กว่าจ้าวหนิงหลงจะจัดการพระมารดาและเฉินจินเยว่ได้ก็กินเวลาไปไม่น้อยเลย ร่างสูงเดินกลับตำหนักด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะมีความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้ายของตนเองแน่น เหงื่อกาฬพลันไหลผุดขึ้นตามกรอบหน้างดงามนั้นจนชุ่มจ้าวหนิงหลงพิงตัวเองเข้ากับผนังด้านหนึ่งของตำหนักเพื่อใช้เป็นหลักยึดมิให้ตนเองต้องล้มไป
ทุกปีอาการนี้ของเขาจะกลับมาเล่นงานอย่างน้อยปีละหนึ่งถึงสองครั้งหรือทุกครั้งที่ร่างกายอ่อนล้ามากเกินไป เหตุเพราะจ้าวหนิงหลงเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนเมื่อครั้งสงครามใหญ่ตอนรวบรวมแคว้น เขาในฐานะแม่ทัพต้องนำกองทัพเรือนแสนบุกตะลุยเข้ายึดเมืองหลวงแคว้นต้าฮวางแต่ด้วยฝีมือแม่ทัพเฒ่าฝ่ายตรงข้ามแม้ว่าจะแก่ชรามากแค่ไหนแต่คนผู้นั้นก็ยังเต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บ
พวกเขาต่อสู้กันอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะแม่ทัพของทั้งสองฝ่าย ก่อนที่แม่ทัพต้าฮวางผู้นั้นจะเป็นผู้พ่ายแพ้ไปและปลิดชีวิตตัวเองเพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ไม่อาจเอาชนะศัตรู จ้าวหนิงหลงในตอนนั้นเข้าไปห้ามปรามอีกฝ่ายไว้ไม่ทันดังนั้นจึงได้แต่ทนมองแม่ทัพผู้ห้าวหาญคนนั้นสิ้นลมหายใจไปต่อหน้า หากแต่ลูกน้องคนสนิทของท่านแม่ทัพเฒ่ากลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ทั้งยังใช้จังหวะนั้นในการลอบทำร้ายเขาเพื่อหมายฆ่าล้างให้ตายตกตามกัน
จ้าวหนิงหลงที่ไม่ทันระวังตัวจึงถูกอีกฝ่ายใช้ดาบแทงเข้ามาในอกซ้ายแผลหนึ่งแม้ว่าจะไม่ลึกมากจนถึงขั้นจบชีวิตเขาได้ในทันที แต่ดาบนั้นกลับเคลือบอาบไปด้วยยาพิษ จนเขาในตอนนั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอดโชคดีที่หมอหลวงในกองทัพยังพอมีฝีมืออยู่บ้างจึงสามารถรั้งชีวิตเขาเอาไว้ได้ทันเวลา แต่เพราะพิษนี้ร้ายแรงนักจึงไม่สามารถกำจัดไปได้ทั้งหมดแม้ว่ามันจะไม่สามารถคร่าชีวิตของเขาได้แต่ก็ยังคงทำให้เขาได้รับความทรมานมาตลอด
"ห้ามดื่มสุรา ห้ามคิดมากวิตกกังวล ห้ามทำงานหนัก ห้ามต่อสู้หากไม่จำเป็น" คือข้อแนะนำที่ท่านหมอสั่งให้เขาทำตามอย่างเคร่งครัดเพื่อรักษาอาการมิให้มันกำเริบขึ้นมา
"มารดามันเถอะ!" เจ้าหนิงหลงในตอนนั้นได้แต่สบถออกมาอย่างแค้นใจ เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นทั้งยังเป็นองค์ชายที่ถูกจับตามองหากไม่สามารถนำทัพได้แล้วจักมีคุณค่าใดอีก ฉายาเทพสงครามของเขาต้องจบลงเพียงเท่านี้หรือ แน่นอนว่าจ้าวหนิงหลงมิมีวันยอม ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีในตอนนั้น ยังมิมีใครรู้ได้แน่ชัดว่าเสด็จพ่อของเขาจะยกบัลลังก์แก่ผู้ใด
หากอำนาจตกอยู่ในมืออีกฝ่ายซึ่งเป็นพี่ชายทั้งสี่ผู้ถือกำเนิดจากฮองเฮาพระองค์ก่อน จ้าวหนิงหลงที่ถูกพี่ชายทั้งสี่จับตามองและคิดแค้นจงเกลียดจงชังกันที่เพราะการถือกำเนิดของเขาทำให้มารดาของทั้งสี่คนต้องตาย พวกเขาต้องอาศัยจังหวะนั้นในการแก้แค้นเขาและกำจัดเฉินฮองเฮากับลูกๆ ของนางที่ยืนข้างเขาทิ้งเป็นแน่ ซึ่งจ้าวหนิงหลงมิมีวันยอม
ทั้งที่มารดาของพวกเขาต้องการปองร้ายเขากับพระมารดาก่อนแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าคนเป็นพี่ชายเหล่านั้นจะไม่มีความเห็นใจน้องชายต่างมารดาเช่นเขาที่ต้องเสียแม่ไปแต่เยาว์วัยเลยสักนิด จ้าวหนิงหลงต้องเติบโตขึ้นมาในวังหลวงโดยใช้ชีวิตระวังทุกย่างก้าว แม้ว่าเขาจะมีเฉินฮองเฮาผู้เป็นฮองเฮาคนปัจจุบันรับเอาไว้เป็นลูกบุญธรรมเลี้ยงดูเขามาอย่างดีตั้งแต่เล็กดั่งลูกแท้ๆ ก็ตามที
ท่ามกลางไฟสงครามที่ยังลุกโชนจ้าวหนิงหลงจึงเลือกที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แม้ว่าเขาจะเลือกใช้แผนการในการนำทัพมากกว่าการใช้แรงเพื่อชดเชยไม่ให้ร่างกายต้องหักโหมมากไป แต่เขายังคงออกนำทัพด้วยตนเองเสมอและอดทนต่ออาการเจ็บปวดนี้มาตลอดหลายปี ทุกครั้งที่อาการกำเริบแม้จะทรมานเป็นอย่างมากแต่จ้าวหนิงหลงก็ยังคงกัดฟันทนจนผ่านมาได้ท่ามกลางความเป็นความตายกลางสนามรบที่ต้องชิงไหวชิงพริบกัน
มิมีใครได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาต้องทรมานกับเรื่องนี้มากแค่ไหนนอกจากตัวเขาเอง ความเจ็บปวดที่รู้สึกราวกับถูกคมมีดกรีดลงไปกลางใจซ้ำๆ นับหมื่นแผลมันทรมานเขาทุกครั้งจนแทบยืนไม่อยู่หลายครั้งที่มันเกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้แต่เพราะความอดทนและไหวพริบในการเอาตัวรอดจึงทำให้เขาสามารถประคองชีวิตตนเองจนรอดพ้นมาได้
ความลับนี้แม้แต่เฉินไทเฮาผู้เป็นพระมารดาก็ยังมิทรงรู้เรื่องทั้งหมด พระนางพยายามคาดคั้นถามเพราะได้ยินเรื่องอาการบาดเจ็บของเขาทั้งยังเคยพบว่าเขาอาการกำเริบต่อหน้า แต่จ้าวหนิงหลงในตอนนั้นก็อดทนปกปิดเอาไว้และบอกพระนางว่าตนเองไม่เป็นอะไรมาก ก่อนจะกลับตำหนักไปเพื่อแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้เพียงผู้เดียว
เขาจำต้องปกปิดเรื่องนี้จากทุกคนแม้ว่าวันนี้ตนเองจะเป็นถึงฮ่องเต้แล้วก็ตาม อาการป่วยนี้จึงมีเพียงเขาและหมอหลวงเท่านั้นที่รู้ความจริงทุกอย่าง นั่นเพราะมิอยากให้คนที่เป็นห่วงเขาต้องกังวล อีกประการหนึ่งเพราะไม่ต้องการเผยจุดอ่อนของตนเอง
มือเรียวของชายหนุ่มตอนนี้จึงได้แต่กุมอกซ้ายของตนเองแน่นด้วยสีหน้าทรมาน ภาพตรงหน้าพร่าเลือนเกินไปจนเขาไม่สามารถเดินต่อไปได้ทั้งที่ประตูตำหนักอยู่ไม่ไกลแล้ว โชคดีที่ตรงนี้เป็นด้านข้างตำหนักในจุดที่ผู้คนไม่ค่อยผ่านไปผ่านมานักจึงทำให้เขาแน่ใจได้ว่าคงไม่มีใครมาพบเห็น
กระทั่งสายตาพร่าเลือนนั้นกวาดไปพบเข้ากับใครบางคนที่กำลังเร่งเดินเข้ามาหาก่อนที่ทุกอย่างจะชัดเจนจนเขารู้ว่านางคือหลี่ซู