สองมือเรียวเล็กของแพรนรีประคองดวงหน้าครามเข้มของฮาริสเอาไว้ พร้อมกับโน้มลำคอเขาลงมาหา เขย่งปลายเท้าประทับริมฝีปากอิ่มจูบเขา
ท่ามกลางความงุนงงของหลายคน สายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่เธอ ธีรากรมองแพรนรีตาค้าง เขาเป็นแฟนเธอมาเกือบหกปี ยังไม่เคยจูบสักครั้ง
ไม่เว้นแม้แต่เพลย์บอยหนุ่มที่ผ่านผู้หญิงมาเกือบครึ่งโลก แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะตอบสนองเธออย่างช่ำชองตามแบบวิถีหนุ่มนักรักอย่างเขา
แพรนรีถอนริมฝีปากออกแสยะยิ้มเล็กๆ ปรายตามองธีรากรอย่างจงใจยั่ว ก่อนที่จะประทับจูบชายหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง แพรนรีพยายามทำตัวเหมือนผู้หญิงกร้านโลกยืนจูบผู้ชายอย่างดูดดื่ม
ฮาริสก็ไม่ยอมปล่อยให้คำว่าเสือผู้หญิงของเขาสิ้นลายให้ใครตราหน้า ตอบรับรสจูบของเธอและสนองความต้องการของตัวเองด้วยบทเรียนที่ช่ำชอง
ธีรากรกำหมัดแน่นยืนมองอย่างไม่พอใจ ที่สุดเขาก็ทนมองไม่ไหวจะเดินเข้ามาหา หากแต่มือของอลิชาก็ฉุดเขาออกไปจากตรงนั้น
“อย่าค่ะ เราไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร” อลิชาเตือนสติ
“แต่มันจูบแพร”
“ยัยแพรหน้าด้านเดินไปจูบเขาเองต่างหาก” อลิชาบิดปากบอกเหยียดๆ
“แต่หมอนั่นจูบแพร...คุณก็เห็น”
“ไม่เห็นแปลก” อลิชายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ใครๆ ก็จูบ มันธรรมดามาก”
“ไม่แปลกยังไง แพรไม่เคยปล่อยตัวกับใครแบบนี้ แม้กระทั่งผม”
“เพราะเธอไม่รักคุณ ส่วนคุณก็ไม่มีความสำคัญมากสิคะ” อลิชาเยาะ แต่ก็ต้อนเข้าหาตัวเอง
“ไม่เหมือนกับลิชที่รักคุณแบบทุ่มกาย ถวายตัว ยอมอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ทั้งที่ลิซมีดีกว่ามันทุกอย่าง ทุ่มเงินให้คุณสุขสบายไม่ต้องไปหางานทำอย่างนักเรียนทุนคนอื่น”
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลยน่า” ธีรากรบอกอย่างหัวเสีย เดินฟึดฟัดออกไป
หลังจากที่ลับร่างของคนทรยศทั้งคู่ แพรนรีก็ผลักหน้าอกของเขาดันออก ถอนริมฝีปากอิ่มของตัวเองออกอีกครั้ง ยืดตัวกระซิบข้างหูชายหนุ่มขอบคุณเขาเบาๆ
“ขอบคุณสำหรับจูบของคุณ ฉันให้คะแนนสามเต็มสิบ มันไม่ถึงกับห่วยมากมาย” แพรนรีจงใจเหน็บว่าเขาแรงๆ อย่างหงุดหงิด
ถ้าเป็นสุภาพบุรุษเขาคงยืนนิ่งๆ ให้เธอประกบปากเฉยๆ แต่เขากลับตอบรับเธออย่างรัญจวน ถ้าปล่อยเวลานานไปกว่านี้สักนิดเธอคงละลายไปกับจูบของเขา และคนอย่างเธอจะไม่มีวันปล่อยให้ร่างกายของตัวเองหลงระเริง ไม่ปล่อยให้หัวใจสั่นระริกเต้นรัว และไม่ปล่อยให้เขาย่ามใจที่เธอเผลอไปกับเขาเมื่อครู่
หากแต่อีกคนกลับกระหวัดสายตามองใบหน้านวลเนียนดวงตากลมโตของเธออย่างจดจำ สายตาคมเหลือบไปมองเห็นทรวงอกล้นปริ่มออกมานอกเสื้ออย่างไม่ตั้งใจ เธอเป็นผู้หญิงที่แปลกที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา
เธอกำลังทำให้ปฏิกิริยาในร่างกายของเขาพุ่งทะยาน
หญิงสาวผลักอกของเขาออก ยกมือขยับคอเสื้อขึ้นมาปิดเนินอกของตัวเอง เธอเกลียดสายตาจาบจ้วงของเขา แต่ทางเดียวคือออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เพราเธอได้ทำสิ่งที่ต้องการเรียบร้อย
แพรนรีหันหลังออกไปจากตรงนั้นทันที ไม่สนใจมองสองหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
“ไม่ง่ายไปหน่อยหรือสาวน้อย” เสียงเข้มของเขาร้องทักตามหลัง
แพรนรีหันหน้ากลับมาถามเขาอีกครั้ง “อะไร”
“ก็ที่เธอเดินเข้ามาจูบฉัน แล้วเดินออกไปง่ายๆ อย่างนี้ไง”
“จูบของคุณไม่น่าสานต่อสักนิด บอกแค่นี้ถือว่าถนอมน้ำใจนะ อย่าให้ฉันต้องชี้แจงให้คุณเสียความรู้สึกมากไปกว่านี้เลย” แพรนรีบอกพร้อมกับก้าวออกไปจากตรงนั้นอย่างเร็ว ปล่อยให้ผู้ชายที่โดนปล้นจูบครั้งแรกยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
มือหนาของเขากำแน่น แววตาวาวโรจน์มองคนที่ก้าวออกไปอย่างจดจำ เข่นเขี้ยวคำรามฮึ่มอยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้ยังไม่รู้จักเขาดีพอ
แมทริวตบบ่าชาล์ลมองฮาริสที่ยังยืนยิ่ง เย้ากลับบ้าง
“เฮ้ย! ไม่ใช่แค่ฉันแล้วว่ะชาล์ล เสือร้ายปลายลิ้นพลิ้วไหวอย่างฮาริสยังได้คะแนนจูบหวานๆ แค่สาม”
ยิ่งโดนเพื่อนเย้ากลับฮาริสยิ่งเพิ่มความโกรธ ทุกสิ่งในห้านาทีที่ผ่านมาไม่ใช่แค่หักหน้า ผู้หญิงคนเมื่อครู่เหมือนกระชากหน้าเขาให้หลุดตามเธอไป เขาต้องเอาคืนให้สาสม
ชายหนุ่มหันมาบอกคนสนิทเสียงกร้าว “ฉันอยากรู้เรื่องของผู้หญิงคนนั้นอย่างละเอียด” เลขาหนุ่มคนสนิทโค้งรับ
‘เธอกล้าท้าทายคนอย่างฉัน ฉันจะทำให้เธอเห็นนรกและสวรรค์พร้อมกัน...สาวน้อย’
เขาคิดอย่างอาฆาตตามหลัง
แพรนรีเดินทอดน่องอย่างล่องลอยมาถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่ริมทะเลสาบซูริก แหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง ชาวสวิตเซอร์แลนด์มีความสุขกับการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ จึงไม่แปลกใจที่ซูริกมีสวนสาธารณะและสวนหย่อมให้เห็นทุกมุมเมือง
หญิงสาวทอดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง เธอยอมรับกับตัวเองอย่างหน้าไม่อายว่าเธอไม่มีความกล้ามากพอที่จะกลับไปห้องพัก ไม่กล้ามากพอที่จะทนเห็นหน้าเพื่อนทรยศกับผู้ชายเลวๆ คนนั้น
ซูริกฮอร์น (Zurichhorn Park) สวนสาธารณะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง เธอกวาดสายตามองสนามหญ้ากว้างขวาง แสงไฟหัวเสาให้แสงสว่างได้ไกลพอสมควร มองเห็นสนามเด็กเล่นอยู่ลิบสายตา
ห่างจากจุดที่เธอนั่งเป็นแหล่งรวมนักดนตรีและนักแสดงเปิดหมวกทุกประเภทก็ว่าได้ หากเสียงดนตรีที่เคยโปรดปรานกลับไม่ทำให้เธอรู้สึกตื่นตัวและอยากยิ้มออกมาสักนิด หัวใจของแพรนรีหนักอึ้ง อยากปิดเปลือกตาลงและลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแบบจำอะไรไม่ได้
“เธอควรจะเสียใจกับคนเลวๆ พวกนั้นไหม...แพรนรี” หญิงสาวถามตัวเอง ขยับลุกขึ้นยืนและเดินห่างออกไปจากเสียงเครื่องดนตรีเหล่านั้น แต่เสียงทักทำให้เธอชะงัก
“กำลังคิดถึงรสจูบของฉันอยู่หรือไง” เสียงนุ่มทักมาไกลๆ
หญิงสาวรีบยันตัวลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองเจ้าของเสียงทรงพลังที่ทักเธอ รอยยิ้มของคนข้างหลังเหมือนจะกระชากหัวใจเธอออกมาเสียให้ได้ ผู้ชายอะไรยิ้มมีพลังงานดึงดูดเป็นบ้า แต่หญิงสาวก็เชิดหน้าตอบกลับไปอีกอย่าง
“ฉันบอกไปแล้วว่าฉันไม่เคยยึดติดแค่รสจูบฉาบฉวย คุณตามฉันมาทำไมอีก”
“แล้วเธอคิดว่ามีอะไรที่น่าให้คนอย่างฉันตามมาไหมล่ะ”
“ก็ไม่รู้สิ...แต่คุณก็ตามฉันมาแล้ว” หญิงสาวตอบอย่างท้าทาย กระแทกความรู้สึกของชายหนุ่มอย่างจัง เขาไม่เคยต้องโดนผู้หญิงคนไหนตอบกลับอย่างไม่แยแสแบบนี้
“มั่นใจอย่างนั้นเลยหรือ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม ล้วงมือใหญ่ลงในกระเป๋า ยืนในท่วงท่าสบายๆ
แพรนรีขยับตัวลุกขึ้นยืน “ถ้าคุณบอกว่าไม่ได้ตาม ฉันก็หวังว่าจะไม่เห็นหน้าคุณอีก” เธอบอกพร้อมกับเดินออกไปจากตรงนั้น
ชายหนุ่มอึ้งไปกับคำตอบกลับเจ็บแสบของเธอ ขาที่เตรียมจะก้าวชะงักเอาไว้อย่างนั้น ถ้าตามไปก็เป็นเหมือนอย่างที่เธอปรามาสก็เสียเชิง
ผู้หญิงอย่างนี้น่าปราบให้เลิกพยศบนเตียงมากกว่าจะมายืนเถียงอยู่กลางสวนสาธารณะ แน่นอนว่าในหัวสมองของเขายังมีไม้เด็ดเอาไว้จัดการเธอหลายอย่าง
คิดถึงตรงนั้นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปากหยักของเขา ผู้หญิงที่กล้าท้าทายผู้ชายอย่างฮาริส เธอจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสม เขาก้าวหันหลังกลับไปทางที่เขาเพิ่งจากมา
ฮารีสมองตามแพรนรีจนเธอเดินหายลับสายตา สายตาและคำพูดหมางเมินของเธอยิ่งทำให้เขาอยากได้
ปลายเท้าเล็กของแพรนรีพาร่างอ้อนแอ้นเดินมาจนสุดปลายทางด้านหนึ่งของสวนซูริกฮอร์น คนละฝั่งกับที่เธอนั่งเมื่อสักครู่ เพราะตรงนี้เป็นสวนจีนซึ่งได้รับมอบเป็นของขวัญจากคุนหมิงที่ชาวเมืองถือเป็นเมืองคู่แฝดของซูริก
แพรนรีล้มตัวนอนบนพื้นหญ้า ใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะของตัวเองไว้ ทอดสายตามองไกลออกไป เวิ้งฟ้าทมิฬเบื้องหน้าก็เหมือนหัวใจของเธอตอนนี้ มันยังอยู่ที่เดิม หากแต่มืดมนไร้แสง
น้ำอุ่นใสรื้นขึ้นมา ไหลออกทางหางตาอย่างไม่รู้ตัว เธอปล่อยให้มันไหลออกมาอย่างนั้น ไม่รับรู้ถึงอุณหภูมิที่ลดต่ำลงสักนิด
เธอกำลังคิดถึงบ้าน คิดถึงไออุ่นจากอ้อมอก คิดถึงคำปลอบโยนนุ่มนวล หากแต่ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้คือต้องเข้มแข็ง ดึงสติเติมพลังงานให้ตัวเอง