กลับมาทางด้านกุ้ยหนิงอันและซีซวน กุ้ยหนิงอันตกใจเมื่อเพื่อสนิทหยิบยื่นเงินให้ จึงร้องถามเสียงหลง
“เธอให้เงินฉันทำไมเสี่ยวซวน”
“รับไว้เถอะ ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาเธอส่งเงินให้กับครอบครัวนั้นแทบจะเป็นเงินเดือนทั้งหมดของเธอ กลับบ้านครั้งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหางานได้ หากเธอเกรงใจคิดเสียว่าฉันให้ยืม เมื่อไหร่ที่มีเธอค่อยคืนฉัน เชื่อเถอะวันหนึ่งเราทั้งสองต้องได้เจอกันอีก”
สำหรับซีซวนเธอไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เงินแค่นี้ไม่ทำให้เธอลำบากหรอก
กุ้ยหนิงอันเกรงใจ แต่ก็จริงอย่างที่ซีซวนพูด กลับไปใช่ว่าเธอจะหางานทำได้เลย จึงตัดสินใจว่าเอามาแค่สามร้อยหยวนก็พอ
“เธอเอาไปห้าร้อยหยวนก็แล้วกัน ความจริงเงินหนึ่งพันหยวนมันไม่มากเลยนะอันอัน”
“ไม่มากสำหรับเธอ แต่มากสำหรับฉัน”
“เอาเถอะ เรื่องซวงฟางฉันให้คนจัดการแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะส่งเธอขึ้นรถไฟ และจะสั่งให้คนกลบรอยของเธอให้เอง หากเธอไม่อยากให้ผู้พันจิ้งพบเจอ ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถของฉันย่อมต้องทำได้ หากฉันยังอยู่เซี่ยงไฮ้”
“แล้วเธอไม่คิดว่าคุณชายรองหลันจะตามหาเธอพบเหรอ ตระกูลหลันยิ่งใหญ่แค่ไหน เธอก็น่าจะรู้”
“ฉันรู้ แต่นักธุรกิจบางประเภทจะไม่ทับเส้นกัน เธอเข้าใจใช่ไหม”
“อืม ฉันเข้าใจ”
กุ้ยหนิงอันเข้าใจทุกอย่าง แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเพื่อนเธอถึงเอาร่างกายเข้าช่วยคุณชายรองหลันล่ะ ทำไมไม่แจ้งคนของตระกูลหลัน
“เธอไม่ถามเหตุผลเหรอว่าทำไม”
“ไม่ล่ะ ฉันเชื่อว่าเธอมีเหตุผลที่เอาตนเองเขาไปช่วยคุณชายรอง”
“จากกันพรุ่งนี้ ไม่รู้เมื่อไหร่เราทั้งสองจะได้พบกันอีก”
กุ้ยหนิงอันซึ้งใจในความมีน้ำใจของซีซวนตลอดมา สุดท้ายไม่คิดว่าทั้งสองจะถึงเวลาแยกจากกันเร็วขนาดนี้
“มันต้องมีสักวันที่เราทั้งสองได้พบกัน ฉันสัญญา” ซีซวนให้คำมั่นสัญญา
เมื่อถึงเวลาเข้านอนทั้งสองต่างก็ยังพูดคุยกันจนเหนื่อยและหลับไปในที่สุด
วันต่อมากุ้ยหนิงอันและซีซวนต่างก็ร่ำลาจิงซือและสามีอยู่พักใหญ่ จากนั้นทั้งสองจึงหิ้วสัมภาระเดินออกมาตรงถนน เมื่อมาถึงกลับมารถยนต์คันหรูจอดรออยู่แล้ว คราวนี้กุ้ยหนิงอันไม่แปลกใจเลยทำไมเรื่องเอกสารของเธอจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับซีซวน
“เชิญครับคุณหนู” คนขับรถเดินมาเปิดประตูให้ทั้งสองคน ก่อนจะขึ้นมาประจำที่คนขับจากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟเพื่อนรักต่างก็ร่ำลาด้วยน้ำตาอีกครั้ง ก่อนจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในแบบฉบับของตนเอง และหวังว่าสักวันหนึ่งทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้ง
ซีซวนนั่งอยู่ในรถส่วนตัว เธอได้แต่คิดและทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าตนเองทำผิดหรือไม่ที่ยอมมอบกายให้กับชายที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของเธอ
เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าคฤหาสน์ตระกูลซ่ง ซีซวนจึงคิดว่าเธอควรจะทิ้งความทรงจำทุกอย่างไว้ที่ปักกิ่ง เหลือเพียงความทรงจำของเธอและเพื่อนสนิทอย่างกุ้ยหนิงอันเท่านั้นก็พอ
ทันทีที่เดินเข้ามาด้านใน เธอกลับเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยที่แสนจะอ่อนโยนมองมาทางเธอพร้อมกับอ้าแขนรออ้อมกอดของเธอด้วยรอยยิ้ม
“กลับมาแล้วคนเก่งของพ่อ”
นายท่านซ่ง เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์และขนส่งทางน้ำที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่และกระจายไปอีกหลายมณฑล เอ่ยเย้าบุตรสาว
“กลับมาแล้วค่ะ พ่อคิดถึงซวนซวนไหม ซวนซวนไม่อยู่พ่อแอบมีใครหรือเปล่า”
“ร้ายนักนะเรา พ่ออายุปูนนี้แล้ว ถ้าอยากจะหาแม่ใหม่ให้ลูกพ่อควรจะหาตั้งแต่ลูกยังเล็กแล้ว พ่อจะเลี้ยงดูลูกสาวเพียงคนเดียวทำไม พูดแบบนี้คนแก่แบบพ่อก็น้อยใจเป็นนะ” นายท่านซ่งทำเสียงคล้ายเจ็บปวด แต่ซีซวนรู้ว่าพ่อของเธอนั้นแกล้งน้อยใจ
“พ่อของซวนซวนยังไม่แก่เสียหน่อย กลับมาครั้งนี้ลูกจะไม่ไปไหนอีกแล้วค่ะ ซวนซวนสัญญา”
กลับมาคราวนี้เธอตั้งใจศึกษางานของครอบครัว เพื่อที่เธอจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้เป็นพ่อบ้างไม่มากก็น้อย นายท่านซ่งเมื่อเห็นบุตรสาวกล่าวเช่นนั้นจึงยิ้มจนหน้าบาน ลูกน้องคนสนิทได้แต่ยิ้มกับภาพสองพ่อลูกตรงหน้า
“ไปเถอะ พ่อให้แม่บ้านเตรียมอาหารของโปรดของลูกไว้เยอะเลย กลับมาเหนื่อย ๆ อาบน้ำก่อนเถอะ พ่อจะรอที่ห้องอาหาร”
นายท่านซ่งกล่าวขึ้น บุตรสาวของเขากลับมาเหนื่อย ๆ จึงอยากให้ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนค่อยลงมาทานอาหารด้วยกัน
ซีซวนเองก็พยักหน้า ก่อนจะหอมแก้มบิดาซ้ายขวาด้วยความคิดถึง จากนั้นจึงเดินขึ้นชั้นบน ในใจนั้นคิดว่านี่สิคือคนที่รักและหวังดีกับเธอจริง ๆ อะไรที่เสียไปแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ ความสุขของเธอคืออยู่กับบิดาอย่างนายท่านซ่งคนนี้คนเดียวเท่านั้น
การเดินทางของกุ้ยหนิงอันใช้เวลาเกือบสิบห้าวัน เนื่องจากเธอแวะเที่ยวและพักใจหลายสถานที่พร้อมกับซื้อของฝากให้พ่อกับแม่รวมถึงน้องชายฝาแฝดทั้งสองคน
เมื่อมาถึงเมืองกุ้ยโจว กุ้ยหนิงอันจึงต่อเกวียนเพื่อกลับเข้าหมู่บ้านอิงซู ชาวบ้านหลายคนเห็นเธอต่างก็แปลกใจ ลูกสาวบ้านรองหายไปทำงานเกือบปีในที่สุดก็กลับมาแล้ว อีกทั้งใบหน้าของกุ้ยหนิงอันกลับไม่ซีดขาวดูเหมือนคนอมโรคอย่างเช่นเมื่อก่อน
“พ่อคะ แม่คะ อันอันกลับมาแล้ว”
หลังจากจ่ายเงินค่าเกวียนแล้ว กุ้ยหนิงอันจึงร้องเรียกพ่อกับแม่ด้วยน้ำเสียงอันสดใส
“อันอัน ลูกกลับมาแล้ว”
จางหานอยู่บ้านเพียงคนเดียวรีบเดินออกมาหน้าบ้าน เมื่อเห็นว่าใครมาคนเป็นแม่ได้แต่น้ำตารินด้วยความดีใจ ในที่สุดลูกสาวก็กลับมาบ้านแล้ว
“อันอันกลับมาแล้วค่ะ พ่อกับสองแฝดไม่อยู่เหรอคะ”
“พ่อไปช่วยงานบ้านหม่า ส่วนสองแฝดยังไม่กลับจากโรงเรียน แล้วนี่ทำไมข้าวของมากมายเช่นนี้ล่ะลูก หรือว่า…”
“ใช่ค่ะ อันอันกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิมแล้วค่ะ ขอพักอีกสักหน่อยค่อยไปหางานทำในตำบล อันอันอยากกลับมาอยู่กับทุกคน”
กุ้ยหนิงอันเลือกที่จะปิดบังความจริง เธอคิดว่านั่นเป็นเพียงฝันร้าย ในเมื่อตัดสินใจกลับมาบ้านเธอขอเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็แล้วกัน
“ดีแล้วลูก กลับมาอยู่บ้านเรา อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ลืมมันเสียเถอะนะ” จางหานคิดว่ากุ้ยหนิงอันจะนึกถึงเรื่องที่บ้านใหญ่บังคับให้แต่งงานจึงบอกกล่าวไปแบบนี้
“ค่ะแม่ วันนี้เราต้องฉลองกันหน่อยแล้ว ฉันซื้อข้าวของมาฝากทุกคนรวมถึงแวะซื้ออาหารที่ตลาดมาด้วย ฉันช่วยแม่ทำอาหารรอพ่อและน้องดีกว่า”
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ เสียดายเงินแย่ ตอนนี้เราเข้าบ้านก่อนเถอะ แม่เบื่อสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านจะแย่แล้ว”
จางหานยิ้มรับก่อนจะช่วยกุ้ยหนิงอันยกข้าวของทั้งหมดเข้าบ้าน
สองแม่ลูกพูดคุยกันเล็กน้อยเพื่อให้หายความคิดถึง จากนั้นจึงเข้าครัวเพื่อทำอาหารมื้อเย็นไว้รอทุกคน
กุ้ยจื่อหลงได้ยินชาวบ้านพูดว่ากุ้ยหนิงอันกลับมาแล้ว จึงรีบจัดการงานให้เสร็จก่อนจะวิ่งกลับมาบ้านอย่างเร็ว
เมื่อมาถึงพบว่าอันอันกลับมาแล้วจริง ๆ ภาพที่เห็นคือทั้งลูกทั้งภรรยาต่างช่วยกันทำอาหารด้วยรอยยิ้ม ในเวลานี้ครอบครัวเขาพร้อมหน้าแล้วสินะ แม้จะไม่รู้ว่าอันอันของเขาจะกลับไปทำงานที่ปักกิ่งอีกหรือไม่
“อ้าวพ่อ กลับมาแล้วเหรอคะ”
กุ้ยหนิงอันหันมาเห็นพ่อยืนอยู่ตรงประตูห้องครัว เธอจึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
“อันอันกลับมาแล้ว”
กุ้ยจื่อหลงยิ้มเต็มใบหน้า นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เห็นหน้าลูกสาวคนนี้ แม้เขาและอันอันจะเขียนจดหมายหากันทุกเดือนก็ตาม แต่เพียงแค่จดหมายมันจะไปหายคิดถึงได้อย่างไร
“ใช่แล้วพี่หลง อันอันของพวกเรากลับมาอยู่บ้านแล้ว” จางหานเป็นฝ่ายตอบสามีแทนกุ้ยหนิงอัน
“จริงเหรอ ลูกกลับมาอยู่บ้านเราแล้วใช่ไหม”
น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อบ่งบอกได้อย่างยิ่งว่าดีใจนักที่ลูกจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
“จริงค่ะ ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง ตั้งใจว่าจะหางานทำอีกสักพักแล้วค่อยขยับขยายหาอะไรขาย ตรงทางเข้าหมู่บ้านก็ไม่เลวนะคะ ฉันเชื่อว่ายังไงก็ต้องขายได้
เพราะถนนเส้นนี้ตัดผ่านหลายหมู่บ้าน อีกทั้งประเทศพัฒนาขึ้นมาก ไม่แน่ว่ารัฐอาจจะตัดถนนลาดยางผ่านกลายเป็นถนนหลักอีกเส้นหนึ่งก็ได้”