กุ้ยหนิงอันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ครั้งนี้พ่อออกมาปกป้องและไล่บ้านใหญ่ไปต่อหน้าทุกคน แต่เธอกลัวว่าพ่อจะโดนชาวบ้านประณามว่าอกตัญญู
“พ่อไม่เป็นไรใช่ไหม”
“พ่อไม่เป็นไร ครั้งนี้บ้านใหญ่ทำเกินไปจริง ๆ”
หลังจากนั้นความสงบสุขจึงกลับมาสู่ครอบครัวบ้านรองอีกครั้ง
สุดท้ายก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน พ่อกับแม่พูดเพียงว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อกับแม่จะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ เราจะฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน เพียงแค่นี้กุ้ยหนิงอันคิดว่าเธอไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากคำว่าครอบครัว
นี่ก็หนึ่งสัปดาห์แล้วที่กุ้ยหนิงอันกลับมาอยู่บ้าน วันนี้เลยตั้งใจว่าจะเข้าไปหางานทำในตำบล เผื่อว่าจะมีงานอะไรให้เธอทำบ้าง หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ กุ้ยหนิงอันจึงนั่งเกวียนออกมาพร้อมน้องทั้งสองคน
“แยกกันตรงนี้นะพี่ใหญ่ ผมกับเจ้าสามต้องรีบไปโรงเรียน”
“ตกลง เลิกเรียนแล้วรีบกลับนะ พี่จะซื้อของอร่อยไปฝาก”
“ครับ/ครับ”
เมื่อแยกจากน้องทั้งสอง กุ้ยหนิงอันจึงเดินดูสองข้างทาง จนสายตามาเห็นป้ายประกาศรับพนักงานเสิร์ฟในภัตตาคารอาหารที่ใหญ่ที่สุดในตำบล
“ฉันมาสมัครงานค่ะ” กุ้ยหนิงอันบอกกับพนักงานของร้าน
“ตามมาเลยค่ะ ฉันจะพาไปห้องผู้จัดการ” พนักงานสาวยิ้มให้ ก่อนจะเดินพาเข้ามาด้านใน
ทว่าภายในภัตตาคารเกิดความวุ่นวายเล็กน้อยเมื่อพนักงานคนหนึ่งสื่อสารกับชาวต่างชาติไม่ได้ ทำให้ลูกค้าต่างชาติกลุ่มนี้เริ่มไม่พอใจ
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ” ดูแล้วลูกค้ากลุ่มนี้จะเป็นคนเยอรมัน กุ้ยหนิงอันจึงใช้ภาษาเยอรมันโต้ตอบ
เมื่อมีคนสื่อสารและพูดภาษาตัวเองได้ ใบหน้าของลูกค้ากลุ่มนี้จึงดูพอใจขึ้นมาบ้าง
“คุณช่วยบอกเขาหน่อยว่าอาหารทั้งหมด เราไม่ขอให้มีกุ้งผสมอยู่ ในกลุ่มของพวกเรามีคนแพ้อาหารอย่างนี้อย่างรุนแรง”
กุ้ยหนิงอันจึงมองเมนู บางอย่างมีกุ้งเป็นตัวหลัก เธอจึงเงยหน้าถาม “หากไม่ต้องการกุ้ง คุณสามารถเปลี่ยนเป็นปลาได้ไหม หรือว่าแพ้อาหารทะเลทั้งหมด”
“ไม่ ๆ พวกเราทานปลาได้ เลยต้องการเปลี่ยนกุ้งเป็นปลา แต่เหมือนพนักงานจะไม่เข้าใจ”
“โอเค ฉันจะแจ้งพนักงานให้ โปรดรออาหารตามคิวนะคะ ขอให้อร่อยกับอาหารมื้อนี้”
จากนั้นกุ้ยหนิงอันจึงหันมาบอกพนักงานที่ยืนหน้าซีดอยู่ว่าลูกค้าต้องการอาหารที่สั่งไปทั้งหมด แต่เมนูไหนที่มีกุ้งให้เปลี่ยนเป็นปลาทั้งหมดเช่นกัน
หลังจากที่คลี่คลายสถานการณ์เรียบร้อย พนักงานจึงพากุ้ยหนิงอันไปพบผู้จัดการร้านทันที เมื่อได้ฟังพนักงานเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้าให้ฟัง
ผู้จัดการจึงไม่รีรอที่รับเธอเข้าทำงาน ตัวเขาแม้จะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่ไม่เหมือนกับพนักงานใหม่คนนี้ที่พูดได้หลายภาษา
ในที่สุดกุ้ยหนิงอันได้งานทำตามคาด และเริ่มงานในอีกหนึ่งอาทิตย์ เมื่อรู้ว่ามีงานทำแล้วกุ้ยหนิงอันจึงเดินไปตลาดของตำบลเพื่อจับจ่ายซื้ออาหารไปเลี้ยงฉลองกับครอบครัวเนื่องจากเธอได้งานทำ แต่ไม่ลืมแวะไปรษณีย์เพื่อส่งจดหมายให้ซีซวนเพื่อสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเธอ
เมื่อครอบครัวรู้ว่ากุ้ยหนิงอันได้งานทำแล้ว ต่างก็ดีใจยกใหญ่ ไม่คิดว่าจะหางานง่ายขนาดนี้ กุ้ยหนิงอันเองก็ไม่บอกเพราะอะไร เพียงแต่ยิ้มให้กับความดีใจของทุกคน
วันเวลาล่วงเลยเข้ากลางเดือนธันวาคม หิมะเริ่มตกหนักขึ้น การเดินทางแม้จะลำบากไปบ้าง แต่ยังเดินทางได้ นี่ก็ครบสามเดือนแล้วที่กุ้ยหนิงอันกลับมาอยู่บ้าน อีกไม่นานก็ปีใหม่ เธอได้ยินว่าภัตตาคารหยุดช่วงปีใหม่เจ็ดวัน ให้พนักงานได้อยู่กับครอบครัว
หากเป็นยุคที่เธอจากมา ช่วงปีใหม่หรือเทศกาลย่อมเป็นช่วงที่กอบโกยเงินทอง
วันนี้กุ้ยหนิงอันมาทำงานด้วยท่าทางอิดโรย สามสี่วันมานี้เธอรู้สึกเวียนหัวไม่มีแรง ได้กลิ่นอาหารก็รู้สึกเหม็นไปหมด จนเพื่อนพนักงานอดที่จะถามไม่ได้
“อันอันไม่สบายหรือเปล่า จะหยุดพักก็ได้นะ” พนักงานอีกคนถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันยังไหว เลิกงานฉันตั้งใจจะไปโรงพยาบาลเสียหน่อย”
เธอพอจะรู้ร่างกายตนเองแต่ไม่มั่นใจ อีกทั้งหลังจากคืนนั่นประจำเดือนเธอไม่มาอีกเลย โอกาสที่เธอจะท้องนั้นเป็นไปได้สูง
“ไปก่อนเถอะ ลางานสักครึ่งวันคงไม่เป็นอะไร”
“ลางานสักครึ่งวันเถอะ ฉันจะบอกผู้จัดการให้”
เมื่อเพื่อนพนักงานต่างคะยั้นคะยอกุ้ยหนิงอันจึงตัดสินใจที่จะลางานครึ่งวัน จะได้รู้กันไปเลยว่าเธอท้องหรือเปล่า
โรงพยาบาลประจำตำบล
กุ้ยหนิงอันเดินออกมาจากห้องตรวจด้วยใจที่เลื่อนลอย คำตอบของหมอยังดังก้องอยู่ในหู ‘ยินดีด้วยค่ะคุณแม่ คุณตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว’
ไม่ใช่ไม่ดีใจที่ในท้องเธอมีอีกหนึ่งชีวิต เพียงแต่ตกใจและหวั่นวิตกว่าจะบอกครอบครัวอย่างไรกับเรื่องนี้ พ่อกับแม่จะอับอายไหมเมื่อรู้ว่าลูกสาวที่ทั้งสองภาคภูมิใจตั้งท้องโดยไม่มีสามี ครั้งนั้นบ้านใหญ่ยังตราหน้าเธอไว้ว่าเธอจะท้องไม่มีพ่อ
หลังจากจ่ายเงินและรับยา กุ้ยหนิงอันจึงรีบกลับบ้าน เธอตั้งใจแล้วว่าจะไม่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง แม้เธอจะถูกตราหน้าว่าอย่างไรเธอพร้อมที่จะรับ ต่อให้ลูกไม่มีพ่อ เธอขอเป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับลูกที่จะเกิดมาด้วยตนเอง
กลับมาทางด้านซีซวน วันนี้คล้ายกับฟ้าผ่ากลางใจของเธอ เธอไม่คิดว่าเพียงคืนนั้นจะทำให้เธอมีเลือดเนื้อเชื้อไขติดตัวมาด้วย ทว่าเรื่องนี้เธอกลับไม่กล้าบอกกับบิดา เพราะกลัวว่าท่านจะเสียใจกับสิ่งที่เธอได้กระทำจนตั้งท้องขึ้นมา
และเธอไม่หวังว่าจะให้ชายคนนั้นกลับมารับผิดชอบ ในตอนนี้เท่าที่เธอรู้ข่าว คุณชายรองแห่งตระกูลหลันเดินทางไปเรียนต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านเธอจึงเข้าไปหาบิดาในห้องทำงานเพื่อบอกกล่าวสิ่งที่เธอตัดสินใจเมื่อไม่นานมานี้
“พ่อค่ะ ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย”
“ลูกมีเรื่องอะไรจะคุยกับพ่อเหรอ ทำไมสีหน้าดูซีดเซียวแบบนั้นล่ะ” นายท่านซ่งเดินออกมาจากโต๊ะทำงานเพื่อดูลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาด้วยความเป็นห่วง
“พอดีว่าฉันต้องการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศด้านบริหารน่ะค่ะพ่อ พ่ออนุญาตหรือเปล่าคะ”
“ถามใจพ่อ หลังจากที่ลูกเรียนจบและกลับมาครั้งนั้น พ่อไม่อยากให้ลูกห่างกายอีก แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของลูก พ่อจะไม่ห้ามและหวังว่าครั้งนี้เมื่อเรียนจบลูกจะไม่ไปไหนอีก ซวนซวนรู้ใช่ไหมว่าลูกคือดวงใจของพ่อ สิ่งที่พ่อสร้างขึ้นมาทั้งหมดก็เพื่อลูก เมื่อไหร่ที่ไม่มีพ่อแล้ว ซวนซวนของพ่อจะได้ไม่ลำบาก”
ซีซวนรู้ดีว่าเธอนั้นเป็นแก้วตาดวงใจของบิดา แต่ครั้งนี้มันจำเป็น เมื่อไหร่ที่ลูกในท้องคลอดออกมาและโตพอ เธอจะกลับมาอีกครั้งและบอกท่านว่าเธอทำผิดไปแล้ว แต่ถ้าหากเธอท้องโย้ในเวลานี้แล้วไม่สามารถตอบได้ว่าใครเป็นพ่อของลูก เธอกลัวว่าชื่อเสียงของบิดาที่สร้างมาจะเสียชื่อไปด้วย
ซีซวนโถมตัวกอดบิดาน้ำตาซึม เธอได้แต่ขอโทษในใจ และคิดว่าเธอควรจะไปเยี่ยมเพื่อนสนิทสักครั้ง และหวังว่ากุ้ยหนิงอันจะไม่เจอเรื่องเดียวกับเธอ
นายท่านซ่งได้แต่แปลกใจ เพียงแค่ขอไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำไมซีซวนของเขาต้องร้องไห้น้ำตาซึมด้วย
กลับมาทางด้านกุ้ยหนิงอัน เมื่อรู้ถึงร่างกายของตัวเองว่ามีลูกน้อยอยู่ในท้อง หลังจากจ่ายเงินและรับยาแล้ว จึงมุ่งหน้ากลับมายังบ้านเพื่อมาเจอครอบครัว
“อันอัน ทำไมวันนี้กลับมาเร็วล่ะลูก แล้วทำไมเอาเสื้อกันหนาวถือไว้ อากาศเช่นนี้ไม่หนาวเหรอลูก”
กุ้ยจื่อหลงเอ่ยทักเมื่อเห็นลูกกลับมาเร็วกว่าปกติ อีกทั้งอาการของลูกคล้ายกับคนใจลอย เสื้อกันหนาวที่ใส่ไปเมื่อเช้ากลับถือไว้เสียอย่างนั้น
“พ่อคะ แม่อยู่ไหม ฉันมีเรื่องจะคุยกับพ่อแม่ค่ะ”
ระหว่างทางกลับมา เธอตั้งใจแล้วว่าจะบอกเรื่องราวทั้งหมดกับพ่อแม่ เพื่อไม่ให้ท่านทั้งสองและน้องชายฝาแฝดอับอาย เธอจะขอออกไปใช้ชีวิตอยู่นอกหมู่บ้านแทน อย่างน้อยเธอก็เป็นขี้ปากเพียงคนเดียว
เมื่อสามคนพ่อแม่ลูกนั่งกันพร้อมหน้า กุ้ยหนิงอันจึงตัดสินใจบอกเรื่องที่เธอท้องออกมา
“พ่อ แม่ ฉันท้อง!”
ใบหน้างามอาบไปด้วยน้ำตา ไม่ใช่เจ็บปวดที่กำลังจะมีลูก แต่เธอเจ็บปวดที่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจและผิดหวัง
“เกิดอะไรขึ้น อันอันบอกกับพ่อได้ไหม ลูกพ่อท้องแล้วยังไง ท้องเราก็เลี้ยง ยังไงเจ้าก้อนแป้งก็หลานพ่อ”
น้ำเสียงของกุ้ยจื่อหลงสั่นเครือเล็กน้อย ไม่ใช่ไม่เสียใจกับคำสารภาพของลูกสาว เพียงแต่เขาเป็นพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เขาต้องเข้มแข็งให้ลูกเห็น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ เขายินดีจะเกาะกุมมือลูกสาวที่เขาเลี้ยงมาให้ผ่านปัญหาไปด้วยกัน
“นั่นสิอันอัน ลูกเล่าให้พ่อกับแม่ฟังได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ปักกิ่ง อันอันไม่ต้องกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ พ่อกับแม่จะคอยพยุงลูกเอง” จางหานกล่าวขึ้นมาอีกคน
ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวของเธอจะต้องผ่านไปให้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกเหรอ เธอกำลังจะมีหลานตัวน้อยแล้ว