9 - เจ้าชายรถไฟฟ้า
เช้าวันต่อมา
นอร์ทตื่นขึ้นมา ความรู้สึกเมื่อคืนทำไมผมเหมือนฝันไปเลยเพราะว่าผมเข้าสู่ห้วงนิทราไปเจอกับเมืองเนรมิตแห่งหนึ่งที่มีแต่สีชมพูพร้อมฟองสบู่ลอยไปมาร่ายล้อมไปทั่วเมือง เหมือนเจ้าของเมืองคือตัวผม มันเป็นความฝันแสนแฟนตาซียิ่งกว่าผมอ่านนิยายแล้วคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายในเมืองเวทมนตร์บับเบิ้ลทาวน์
“ฝันแปลกเหมือนกันนะเนี่ย”
ผมมองดูนาฬิกาดิจิตอลบนฝาผนังข้างเตียงพบว่าเวลาตอนนี้ใก้ลจะหกโมงเช้า ทำไมผมลืมปิดโคมไฟสีชมพูที่ส่องมาที่ขวดฟองสบู่ของผมทุกครั้งเลย มันน่าแปลกเหมือนกันนะยังไม่ได้แก่สักหน่อย อัลไซเมอร์ผมถามหาตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าแล้วเหรอ
ผมเดินไปเปิดผ้าม่าน สิ่งที่ผมเห็นคือแสงพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องไปทั่วเมืองแล้ว แสงดวงอาทิตย์บอกเวลาเช้าวันใหม่ จะว่าไปทำไมตาผมดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับแสงของโลกใบนี้เลย เวลาเห็นพระอาทิตย์แล้วหวาดกลัวตัวละลายเหมือนแวมไพร์ไปได้ ผมเห็นว่าเช้าแล้ว ผมเดินไปปิดโคมไฟพร้อมหยิบขวดฟองสบู่คู้ใจออกไปด้วย ผมจะได้เป่าเพื่อตามหาความรักที่ผมคิดว่ากำลังรอให้ผมพบเจอ มันอยู่บนโลกใบนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“วันนี้ผมต้องตามหาความรักให้เจอนะเจ้าบับเบิ้ลบอยของผม” ผมส่งจูบให้ขวดฟองสบู่เพื่อให้มันทำปฏิกิริยาในการตามหาความรักที่ผมอยากได้มันมากที่สุด ผมหวังว่าเจ้าฟองสบู่พวกนี้จะบันดาลพรหมลิขิตให้ผมหาคนที่ใช่เจอก่อนจากโลกนี้ไป
อีกด้านหนึ่ง
“จะไปแบบนี้จริง ๆ เหรอ”
มิสเตอร์นอร์ทโปล ผู้อาศัยอยู่ขั้วโลกเหนือในอิกลูที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชนิด แปลงสัญญาณจากดินแดนหนึ่งมาใช้กำลังไฟอีกดินแดนหนึ่ง เพราะผมอยากให้ทุกคนที่อยู่ในทีมเห็นว่าโลกมนุษย์ใช้อะไรดำเนินชีวิต ผมไม่คิดเลยว่ามนุษย์จะพัฒนาของแบบนี้มาให้ใช้ อาจจะยุ่งยากแต่ใช้แล้วสะดวกสบายขึ้นมากเลย
ผมหรือที่ทุกคนเรียกว่ามิสเตอร์นอร์ทโปล มันเป็นชื่อทางการที่ผมอยากให้ลูกทีมผมเรียก แต่จริง ๆ ผมหุ่นหมีอยากให้เรียกว่าแบร์ฮักมากกว่าเพราะหุ่มผมเหมือนหมีทุกประการ ไม่ได้ตัวใหญ่มากแต่กอดแล้วอบอุ่นยิ่งกว่าไมโครเวฟที่มนุษย์ใช้กัน
“จริงสิครับ คุณแบร์ฮัก”
“มันคืออะไร”
“รถไฟฟ้าไงครับ”
ผมชื่อกีต้าร์ นามสกุลนอร์ทโปล ซึ่งเป็นนามสกุลที่ทุกคนในทีมใช้เวลาอยู่ที่นี่เสมอ ตอนนี้ทุกคนออกเดินทางไปในโลกมนุษย์แล้ว ผมกับไลท์กำลังเอารถไฟฟ้ามาเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง มันเป็นครั้งแรกที่เราสองคนจะได้ใช้รถคันนี้เดินทางสะดวกขึ้น วิธีใช้น้ำมันไม่ต้อง ไฟฟ้าล้วน ๆ แล้วผมกับไลท์พกตู้ชาร์จรถไฟฟ้าไปด้วยเสมอ ไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าชาร์จเลย
“ไม่ใช่ที่วิ่งบนสะพานเหรอ”
“อันนี้รถยนต์ไฟฟ้าครับ” ไลท์หัเราะเล็กน้อยเพราะเขาไม่รู้ว่ามีของสิ่งนี้อยู่บนโลกใบนี้ ปกติพวกเราเดินทางไปกับการหายตัวไปอีกมิติหนึ่งบ้าง ไปรถไฟสายสีรุ้งจากขั้วโลกเหนือวิ่งตรงไปที่โลกมนุษย์เป็นทางลับ หรืออีกวิธีหนึ่งก็ไปเจ้ากวางเรนเดียร์แสนน่ารักที่อยู่เฝ้าเป็นสัตว์เลี้ยงหน้าอิกลูของทุกบ้านเลยก็ว่าได้
“งั้นผมจะไปโลกมนุษย์ก่อนนะ”
“ตามสบายเจ้าไลท์ แต่ว่าอย่าไปเปิดไฟให้คนสงสัยล่ะ” ผมเองเคยเดินทางไปโลกมนุษย์แล้ว แค่มาเก็บของจะได้เดินทางไปยังคอนโดแห่งหนึ่งที่ผมได้ซื้อไว้และจะเข้าพักเป็นการเฉพาะกิจ ผมจะได้มาสืบเรื่องราวในโลกมนุษย์เพราะเห็นว่าเขากำลังเดินทางผิด ทำเรื่องไม่ดี บางปลายในอนาคตได้ ผมและทุกคนจะช่วยโลกมนุษย์ที่กำลังเดินทางผิดให้กลับเข้ามาอยู่ในเส้นทางเอง ผมถือว่าผมช่วยในทางที่ดีแล้ว
ซ่า ๆ แกร๊ก ๆ
“ไอ้ไลท์ มึงกลืนพลังงานไฟฟ้าจากรถกูหรือไง” กีต้าร์ขับรถไฟฟ้าไปตามถนนสายหนึ่งของขั้วโลกเหนือที่ผู้คนที่เกิดมา สร้างมันด้วยเวทมนตร์และกำลังใจที่ดีที่สุด เมื่อหลายคนรู้ว่าผมซื้อรถไฟฟ้าจากโลกมนุษย์มาขับ พวกเขาจึงสร้างทางให้ผมขับเป็นถนนส่วนตัวไปก่อน
ผมขับรถไปได้พักหนึ่ง ทำไมรถสตาร์ทไม่ติด ผมหันไปหาไลท์เพื่อนรักในทีมของผมด้วยความหงุดหงิดใจเพราะไลท์มันเป็นมนุษย์ไฟฟ้าดูดกลืนพลังงาน และมันอาจเป็นสาเหตุทำให้รถยนต์ผมใช้งานไม่ได้
“กูไม่เกี่ยวนะ”
“มึงเป็นมนุษย์ไฟฟ้ามึงต้องกินไฟฟ้าเป็นอาหารหลักอยู่แล้วนะ” พวกเราถือว่าใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์จนกลายเป็นวัวลืมตืนไปแล้วหรือไง แต่ละคนมีความสามารถพิเศษกันเยอะมากแต่พอไปโลกมนุษย์ เวทมนตร์บางอย่างใช้งานไม่ได้และไม่กล้าใช้มัน เกิดคนสงสัยแล้วเป็นข่าวใหญ่ เมืองนอร์ทโปลที่พวกเราอยู่จะมีคนบุกรุกมาทดลองจนเกิดความวุ่นวายไปหมด
“สตาร์ทไม่ติด เอาตู้ชาร์จไฟมา”
“แล้วอยู่กลางถนนจะเอาไฟหลักที่ไหนมาต่อใช้ล่ะ” เราสองคนติดอยู่กลางถนนแล้วไม่รู้ว่าจะชาร์จไฟรถยังไงเพราะตอนนี้อยู่กลางถนน รถตายอยู่แบบนี้จะให้ผมเดินทางยังไงต่อไปถึงโลกมนุษย์ ผมว่าผมมีวิธีเดินทางโดยไม่ต้องขับเองให้เสียเวลาแล้วล่ะ
“เอางี้ไลท์ ไปทั้งคนทั้งรถนี่แหละ”
ทางด้านนอร์ท
ผมเดินทางมาที่สถานีรถไฟฟ้าแห่งหนึ่งเพื่อมาขึ้นไปยังปลายทางที่ผมอยากไป ผมแตะบัตรแล้วไปยืนรอที่ชานชาลาบริเวณรถไฟฟ้าวิ่งสวนทางไปมา ปกติเวลานี้ผมชอบมายืนรอฆ่าเวลาหยิบขวดฟองสบู่มาเป่าเวลารอรถไฟฟ้ามาอยู่แล้ว
ฟรู้ววว
ผมชอบทำตัวเป็นเด็กทุกวันไปได้ เวลาหยิบขวดฟองสบู่ออกมาเป่า มันเหมือนตัวตนผมกำลังล่องลอยไปหาความรักจากใครบางคนที่อยู่อีกมุมหนึ่งของโลกใบนี้ ขณะที่ผมเป่าฟองสบู่แหงนหน้าไปมองป้ายสถานี สีของป้ายสะดุดตาผม เพราะป้ายเป็นสีสายรุ้งพร้อมข้อความว่า North Pole Station ถ้าแปลเป็นภาษาไทยคือขั้วโลกเหนือ ว่าแต่มันคือสถานีอะไรไม่เคยเห็นมาก่อน
ฟิ้ววว
ผมตกใจเมื่อรถไฟสายสีรุ้งกำลังเคลื่อนผ่านตัวผมไป ตัวขบวนยาวมากจนผมมองไม่เห็นปลายขบวน ผมตกใจรีบหลบอยู่มุมทางเดินเพราะสิ่งที่เห็นมันคือของจริงหรือว่าสิ่งหลอกตาผมเอง ผมมองดูรถไฟสายสีรุ้งกำลังเปิดประตูขบวนออกมา ผมถึงกับตกใจสุดขีดเพราะสิ่งที่เห็นมันทำให้ผมอธิบายชัดเจนในความชัดเจนไม่ได้
รถไฟฟ้าในรถไฟฟ้าอีกทีงั้นเหรอ
ทางด้านยูยิ้ม
“แขนแกเป็นไงบ้างเนี่ย”
ยูยิ้มนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานที่อยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองของห้องนอน นั่งเท้าคางด้วยมือทั้งสองข้าง มองท้องฟ้าสีสดใส ปุยเมฆราวกับขนมสายไหมสีรุ้งกำลังม้วนเป็นปุยให้ผมพร้อมกัดกิน เห็นสายรุ้งกำลังพริ้วไหวเหมือนสายริบบิ้นยิมนาสติก ผมนี่ชอบคิดอะไรเพ้อฝันเหมือนตัวเองอยู่ในโลกดิสนีย์เหมือนกันนะเนี่ย
“ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ยังมีแรงเป่าฟองสบู่อยู่นะ” แฟนต้ามองดูเพื่อนรักผ่านหน้าจอพบว่าเขากำลังเป่าฟองสบู่ลอยออกไปนอกหน้าต่าง ทำแบบนี้ทุกวันจนผมต้องซื้อให้มันทุกวันเพื่อเอาไปเป่าหาความรักที่อยู่บนโลกใบนี้ ผมไม่รู้ว่าความเชื่อของเขามาจากศาสตร์ไหน ฟังดูเหมือนมันเป็นเรื่องจริงเลย ผมไม่กล้าไปลบล้างความเชื่อเขาหรอก
ฟรู้ววว
“กูจะเป่าจนกว่าความรักจะเข้ามาเอง” ผมตั้งมั่นว่าผมจะเป่าฟองสบู่จนกว่าจะตามหาความรักเจอ ในขณะที่ผมกำลังเป่าให้ฟองลอยออกไปนอกหน้าต่าง ผมเห็นฟองลอยกลับเข้ามาเต็มห้องทำเข้าหูเข้าตาไปหมด ผมถึงกับลับตาสำลักฟองไปหมด ผมไม่รู้ว่ามันลอยมาจากไหนถึงได้ลอยใส่ผมขนาดนี้ทำผมสำลักจนมองอะไรไม่เห็น ลอยเข้าตาเข้าหูจนจมฟองสบู่ไปแล้ว
“ยูยิ้ม มึงเป็นอะไรหรือเปล่า ฮัลโหลลล”