ผ่านมาสองร้อยปี นางก็คือนางไร้ความเห็นใจผู้อื่น เห็นประโยชน์เป็นสำคัญ เพียงแต่ลดความโหดเหี้ยมลงไปแล้ว บัดนี้หากจะสอดเรื่องผู้อื่นย่อมต้องลงมือเพื่อให้ตนเองรอดและได้ประโยชน์สูงสุด
นางไม่คิดทำชั่วอีกขอเพียงทำความดีแล้วนางไม่ต้องลงนรกนางก็ยินดีทำสุดชีวิต
ฉีกงไต้ซือพยักหน้า
"ผู้ทำความดีย่อมได้รับผลตอบแทน โอกาสนี้เป็นของเจ้าแล้ว"
หลิวฉูฉู่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ตัดสินใจแน่วแน่
"ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่บังอาจใส่ร้ายพระชายาและทำร้ายหลินจื่อเว่ยจนถึงแก่ความตาย ข้าในฐานะพี่สาวสองร้อยปีจะจัดการมันและเรียกร้องความยุติธรรมให้เจ้าเอง ต่อไปข้าคือหลินจื่อเว่ย หลินจื่อเว่ยคือข้าทุกเรื่องปล่อยให้พี่สาวสะสางแทนเจ้าเอง"
คงเป็นเพราะอากาศเย็นเสียดแทงกระดูกภายนอกกำลังไหลเข้ามาทางหน้าต่าง สาวใช้ที่ซื่อสัตย์ของหลินจื่อเว่ยนามจินเจาที่นอนเฝ้าอยู่ปลายเตียงจึงตื่นขึ้นมา นางขยี้ตาและมองไปยังทิศทางของลมเย็นที่พัดโชย กระทั่งสายตาปะทะเข้ากับร่างเล็กของผู้เป็นนาย
"ท่านหญิง"
เสียงเรียกของจินเจาดึงความคิดฟุ้งซ่านของหลิวฉูฉู่ให้กลับมา นางหันมามองสาวใช้ที่เห็นเป็นเงามืดกำลังลุกขึ้นจากที่นอนพร้อมกับเดินมาหานาง
"ท่านหญิงนอนไม่หลับหรือเจ้าคะ ร่างกายท่านยังอ่อนแอทั้งยังไม่หายดีเปิดหน้าต่างเช่นนี้ไข้จะกลับเอาไว้นะเจ้าคะ พวกเราตอนนี้ไม่อาจเรียกท่านหมอได้ทุกเวลาเช่นเคย"
หลิวฉูฉู่ผินใบหน้างามไปมอง ปล่อยให้จินเจาปิดหน้าต่างอย่างเร่งร้อนพลางถูฝ่ามือตนเองแล้วจับมือของท่านหญิงของตน มือเรียวเล็กขาวผ่องนุ่มนิ่มนั้นเย็นเยียบคล้ายน้ำแข็งก้อนหนึ่ง
หลิวฉูฉู่รู้สึกสงสารตนเองอยู่เล็กน้อยที่ต้องมาอยู่ในร่างของหลินจื่อเว่ยผู้อ่อนแอ ยามนี้แม้แต่จะเอ่ยปากยังไม่อาจพูดได้ เพราะหากพูดเพียงไม่กี่คำนางก็จะไอออกมา หากไอเฉย ๆ ก็ไม่เท่าไหร่ทว่าทุกครั้งที่นางเริ่มไอจะหยุดไม่ได้กระทั่งมีเลือดติดออกมา อาการไอนี้หลินจื่อเว่ยนั้นเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว
ทั้งภูมิแพ้ หอบหืด หลินจื่อเว่ยล้วนเป็นทั้งหมดและอาการยังรุนแรงอีกด้วย
ที่ผ่านมาหลินจื่อเว่ยก็เลี้ยงแมวน้อยเช่นนางห่าง ๆ ไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง แต่หลิวฉูฉู่กลับชอบยิ่งนัก นางเป็นคนยโสจะให้คนอื่นสัมผัสร่างกายได้ง่าย ๆ ได้อย่างไร ดังนั้นการเป็นสัตว์เลี้ยงของหลินจื่อเว่ยจึงไม่นับว่าลดศักดิ์ลงแต่ประการใด
ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง หลินจื่อเว่ยอยู่ในฐานะท่านหญิงมีมารดาคอยดูแล เรื่องยาและการรักษาอันดีเลิศจึงไม่ได้ขาด
บัดนี้อยู่ในช่วงตกต่ำยาที่ได้รับจึงขาดคุณภาพไปมาก กระทั่งหมอในจวนยังไม่อาจจ่ายยาราคาแพงให้นางได้เช่นเดิม ช่างน่าอดสูนัก แต่หลิวฉูฉู่ไม่เกรงกลัว นางเก่งกาจเรื่องการรักษาและการวางยาคนยิ่งนัก สองร้อยปีที่ผ่านมานี้นอกจากฟังบทสวดแล้วทั้งวันก็เอาแต่จดจ้องไต้ซือผู้นั้นปรุงยารักษาคน
เพียงแต่ตอนนี้บ่าวของนางยังไม่อาจออกไปนอกจวนได้ คนที่ไว้ใจได้ก็ไม่มี ตอนนี้ต้องรักษาตนด้วยยาไร้ประสิทธิภาพพวกนี้ไปก่อน จนกว่าจะหาโอกาสออกนอกจวนและหาซื้อสมุนไพรมารักษาตนเองได้
เพียงแต่ยามนี้เงินติดตัวหลินจื่อเว่ยก็ไม่มีติดตัว เครื่องประดับล้ำค่าที่พอจะขายได้ก็ถูกพระชายาคนใหม่ยึดไปเสียหมด
เมื่อไม่มีเงินจึงเหมือนถูกตัดแขนตัดขา หลิวฉูฉู่จึงต้องคิดหาทางอย่างหนักเพื่อหาเงินก้อนใหญ่มารักษาร่างกายนี้ของตนเอง
อย่างน้อยยังมีเรื่องน่าดีใจอย่างหนึ่ง คนที่นางต่อสู้ด้วยร้ายกาจไม่น้อย ค่อยสมน้ำสมเนื้อที่จะสู้รบกับคนชั่วเช่นนางหน่อย
สิ่งแรกที่หลิวฉู่ฉี่คิด คือต้องหาคนหนุนหลังสักคน ทำศึกต้องหาทหารคอยคุ้มกัน หากไม่มีแล้วก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ว่าแต่ว่าคนที่พอจะพึ่งพาได้ยามนี้ จะมีผู้ใดกันนะ นางไม่เชื่อว่าท่านหญิงหลินจื่อเว่ยจะไร้ที่พึ่งพาจริง ๆ
น้ำเสียงของจินเจายังเอ่ยด้วยความรู้สึกเป็นกังวล ในขณะที่ปากอ้ากว้าง หาวจนน้ำตาเล็ด
"ถึงนอนไม่หลับก็กลับไปที่เตียงเถิดนะเจ้าคะ อย่างน้อยเตียงยังคงเป็นเตียงอุ่นบ่าวจะถือมือถูเท้าให้ท่านด้วย"
อีกโรคหนึ่งที่สตรีนางนี้เป็นก็คือโรคมือเท้าเย็น ให้ตายเถิด โรคคุณหนูพวกนี้หลินจื่อเว่ยผู้นี้ไม่พลาดเลยแม้แต่โรคเดียว
หลิวฉูฉู่ชี้ไปที่โคม จินเจาจึงรีบไปจุดโคมตามคำสั่ง หลิวฉูฉู่นอนไม่หลับคงเป็นเพราะนางเป็นแมวมาถึงสองร้อยปีจึงติดนิสัยไม่หลับไม่นอนตอนกลางคืนมามาก อย่างไรก็แก้ไม่หายยามนี้จึงพลอยทรมานจินเจาสาวใช้ผู้นี้ไปด้วย
จินเจาถือโคมมาวางใกล้ ๆ แล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง สองมือของนางเริ่มถูมือถูเท้าให้ท่านหญิงที่ตนเองรักยิ่งกว่าชีวิตอย่างเบามือ คงเพราะได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กไม่นานจินเจาก็สามารถทำให้มือและเท้าของท่านหญิงอุ่นขึ้นมาได้
หลิวฉูฉู่ไม่เคยรักผู้ใดมาก่อน ยิ่งเป็นสาวใช้แล้วยิ่งคิดว่าเป็นคนที่อยู่คนละชั้นกับนาง แต่คงเพราะอยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉานมาเนิ่นนานจึงทำให้ความรู้สึกระหว่างชนชั้นลดน้อยถอยลงไปมาก อีกทั้งยามที่เจ้าของร่างเดิมมีชีวิต จินเจาก็เป็นคนที่เลี้ยงดูแมวน้อยหลิวฉูฉู่ด้วยความรักใคร่แทนผู้เป็นนาย นางจึงมองจินเจาด้วยสายตาอ่อนแสงและขอบใจอย่างไม่ปิดบัง
หลิวฉูฉู่ยังคิดถึงหนทางหาเงินมารักษาตนเอง กระทั่งจู่ ๆ ก็คิดถึงใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ของคนผู้หนึ่งที่นางเคยเห็นอยู่ในภาพวาดยามที่หลินจื่อเว่ยแอบดูในยามค่ำคืนอยู่เสมอ
นางกระแอมเล็กน้อยแล้วเอ่ยคำหนึ่งออกมา
"หลินจื่อเว่ยมีคู่หมั้นใช่หรือไม่ เมื่อไหร่จะถึงกำหนดแต่งงาน"
กล่าวจบนางก็ไอจนสำลัก จินเจารีบส่งผ้าให้นางปิดปาก ใบหน้าซีดเผือด เอ่ยเพียงสั้น ๆ นายสาวก็ไอแทบเป็นแทบตายนานต่อเนื่องถึงหนึ่งก้านธูปกว่าจะดีขึ้น
แน่นอนว่ามีเลือดสีแดงติดอยู่ที่ผ้าสีขาวสะอาดด้วย อาการนี้ทำเอาเจาจินแทบจะหัวใจวายตายอยู่แล้วด้วยความกังวลใจ
"ท่านหญิง ท่านคงจมน้ำจนสติไม่ดีแล้ว ท่านคือท่านหญิงหลินจื่อเว่ยนะเจ้าคะ ไยพูดเหมือนคนผู้นั้นไม่ใช่ตนเอง"
หลิวฉูฉู่ไอออกมาอีกหลายคำ พยักหน้าพลางสูดหายใจ น้ำหูน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ในใจคิดว่า
ใช่ ข้าคือหลินจื่อเว่ย มิใช่หลิวฉูฉู่อีกต่อไป!
จินเจาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
"ท่านหญิงล้มป่วยหลายวัน บ่าวเองก็ไม่กล้าบอกเจ้าค่ะ ความจริงบ่าวได้ข่าวมาว่าท่านอ๋องไม่ต้องการให้คุณหนูแต่งให้โม่อ๋องแล้วเจ้าค่ะ บัดนี้ตำแหน่งคู่หมั้นจึงกลายเป็นของคุณหนูรองหลินหลงไปแล้วเจ้าค่ะ"
นางเงยหน้ามองเจาจินดวงตาแข็งกร้าว ไอสังหารแผ่ออกจากร่างของนางโดยไม่รู้ตัว จินเจาเองไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลินจื่อเว่ยมาก่อนจึงรู้สึกขนลุกชันและหายใจอึดอัดไม่ใช่น้อย
หลิวฉูฉู่ยามนี้ยอมรับแล้วว่าตนเองคือหลินจื่อเว่ย สายตาที่แสดงออกไปนั้นช่างอำมหิตนัก ในใจคิดอย่างเหี้ยมโหด
คู่หมั้นผู้นั้นคือทางรอดเดียวของข้าที่จะผงาดกลับมาดังเดิม สตรีหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทั้งนั้น!
เชิงอรรถ
1. ^ ยามจื่อ คือ เวลาประมาณเที่ยงคืน