“น้องไอริส! เอ่อ คุณแดนไท...ทำไมไม่บอกล่ะคะว่าคุณเป็นเจ้าของบริษัท วันนั้นพี่จุ๊บแจงอาจทำเสียมารยาทต้องขอโทษด้วยนะคะ...”
พอเดินลงจากเวที จุ๊บแจงที่รู้แล้วว่านายแบบที่เธอเอาแต่หาข้อมูลนั้นเป็นใคร เธอรีบวิ่งเข้ามาหาไอริส แต่ก็ต้องตกใจเมื่อนายแบบจำเป็นนั้นเดินตามไอริสลงมาด้วย
“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ งั้นผมขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ”
และแดนเทพก็เดินเลี่ยงออกไป เมื่อชุดที่ใส่ไม่ได้เหมาะกับเขาเลยสักนิด
“อ๊ายยยย คนอะไรหล่อแล้วยังมารยาทดีด้วย นี่ถ้าสนใจเข้าวงการพี่จุ๊บแจงดันเต็มที่เลยนะคะเนี่ย!”
“พอเถอะค่ะ เขารวยขนาดนั้นคงไม่สนใจหรอก อีกอย่างเขามีหลายบุคลิกด้วย ถ้าพี่จุ๊บแจงอยากได้คนบ้ามาร่วมงานก็เชิญค่ะ”
ไอริสพูดออกมาอย่างไม่สนใจ ก่อนจะเดินเลี่ยงไปที่ห้องแต่งตัวทั้งๆที่ในใจเอาแต่คิดถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกคนที่เดินแบบด้วยกัน
“อะไรนะ! ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
“กลับไปที่คอนโดแล้วค่ะ คุณอีวานบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณแดนไทจะดีขึ้นค่ะ”
“ไอ้ลูกคนนี้นี่! โตขนาดนี้แล้วยังไม่มีหัวคิดอยู่อีก ให้คนเอารถมา ฉันจะไปดูมันสักหน่อย”
“ค่ะ”
ทางด้านคุณแดนนี่ที่รู้แล้วว่าแดนไทอยู่ที่ไหนสั่งให้เอารถออกทันที ถึงจะโกรธกับสิ่งที่ลูกชายทำแต่ความเป็นห่วงก็มากกว่าอยู่ดี
“อ่าว คุณพ่อไปไหนเหรอครับ?”
แดนเทพที่พึ่งเดินออกมาจากห้องแต่งตัว และเห็นบิดาเดินขึ้นรถไปแล้วถามขึ้น ก่อนที่เจนจิตจะหันกลับมามองเขา
“คุณแดนเทพ...เอ่อ พอดีท่านประธานจะไปหาคุณแดนไทน่ะค่ะ เอ่อ เจนจิตต้องขอโทษด้วยนะคะกับเรื่องเข้าใจผิด...”
คุณเจนจิตพูดขึ้นอย่างรู้สึกขอโทษพร้อมกับรู้สึกขอบคุณแดนเทพในเวลาเดียวกัน เพราะแดนเทพทำให้งานลุล่วงไปอย่างไร้ปัญหา
“ครับ ผมเข้าใจ...งั้นผมคงต้องขอตัวก่อน อ้อ ถ้าคุณ...เจนจิตรู้สึกผิดกับผมจริงๆก็ช่วยดูแลคุณพ่อและพี่ชายของผมต่อไปนานๆด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”
พูดจบแดนเทพก็เดินหนีไปทันที ปล่อยให้คุณเจนจิตได้แต่มองตามอย่างพูดไม่ออก เมื่อสิ่งที่แดนเทพขอนั้นเธอสามารถทำให้ได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว เพราะปกติก็ทำอยู่
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมมือแกถึง...”
พอได้เจอลูกชาย คุณแดนนี่ถึงกับกลืนคำด่าทอลงคอไปทันที เมื่อมือของแดนไทถูกพันรอบเอาไว้จนดูน่ากลัว เขาเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าของบุตรชายพร้อมกับมองจ้อง
“แกกลับไปก่อน ลุงมีเรื่องต้องคุยกับแดนไท”
“เอ่อ ครับ...”
อีวานรีบเดินไปหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกจากห้องพักของแดนไทไป เมื่อดูท่าสองพ่อลูกต้องคุยกันยาวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเขาเองก็ไม่ได้รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่ทำให้แดนไทเป็นไปได้มากถึงขนาดนี้
“บอกฉันมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คุณแดนนี่ถามขึ้น เมื่อได้อยู่กันตามลำพังแล้ว
“ผมต่างหากที่ต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่งานนั่น”
แต่แดนไทกลับถามกลับพร้อมกับมองมือที่พันแผลนิ่ง
“มันเป็นเหตุสุดวิสัยและคนในงานก็เข้าใจผิด แล้วทำไมแกไม่โผล่ไปที่งาน ถ้าไม่ได้น้อง...แกรู้ไหมเกือบทำให้งานล่ม และงานนั่นก็เป็นงานสำคัญของแกด้วย แล้วทำไมถึงไม่ไป แกมีเรื่องอะไรถึงไม่ไปที่งานห๊ะ”
“ผมจะกลับไปอยู่อังกฤษ”
พอได้ยินประโยคนี้คุณแดนนี่ถึงกับพูดไม่ออกไปทันที เพราะกว่าแดนไทจะยอมกลับมาที่ประเทศไทยก็ใช้เวลาไปเป็นสิบๆปี นี่อยู่ยังไม่ถึงปีดีด้วยซ้ำจะกลับอังกฤษเสียแล้ว เขาไม่มีวันยอมเด็ดขาด
“ถ้าแกยังพูดไร้สาระอีก ฉันกับแกขาดกัน!”
คุณแดนนี่บอกขึ้นก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปโดยทิ้งให้แดนไทได้แต่นั่งนิ่ง เมื่อนี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่บิดาพูดคำๆนี้กับเขา
“เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย!! หรือมีอะไรเกิดขึ้น...แค่ไม่กี่เรื่องที่ทำให้แดนไทเป็นแบบนี้ได้...”
คุณแดนนี่ที่ขึ้นมานั่งบนรถอดสงสัยไม่ได้ ก่อนจะสั่งให้คนขับ ขับรถไปยังบ้านพักของอดีตภรรยา เมื่อเขาคิดว่าคงต้องเกี่ยวกับการกลับมาของทั้งสองคนนั่นแน่
“อ่าว คุณพ่อ ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ?”
“พ่อมาเจอแม่ของลูกน่ะ ไม่เจอกันนาน พ่อขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้ดูแลลูก...อยากได้อะไรก็บอกพ่อนะ ถ้าช่วยได้พ่อก็จะช่วย”
“ครับ...เอ่อ คุณแม่น่าจะอยู่ในห้องนั่งเล่น...”
“อืม ไปพักเถอะ พ่ออยากคุยกับแม่น่ะ”
“ครับ”
แดนเทพอดนึกเป็นห่วงมารดาไม่ได้ แต่ก็ยังเดินเลี่ยงขึ้นไปด้านบนเมื่อบิดาบอกมีเรื่องจะคุยกับมารดาตามลำพัง
“คุณนา”
“คุณ...มาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ก็...ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณหน่อยน่ะ ขอนั่งได้ไหม”
“ได้สิคะเดี๋ยวฉันไปเอาน้ำให้ รอก่อนนะคะ”
คุณนัยนามีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออดีตสามีปรากฏตัวขึ้นก่อนจะรีบลุกเดินไปเอาน้ำมาให้คุณแดนนี่
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า ทำไมคุณมาหาดิฉันที่นี่ล่ะคะ”
“คุณไปหาแดนไทมารึเปล่า?”
“...................”
พอเจอคำถามนี้ คุณนัยนาถึงกับเงียบไปทันที ทำเอาสิ่งที่คุณแดนนี่คิดนั้นถูกทางแล้ว
“คุณผิดข้อตกลงของเรา ทำไมคุณถึงไปหาลูกทั้งๆที่เราตกลงกันแล้วว่าอย่าไปเจอลูกเด็ดขาด”
“ฮึก...ฮือๆๆๆ ก็ฉันคิดถึงลูกนี่คะ ฮือๆๆๆ”
คุณนัยนาถึงกับร้องไห้ออกมา เมื่อเธอพยายามมาได้ถึง 20 ปีแล้วแท้ๆ แต่พอลงมาเหยียบแผ่นดินไทยอีกครั้งเธอก็ทนต่อไปไม่ไหวอีก
“คุณเป็นคนเลือกทางเดินทุกอย่างเอง ต่อไปนี้ถ้าลูกไม่มาเจอก็อย่าไปเจอลูกอีก ผมเองก็ไม่อยากเสียลูกไปอีกเหมือนกันถือซะว่าผมขอร้อง”
พูดจบ คุณแดนนี่ก็เดินกลับออกไปทันที เขาเองก็ไม่อยากเสียลูกชายไปอีกคนหลังจากต้องเสียภรรยาและลูกชายคนเล็กไปเมื่อ 20 ปีก่อน
ส่วนคุณนัยนาตอนนี้เอาแต่นั่งร้องไห้ราวจะขาดใจจนแดนเทพที่ได้ยินรีบวิ่งลงมา ร่างใหญ่โอบกอดมารดาเอาไว้แน่น
“อย่าร้องเลยครับคุณแม่ ให้เวลาเขาอีกสักพักนะครับ”
แดนเทพได้แต่ปลอบมารดาอย่างที่เคยทำมาตลอด ตั้งแต่ที่มารดาพาเขาออกมาจากบ้านหลังใหญ่ที่เคยอบอุ่นจนกระทั่งตอนนี้
ปิ๊บ!
‘แม่แกจะไม่มายุ่งกับแกอีก อย่าหนีไปไหนแล้วกลับมาทำงาน ฉันมีแค่แกคนเดียวเข้าใจใช่ไหม?’
เสียงข้อความในโทรศัพท์ทำให้แดนไทต้องหยิบมันขึ้นมาดูและก็พบว่ามาจากคุณแดนนี่บิดาของเขา และพออ่านจบแดนไทก็ต้องหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าในความคิดของตัวเขาเอง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการหรือไม่โหยหามารดา แต่ตลอดเวลาที่มารดาทิ้งเขาไปไม่มีวันไหนที่เขาไม่โหยหา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาทั้งโกรธเคืองและโกรธแค้นก็คือการที่มารดาทิ้งเขาเอาไว้คนเดียวแล้วเลือกที่จะพาเพียงแค่น้องชายฝาแฝดของเขาไปด้วยโดยทิ้งเขาเอาไว้กับบิดาเพียงสองคน
“จะกลับมาทำไม...”
แดนไทได้แต่พูดขึ้นราวกับเสียงกระซิบ ตอนนี้เขาถูกเปิดแผลที่มีในใจมาโดยตลอด เขาอยากจะหนีไปอีกครั้งแต่กลับทำไม่ได้เมื่อยังมีบิดาที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่อีกคน