียงเล็กน้อยตะขอนั่นก็หลุดออกจากกันอย่างง่ายดาย “อืออออ” มิรินเผลอเปิดปาก สงสัยอยากจะด่าผม แต่ไม่ทันได้พูดซะหรอก ผมรีบแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็ก ลิ้นชื้นตวัดดูดดึงลิ้นเล็กอย่างโหยหา ความหวานจากรสจูบนี้ มันชั่งหอมหวานละมุนละไม ไหนจะลิ้นเล็กแสนอ่อนนุ่มนั้นอีก ผมจะถอนตัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว ผมดูดเม้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างบางเริ่มประท้วงอีกครั้งด้วยการทุบกำปั้นหนักๆ ที่ไหล่หนา ผมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง จ้องมองริมฝีปากของมิรินที่ตอนนี้ มีอาการเจ่อบวมเล็กน้อย นี่ผมร้อนแรงขนาดนั้นเชียว แค่จูบเอง... ถึงกับควบคุมตัวเองไม่อยู่เลยทีเดียว มิรินมองหน้าผมอย่างอึ้งๆ สีหน้าของเธอดูตกใจมาก มือบางยกขึ้นมาปิดปากของตัวเองคลายดั่งคนละเมอ มิรินกะพริบตาอยู่สองสามครั้ง พอเธอได้สติก็รีบหันหลังให้เตรียมเดินหนี ผมรวบเอวบางเข้ามาชิดกับอกแกร่งก่อนที่เธอจะเดินหนีไป “ปล่อย!” มิรินดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ในอ้อมกอดของผม กลิ่นตัวก็ชั่งหอมยั่วใจดีเหลือเกิน... จำเป็นไหม.. ที่ผู้หญิงต้องมีกลิ่นตัวหอมขนาดนี้ มันดึงดูดผู้ชายอย่างผมมากนะรู้ไหม . . .
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม