หลังจากหมอกกลับไทยไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฟาร์รังก็ไม่ค่อยมีเวลาเช่นกัน เพราะคนตัวเล็กได้กลับไปเรียนใหม่และก็เริ่มเรียนรู้งานของพี่เลออนควบคู่ไปด้วย
กว่าพี่เลออนจะยอมให้คนน้องกลับไปเรียน และเข้าไปเรียนรู้งานที่บริษัทของพี่เลออน คนตัวเล็กถึงกับต้องร้องขอกัน ทั้งต่อรองทั้งเจรจากันอย่างเนิ่นนาน หลายครั้งต่อหลายครั้งกว่าคนพี่จะยอมตกลง
แถมยังจะมีข้อแม้อีกด้วยว่า ถ้าจะจ้างคนดูแลน้องฮาร์ฟ จะต้องให้เขาคนนั้นไปดูแลน้องฮาร์ฟที่บริษัทพี่เลออนเท่านั้น
แล้วแบบนี้ผมจะขัดอะไรได้ละครับ ?
แถมพ่อทูนหัวเล่นเนรมิตชั้นบนของประธานบริษัท ให้เป็นห้องพักผ่อนและสวนสนุกของหลานขนาดย่อม ๆ ไปเสียแล้วอีกต่างหาก
จนกระทั่งวันนี้ ฟาร์รังเพิ่งจะมีเวลาได้ลองเข้าไปดู IG ที่หมอกสร้างแอคทู่ซี้ท์ลับ ๆ ไว้ให้กับน้องฮาร์ฟ เมื่อฟาร์รังได้เห็นจำนวนคนที่กดติดตามน้องเป็นจำนวนเลขถึงห้าหลัก คนเป็นแม่รู้สึกแปลกใจมากทั้งๆ ที่น้องฮาร์ฟก็ไม่ได้เป็นคนดังแถมยังไม่มีผลงานเลยนี่นา แต่คงเป็นเพราะแต่ละรูปแต่ละคลิปที่หมอกอัพลง เสียงหัวเราะน้องฮาร์ฟทะลุจอมากจริง ๆ นั่นแหละ
ไหนจะมีบางคลิปที่จะได้เห็นรอยยิ้มกว้าง เวลายิ้มที่ทำให้โลกสดใสมาก ๆ เลยนั่นเอง แต่คนตัวเล็กคิดว่าจริงๆ แล้วคนตามเข้ามาดูเพื่อนซี้ตัวโตของเขา อ้อร้อคุยเล่นกับน้องฮาร์ฟซะมากกว่า
เพราะฟาร์รังลองตามเข้าไปส่องดูโปรไฟล์แต่ละคน ส่วนมากก็เป็นบรรดาคนที่ชอบหมอกอยู่ก่อนแล้วทั้งนั้น เลยมากกดติดตามน้องฮาร์ฟต่อ
แต่จะว่าไปเพื่อนซี้ตัวโตของเขาก็ไม่ได้ไก่กานะ หมอกนี่เป็นว่าที่อดีตเดือนมหาลัย ที่ไม่ยอมลงประกวดด้วยนะชอบเอาแต่บ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงหลีกหนีพวกรุ่นพี่ท่าเดียวเลย แล้วก็ไม่ค่อยจะมีใครได้เห็นหมอกในมุมงุ้งงิ้งๆ กับเด็ก ดังเช่นในแอคเคาท์ลับๆ น้องฮาร์ฟนี่ด้วย
เพราะตอนอยู่มหา’ ลัย หมอกมักจะทำแพรวพราวสดใสใส่เฉพาะคนที่สนใจเท่านั้นแหละ แต่ถ้าคนไหนที่มันไม่สนใจก็จะก่อกำแพงไว้สูงเชียว
ร่างบางคิดว่าเวลาชีวิตวุ่น ๆ ของตัวเอง บางครั้งมันก็ดีมาก เพราะมันทำให้สามารถลืมเลือนคน ๆ ไปได้บ้างในบางครั้ง
แต่ทว่าพอมีเวลาว่างเมื่อไหร่ หัวสมองไม่รักดีมันก็ยังนึกถึงเขาคนนั้นอยู่ในใจลึกๆ อยู่ดี เหตุผลจริงๆ ก็คงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจากว่า ผมไม่สามารถลืมเขาคนนั้นได้สักทีนั่นเอง
และฟาร์รังก็ไม่รู้ด้วยว่าภายในจิตใต้สำนึกของตนเองนั้นจะรักมั่นคงกับคนคนนั้นไปอีกนานขนาดไหน แถมช่วงนี้ก็ได้รับรู้ว่าคนคนนั้น เขามักจะมีข่าวการออกเดตอยู่บ่อยครั้ง
เนื่องจากกลุ่มน้องใบเฟิร์นได้ทักมาพูดคุยกับฟาร์รังด้วยกันทีไร น้องๆ ก็จะชอบรายงานเรื่องของพี่เฮอัปเดตนายแบบคนดังให้ได้ฟังอยู่เรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติอยู่ดี
ทว่าตอนนี้กลุ่มน้องๆ นั้นได้เข้าสู่ช่วงวัยเรียนชั้นมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ก็ยังมีติดตามข่าวคราวของคนคนนั้นแล้วนำมาอัปเดตข้อมูลบอกให้ฟาร์รังได้รู้ด้วยเสมอ
แต่ก็ช่างเขาเถอะครับ คงเพราะเส้นทางของผมกับเขานั้น
มันคงจะไม่สามารถมาบรรจบกันได้อีกแล้วในชีวิตนี้..
⍣
ตอนนี้น้องฮาร์ฟเข้าสู่ช่วงอายุได้ 7 ขวบแล้ว ซึ่งมีเพื่อนบ้านใหม่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านฝั่งตรงข้ามด้วย
เมื่อได้มาทำความรู้จักกันจึงได้รู้ว่า คุณบาโร เป็นคุณพ่อลูกติด ซึ่งลูกของเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับน้องฮาร์ฟเลย แต่ทว่ารูปร่างขนาดตัวจะเล็กกว่าน้องฮาร์ฟเจ้าลูกชายอยู่นิดหน่อย รู้สึกว่าจะชื่อ น้องบลู ซึ่งเป็นเด็กที่เจื้อยแจ้ว พูดเก่ง สดใสน่ารักมาก ๆ เลยล่ะ
แถมเวลาที่มาเล่นกับน้องฮาร์ฟ ก็ชอบเอาแต่เดินตามติดเจ้าฮาร์ฟต้อย ๆ เสมือนลูกเป็ดที่เอาแต่เดินตามหลังแม่เป็ดทุกย่างก้าวนั่นเอง น่ารักมากเชียวแหละ ส่วนเด็กที่ตัวโตกว่าก็เดินนำคนตัวเล็กด้วยใบหน้านิ่งๆ ขยันทำตัวเคร่งขรึมใส่คนตัวเล็กตลอด
แต่คนตัวเล็กกว่าก็ยังจะยิ้มสดใสกลับคืนให้คนหน้ามู่ทู่ตลอดอยู่ดี โดยที่ไม่ได้สนใจสักนิดว่าน้องฮาร์ฟจะทำหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
คนเป็นแม่แอบคอยลอบมองเด็กทั้งสองคน คอยสังเกตว่าคนลูกนั้นแม้นจะหน้าไม่ทู่ซี้ แต่ก็ไม่เคยโมโหหรือพลานโวยวายใส่น้องบลูเลยสักครั้ง ใจจริงก็คงไม่ได้รำคาญใจแบบที่แสดงออกทางสีหน้าออกมาหรอก
ก็น้องบลูน่ารักซะขนาดนั้น ใครจะโกรธได้ลงคอกันละ หึ หึ
ทุกคนคงจะแปลกใจกันว่า เอ๊ะ!ตอนแรกเกิด น้องฮาร์ฟก็อะเลิทสดใสนี่นา?! แล้วทำไมกลายเป็นเจ้าเสือน้อยยิ้มยาก หน้าเย็นชาไปแล้วละ?
ที่น้องฮาร์ฟกลายเป็นเสือน้อยไม่ยอมยิ้ม ก็เป็นเพราะตั้งแต่น้องฮาร์ฟได้เคล้นถามเรื่องพ่อที่แท้จริงของตนเอง กับฟาร์รังอีกครั้งนั่นเอง
มัมมี๊ แด๊ดดี๊ตัวจริงของน้องฮาร์ฟคือใครกันแน่ฮะ?!!
ครั้งแรก ตอนได้ยินน้องฮาร์ฟถามมาแบบนั้นออกมา ก็ทำให้คนเป็นแม่ช็อกมากเช่นกัน
ทำไมลูกถึงถามคำถามแบบนี้ออกมากันละ?
จนกระทั่งฟาร์รัง ได้มารู้จากปากพี่ชายของตนเอง เพราะพี่เลออนได้รุดเข้ามาขอโทษขอโพย เรื่องที่ไม่ระวังการพูดคุยระหว่างตนเองกับคุณเลขาเอริค
จนทำให้น้องฮาร์ฟดันไปได้ยินความจริงเข้านะสิ เมื่อน้องฮาร์ฟได้รับรู้เข้าก็กลายเป็นเจ้าหนูจำไม ไล่ต้อนถามจนพี่เลออนยอมแพ้ จึงต้องเอ่ยตอบความจริงบอกน้องฮาร์ฟออกไปอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากพี่เลออนได้บอกความจริงกับคนเป็นหลานไปแล้วว่า ตนเองนั้นเป็นเพียงแค่ลุงไม่ใช่พ่อแท้ ๆ
ช่วงที่น้องฮาร์ฟอายุได้เพียงแค่ 4 ขวบเท่านั้นเอง และคนเป็นแม่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะในเมื่อความจริง มันก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ
ฟาร์รังจึงต้องจำใจยอมบอกความจริงกับคนลูกไป หลังจากนั้นน้องฮาร์ฟจากที่เคยเป็นเด็กที่สดใส ยิ้มแย้มบ่อย ๆ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นเด็กที่เงียบขรึมขึนมาทันที
แม้นคนเป็นแม่รู้ว่าลูกของตนนั้นจะต้องรู้สึกใจสลายขนาดไหน เพราะคนเป็นแม่เองก็ใจสลายไม่ต่างกัน
ที่ต้องเห็นลูกเกิดความเสียใจ แต่กลับกลายเป็นว่า น้องฮาร์ฟเป็นฝ่ายที่เข้ามาโอบกอดมัมมี๊แน่น ๆ แทน พร้อมด้วยแววตาจริงจัง แถมยังพูดปลอบใจมัมมี๊สุดที่รักของตนอีกด้วย
“ผมจะดูแลมัมเองฮ่ะ จะไม่มีวันทำให้มัมมี๊เสียใจแน่นอน!!”
หลังจากวันนั้นน้องฮาร์ฟก็พยายามทำตัวเองให้ดูโตกว่าอายุจริง แถมยังคุยกับหมอกว่าอยากหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อที่จะทำให้มัมมี๊อยู่สุขสบาย เพราะไม่อยากให้มัมมี๊ของตัวเองลำบากเลยสักนิด ทั้งๆ ที่พี่เลออนก็ไม่ได้ปล่อยให้ฟาร์รังกับน้องฮาร์ฟได้ลำบากอะไรเลยสักนิด
ฟาร์รังก็เริ่มไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ในใจของเด็กที่มีอายุเพียง 7 ขวบนี่ มันมีอะไรที่ซับซ้อนจนยากกว่าคนเป็นแม่จะเข้าถึงอยู่หรือเปล่า?
และช่วงนี้มีงานถ่ายแบบเสื้อผ้าซึ่งเป็นแบรนด์ดังติดต่อเข้ามา น้องฮาร์ฟก็รบเร้าคนเป็นแม่ให้ตอบตกลงรับงานทันที ใจจริงฟาร์รังรู้สึกว่าไม่ได้อยากให้ลูกต้องไปทำงานเลยด้วยซ้ำ ช่วงอายุวัยแค่เพียงเท่านี้ก็ควรจะใช้เวลาในช่วงวัยเด็กกับแค่กับเรื่องเรียนและก็ควรจะเล่นสนุกให้เต็มที่สิ ไม่ใช่ต้องมาตรากตำทำงานหาเงินอะไรแบบนี้
แต่นี่เหมือนลูกผมก้าวข้ามคำว่าเด็กไปแล้ว!
ฟาร์รังคิดหนักกับเรื่องนี้ เพราะเขาอยากได้น้องฮาร์ฟที่สดใสคนนั้นกลับคืนมามากกว่า
นี่ผมกลายเป็นแม่ที่ทำให้ลูกลำบากหรือเปล่า ?
ลูกของผมไม่มีความสุขอยู่หรือเปล่า?
คนเป็นแม่กังวลใจ จนต้องแอบร้องไห้ตอนอยู่คนเดียวเสมอเลย...
⍣
Harf’ s Part
“เลออน ทำไมช่วงนี้มัมไม่ค่อยยิ้มเลย งานที่บริษัทหนักเหรอ”
“ไม่นิ ทำไมเหรอ เรานั่นแหละทำอะไรให้มัมเขาเป็นกังวลอยู่รึเปล่า” ประมุขของบ้านย่นคิ้วหันใบหน้าคมดุจับจ้องมองยังใบหน้าคนเด็ก พร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นมาจรดริมฝีปาก
เมื่อคนเป็นหลานเจอคำตอบที่เป็นเชิงถามแบบนี้กลับมา จึงทำให้ตระหนักได้ว่า หรือมันอาจจะเป็นเพราะตัวเองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเป็นแม่กังวลใจอยู่
เป็นเพราะฮาร์ฟเหรอ?
มีหลายคนแอบสงสัยเช่นกันว่าทำไมเด็กแบบฮาร์ฟที่เป็นหลาน แต่ดันเรียกคนเป็นลุงแค่เพียงชื่อเฉยๆ ว่า เลออน โดยไม่ยอมใส่สถานะให้ ฮาร์ฟจึงลองคิดนึกย้อนกลับไปแล้วทำใจเรียกแบบเดิมไม่ได้แล้ว แถมยังเคยเอ่ยปากถามกับเลออนเรียบร้อยแล้วด้วยว่าจะเรียกแค่ชื่อห้วนๆ เลยได้ไหม สรุปเลออนตอบกลับมาว่าโอเค
"ก็แล้วแต่เลย เพราะไม่ได้ซีเรียสเรื่องชื่อหรือสถานะ แต่ขอแค่ยังเคารพซึ่งกันและกันให้เกียรติกันก็พอ"
แถมเลออนยังเคยแซวฮาร์ฟกลับด้วยเลยว่า “จะไม่เรียกเลออนว่า แด๊ดดี้ อีกแล้วรึ?”
หลานตัวแสบจึงตอกกลับไปทันทีเช่นกันว่า “ก็เพราะใครกันละ กลัวคนที่ตัวเองชอบจะเข้าใจผิด เลยต้องรีบบอกความจริงอันโหดร้ายให้กับเด็กแค่ 4 ขวบเชียวล่ะ”
ยามที่ได้นึกถึงตอนนั้นทีไร หลังจากที่ฮาร์ฟได้ยินครั้งแรกผมเสียใจแทบตาย ผมคิดแต่ว่าเลออนโกหก เลออนต้องแกล้งให้ผมเสียใจแน่ ๆ แต่ตาลุงนี่ก็ไม่ปรานีเด็กแบบผมเลยสักนิด แถมยังบอกว่าลองไปเสริทดูชื่อคนคนนี้ดูสิ
และผมก็ได้เข้าใจแล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นพ่อผมจริง ๆ
เหอะ
หน้าตาของสองเราเหมือนกันอย่างกับแกะขนาดนี้ ยกเว้นเพียงแค่สีผมกับสีดวงตาเท่านั้นแหละ ที่ฮาร์ฟได้มาจากมัมมี๊ฟาร์รัง
แต่เสียใจด้วยนะที่ผมจะไม่มีวันเรียกคนคนนั้นว่า พ่อ เด็ดขาด!
ก็ในเมื่อเขาไม่เคยรับรู้ และก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวของสองเรา ทั้งเรื่องของมัมมี๊กับผมที่ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้แล้วเลยสักนิดนี่นา โถ่ว แล้วจะไปแคร์เขาทำไมกัน
ผมก็จะทำเป็นไม่รู้จักเขาด้วยเช่นกัน หึ
⍣
วันนี้ฟาร์รังพาน้องฮาร์ฟมาถ่ายแบบแบรนด์เสื้อผ้า ที่กำลังเป็นที่นิยมของเด็กวัย 5-10 ขวบปี
ร่างบางก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ว่าทำไมแบรนด์ดังระดับนี้ถึงติดต่อเข้ามาเอง แถมทางบริษัทแจ้งมาเองว่าเพราะเห็นแอคเคาท์น้องฮาร์ฟและได้เห็นผลงานที่น้องฮาร์ฟที่เคยไปถ่ายแบบเสื้อผ้าเด็กตั้งแต่ช่วงวัย 4 ขวบปีกับโฆษณาขนมเยลลีของเด็ก ๆ ยี่ห้อหนึ่ง
เจ้าหน้าที่บริษัทนี้จึงติดต่อมาหาคนเป็นแม่ เพราะสนใจอยากจะให้พาน้องฮาร์ฟลองแคสงานนี้ดู และก็เหมือนว่าจะแคสงานได้ผ่านฉลุยด้วยล่ะ ถึงขนาดทำให้เจ้าของแบรนด์ต้องเข้ามาดูการแคสติ้งเองเลยด้วยซ้ำ
ดูท่าว่าเจ้าของแบรนด์ จะถูกอกถูกใจน้องฮาร์ฟกันยกกองเลย ก็อย่างว่าน้องฮาร์ฟเก่งซะขนาดนี้นี่นา แถมยังชอบแจกจ่ายรอยยิ้มการค้าไม่หยุดหย่อน เนียนจริง ๆ เจ้าลูกชายจอมตัวแสบ แต่ช่างอยู่เป็นกับวงการมายาซะจริงเชียว
“เนี่ยแต่ถ้าน้องฮาร์ฟได้มีโปรไฟล์ผลงานบ้างก็ท่าจะเท่ดีไม่หยอก ดังเปรี้ยงปร้างแบบพ่อน้องฮาร์ฟไง”
ตอนยืนดูน้องฮาร์ฟยกยิ้มทักทายพี่ ๆ ทีมงาน ก็ทำให้ร่างบางเผลอคิดไปสะระตะไปถึงคำพูดของเพื่อนสนิทตัวโต ที่หลุดปากออกมาว่า น้องฮาร์ฟดังเปรี้ยงปร้างแบบพ่อเขา
นั่นสินะ เพราะตอนนี้ พี่เฮฟก็กลายเป็นนายแบบคนดังจับตัวได้ยากไปแล้วนี่นา
น้องฮาร์ฟยิ่งโตก็ยิ่งหน้าเหมือนพี่เฮฟ
อ่ะ! บ้าจริงนี่ผมยังจะคิดถึงคนคนนั้นอยู่อีกเหรอเนี่ย ผ่านมา 7 ปีแล้วนะฟาร์รัง...
...ไม่สิ เรื่องของผมกับเขาคนนั้นมันผ่านมา 10 กว่าปีแล้วต่างหาก ...
“คุณฟาร์รังครับ เดี๋ยวขอคุยเรื่องคิวถ่ายแบบชุดคอลเล็คชั่นใหม่ ของน้องฮาร์ฟหน่อยนะครับ” เสียงของสต๊าฟที่ดูแลจัดการคิดถ่ายแบบของเด็ก ๆ ดังขึ้น ทำให้ฟาร์รังถึงได้หลุดออกจากภวังค์กลับมา ณ ปัจจุบันทันที
“อ่อครับ..ได้เลยครับ” ใบหน้าหวานส่งยิ้มรับกลับไป
คนเป็นแม่พ่วงตำแหน่งเมเนฯ ส่วนตัวของพ่อนายแบบเด็ก จึงได้รับนัดคิวมาถ่ายแบบเสื้อผ้า โปรโมทแบรนด์ดังให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ครั้งต่อไปในอีก 1 สัปดาห์
ทางแบรนด์แจ้งว่า งานนี้จะมีงานเดินแบบเพื่อโปรโมทคอลเลคชั่นใหม่ ของแบรนด์และงานเลี้ยงขอบคุณช่างดีไซเนอร์ที่ได้ออกแบบเสื้อผ้าเด็กคอลเลคชั่นนี้ ให้กับทางบริษัทยักษ์ใหญ่รายนี้ด้วย ซึ่งขอล็อกตัวน้องฮาร์ฟเพื่องานนี้โดยเฉพาะด้วย
พอช่วงนี้น้องฮาร์ฟมีงานเข้ามาเยอะ ไหนจะต้องพาไปฟิตติงชุด ไหนจะต้องพาไปซ้อมเดินแบบด้วย จนฟาร์รังต้องเข้ามารับงานดูแลเจ้าลูกชาย กลายเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนายแบบตัวเล็กใจใหญ่ไปโดยปริยาย
จึงไม่สามารถเข้าไปช่วยงานพี่เลออนได้เต็มที่เหมือนเดิม แม้นร่างบางจะรู้สึกเกรงใจ แต่พี่ชายที่แสนดี พี่เลออนกลับบอกว่า ให้พาหลานไปออกงานเถอะ
เพราะนายแบบตัวน้อยแต่ใจใหญ่คนนี้ คงจะชอบใจน่าดู ไหนจะเคยวาดฝันไว้ว่าอยากดังมาก ๆ ไว้ด้วย
“ฮาร์ฟจะหาเงินเยอะ ๆ แล้วยกให้มัมมี๊หมดเลย”
คนเป็นแม่ได้ยินแบบนี้ทีไรใจอ่อนยวบทุกครั้งเลย แม้นน้องฮาร์ฟจะชอบทำหน้าเย็นชา ไม่สนไม่แคร์โลกแต่แท้จริงแล้วจิตใจดี อารมณ์อ่อนไหวง่ายจะตายเจ้าเด็กคนนี้
แชะ! แชะ! แชะ!
“ว้าว กู้ด ดีมากเลยครับ น้องฮาร์ฟขอฟิลแบบไม่ต้องยิ้มนะ เอามือจับแว่นตาไว้ครับ.."
แชะ!! เแชะ! แชะ!!.
"เยี่ยม..ดีครับ หู้ยเก่งมากเลย ฟิลได้มาก ๆ โอเค กู้ดบอย”
แชะ ! แชะ !
เสียงชัตเตอร์ดังรัว ๆ สลับกับเสียงชมของตากล้องมืออาชีพ ที่กำลังสาดแสงแฟรชใส่ร่างพ่อนายแบบตัวน้อย
“ขอบคุณมากนะครับ วันนี้น้องฮาร์ฟเก่งมาก ๆ เลย คุณพ่อเลี้ยงลูกยังไงให้ได้อย่างนี้ครับ”
สต๊าฟเอ่ยชมน้องฮาร์ฟกับฟาร์รังอย่างไม่ขาดปาก ทว่าคนตัวเล็กก็ทำได้แค่ส่งยิ้มกลับคืนไปให้เพียงเท่านั้น
จะให้บอกยังไงว่าผมนี่แหละที่เป็นแม่ครับ!! ก็ไม่เข้าท่าใช่มั้ยละ
แต่ปล่อยเขาเข้าใจว่าผมเป็นพ่อก็ดี จะได้ไม่ต้องอธิบายยืดยาวอีก
“ขอบคุณเช่นกันครับ” ริมฝีปากบางจึงเอ่ยขอบคุณกลับคืนไปเพื่อเป็นการตัดบท พร้อมกล่าวฝากฝังคนเป็นลูกให้สต๊าฟช่วยเอ็นดูแทน
“งานครั้งหน้าก็ฝากน้องฮาร์ฟด้วยนะครับ”
"คร้าบบ"
“มัมมี๊! ก่อนกลับแวะไปซื้อช็อกโกแลตก่อนได้ไหมฮะ” คนเด็กตะเบ็งเสียงเอ่ยบอกกับคนเป็นแม่ แต่ทว่าหน้าหันไปทางสต๊าฟคนเมื่อกี้
แล้วน้องฮาร์ฟจะเรียกผมว่า “มัมมี๊” เสียงดังทำไมละเนี่ย อยากจะป่าวประกาศว่าผมเป็นแม่เหรอ
“ได้สิครับ แล้วน้องฮาร์ฟจะเรียกมัมเสียงดังทำไมละครับ หื้ม” ฟาร์รังหันหน้าไปยกยิ้มพร้อมส่งมือบางไปลูบหัวกลม ๆ ของพ่อนายแบบเด็ก
“ก็อยากให้คนอื่น ๆ รู้ว่ามัมก็คือมัมมี๊ของฮาร์ฟไงครับ” คนเด็กพูดจบก็ยกแขนน้อย ๆ ขึ้นมากอดอกพร้อมบึนปากใส่คนเป็นแม่มาให้กันอีก
“น้องฮาร์ฟไม่อายหรือครับที่มีแม่เป็นผู้ชาย” ฟาร์รังจึงลองเรียบ ๆ เคียง ๆ ถามกับคนลูกดูเพราะว่าถ้าเกิดน้องฮาร์ฟดังขึ้นกว่านี้ เรื่องที่มีเป็นแม่เป็นผู้ชายก็ย่อมต้องมีคนรู้เข้าในสักวันอยู่ดี
“โน!!..จะอายทำไม เดี๋ยวนี้โลกเขาไปถึงไหนกันแล้วมัมมี๊ เขาไม่มาคิดเล็กคิดน้อยหรอก.." คนเป็นแม่ยกยิ้มกว้างอย่างตั้งใจรอฟังคนเป็นลูกอธิบายด้วยแววตามาดมั่นไม่หวาดหวั่นใจเรื่องที่มีมัมมี๊เป็นคนพิเศษเลยสักนิด
"เดี๋ยวนี้เขาแข่งกันที่ผลงาน คอยดูเถอะถ้าฮาร์ฟดังมาก ๆ เมื่อไหร่ จะป่าวประกาศให้ทั่วเลยว่า..คนนี้คือมัมมี๊สุดที่รักของฮาร์ฟเอง..” นิ้วมือป้อม ๆ ของคนลูกลงน้ำหนักจิ้มชี้มายังเอวของคนเป็นแม่ที่ยืนยกยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจอยู่
ยิ่งคนเป็นแม่ได้เห็นพ่อนายแบบตัวน้อย ๆ นี่ฉายแววตาแห่งความมุ่งมั่นกับผุดรอยยิ้มอบอุ่นออกมา แบบที่นาน ๆ ครั้งจะได้เห็นนั้นช่างเนิ่นนานซะเหลือเกิน แต่เพราะความเผลอไผลของเจ้าลูกชายตัวดีนี่ หัวใจของคนเป็นแม่ก็ฟูฟ่องไปหมดแล้ว
“งั้นไปซื้อช็อกโกแลตกันครับ วันนี้มัมใจดีอยากกินอะไร มัมอนุญาตให้หยิบได้ 5 อย่างเลย”
แม้นว่าพี่เลออนและฟาร์รังจะทำงานหาเงินได้จำนวนไม่น้อย แต่คนเป็นแม่ก็ไม่เคยเลี้ยงลูกแบบตามใจเลย นอกจากจะเป็นวันพิเศษแบบนี้ ถึงจะยอมตามใจ ส่วนคนที่ตามใจสุดต้องสองคนนู้นเลย พี่เลออนกับหมอกเพื่อนสนิทตัวแสบ ตามใจน้องฮาร์ฟกันสุด ๆ
“เยส!” พ่อนายแบบตัวน้อยยกยิ้มมุมปาก แล้วก็ออกเดินนำหน้าลิ่ว ๆ คนเป็นแม่ไปยังลานจอดรถนู้นแล้ว
@ K3 Supermarket
“ว่าแต่ทำไมวันนี้อยากกินช็อกโกแลตละครับ” คนเป็นแม่หันไปถามกับเจ้าลูกชายที่ทุกครั้งไม่เคยเอ่ยขออะไรเลย นอกจากจะต้องเป็นฝ่ายถามก่อนตลอด
“อ่อ คือว่า..ฮาร์ฟจะซื้อไปให้น้องบลูนะสิ” ริมฝีปากกระจับน้อย ๆ บอกกล่าวจบก็ทำหน้าจ๋อยลงไปอย่างผิดสังเกตทันที
“ทำไมละครับ น้องบลูโกรธฮาร์ฟเหรอครับ” คนเป็นแม่ยอบกายลงนั่งยอง ๆ พลางยืนแขนไปจับลงที่ลาดไหล่น้อยๆ ของลูกชายเพื่อที่จะได้มองหน้าคุยกันตรง ๆ
ทว่าคนเด็กไม่ยอมตอบอะไรออกมา แต่กลับพยักหน้าหงึกหงัก
“โกรธอะไรกันครับ น้องฮาร์ฟไปแกล้งอะไรน้องบลูหรือเปล่าครับ ไม่ชอบน้องบลูแล้วเหรอ”
“มะ..ไม่ใช่ฮ่ะมัม วันนั้นบลู...คือน้องบลูเอาตุ๊กตากระต่ายมาสองตัว แล้ววิ่งเข้ามาส่งยิ้มกว้างให้ฮาร์ฟ..และก็ขอให้ฮาร์ฟเล่นกับบลูด้วย แต่ฮาร์ฟ..ฮาร์ฟดันบอกน้องบลูว่า.."
คนเป็นแม่ยังคงใจเย็นรอฟังคนเด็กเล่าถึงสาเหตุด้วยน้ำเสียงที่เปล่งออกมาอย่างกระท่อนกระแท่นขาดห้วงไปในบางช่วงตอน
คงจะรู้เสียใจจริง ๆ สิน้า เจ้าน้องฮาร์ฟที่น่ารักของมัมมี๊
"...เป็นเด็กผู้ชายจะเล่นตุ๊กตาแบบเด็กผู้หญิงได้ยังไง แล้วทีนี้น้องบลู..น้องบลูเลยเลิกยิ้มทำท่าเหมือนจะร้องไห้...ฮึก...แล้ว...แล้วน้องบลูก็วิ่งกลับบ้านไปเลยฮัฟ มะ..หม๊า..แง้...”
อ่าวเจ้าลูกชายทำเข้มแข็งมาได้ตั้งนาน อุตส่าห์แสดงมาดเท่ ๆ ออกมาต่อหน้าตากล้อง สงสัยจะเป็นแค่ตอนถูกแสงแฟรชกับคุณตากล้องถ่ายรูปสินะ แต่พอได้พูดถึงเรื่องน้องบลูทีไรกลับเซนซิทิฟเอาทำน้ำตาไหลพรากเลย
“โอ๋ ไม่เอาครับ ไหนนายแบบคนเท่ของมัมมี๊หายไปไหนแล้วนะ” มือบางหยิบทิชชูในกระเป๋าออกมาไล่ซับน้ำตาที่หยดติ๋ง ติ๋ง ลงมาอาบบนใบหน้าหล่อเหลาของคนเด็กตรงหน้าให้ราวกับตอนนี้น้องฮาร์ฟได้กลายเป็นเจ้าลูกหมาน้อยหลงทางไปซะแล้ว ฟาร์รังจึงดึงตัวเด็กน้อยจิตใจอ่อนไหวเข้ามาโอบกอดอย่างปลอบใจให้กัน
“เอาแบบนี้ไหมครับ ฮาร์ฟก็ซื้อช็อกโกแลตไปให้น้องบลูและก็ไปขอโทษน้องบลูด้วยนะครับ” ฝ่ามือบางขยับออกแรงลูบหัวลูบหลังลูกชายด้วยความอ่อนโยนใจดี
“ฮึก อื้อ...ฮึก” น้ำตาเจ้าลูกชายได้หยุดไหลไปแล้ว ทว่ายังคงเหลือเพียงแค่อาการสะอึกฮึก ๆ อยู่บ้าง
“แล้วน้องฮาร์ฟก็ต้องห้ามไปพูดแบบนี้กับใครอีกนะครับลูก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพศไหนก็เล่นตุ๊กตาได้ครับ"
"...อึก..ฮึก" ขอบตาแดงจ้องมองคนเป็นแม่ที่กำลังพร่ำสอนในสิ่งที่ฮาร์ฟคิดผิดให้คิดใหม่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
"เพราะว่าถ้าใครชอบอะไร เราไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกผู้ชายผู้หญิงไงครับลูก ขนาดมัมมี๊ยังชอบตุ๊กตาเหมือนกันเลยครับ” ฟาร์รังจับจ้องเข้าไปในแววตาสีอ่อนของคนเป็นลูก พร้อมกับพูดในสิ่งที่คนเป็นแม่ควรจะบอกให้เด็ก ๆ เข้าใจ และดูเหมือนว่าน้องฮาร์ฟยังรู้สึกมีความขัดแย้งในความคิดของตนเองหลงเหลืออยู่จนต้องมุ่นคิ้ว
“ถ้าสมมติว่า น้องฮาร์ฟชอบสีชมพูแล้วโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่า ว้าย..สีชมพูมันเป็นของเด็กผู้หญิงนะ น้องฮาร์ฟจะรู้สึกยังไงบ้างครับ” ริมฝีปากบางสีสดยังคงลองเอื้อนเอ่ยสอบถามความคิดเห็นของคนลูกดู เพื่อจะได้แง้มความคิดและปฏิกิริยาที่คนลูกจะตอบโต้แสดงวิสัยทัศน์กลับมาให้
“ฮาร์ฟจะเถียง ฮาร์ฟจะตีเพื่อนเลยด้วย”
อุต๊ะ!!..นี่ลูกใครเนี่ยแล้วใครสอนให้โหดใช้กำลังตัดสิน ไม่ได้การแล้ว ฟาร์รังถึงกับยิ้มเจือนในใจ
“ไม่ได้เลยครับน้องฮาร์ฟ เราจะไปทำร้ายร่างกายคนอื่นไม่ได้เด็ดขาดนะครับ ถ้าทำแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยนะครับลูก"
"ทำไมอ่ะ ก็ในเมื่อเขาผิด" คนเด็กถามออกมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งเมื่อได้ยินคนเป็นแม่คิดไม่เหมือนกับตัวเองแล้วยังบอกว่าตัวเองคิดนั้นเป็นสิ่งที่ผิดอีกด้วย
"เราต้องบอกเพื่อนดี ๆ สิครับ ว่าสีอะไรก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกไงครับ แล้วที่น้องฮาร์ฟได้ยินแล้วเลือกที่จะเถียงเพื่อนทันทีแถมยังจะตีเพื่อนอีกด้วย เพราะน้องฮาร์ฟรู้สึกโกรธใช่ไหมล่ะครับ”
“...” คนเด็กเงียบนิ่งลงไป แต่เมื่อได้ลองใช้ความคิดตามจนเส้นคิ้วแทบจะกองรวมกันแล้วจึงยอมพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบเป็นอันว่าใช่แบบที่ฟาร์รังพูดมา
“แต่น้องบลูเป็นคนน่ารัก ไม่เคยพูดไม่เพราะและก็ไม่เคยทำร้ายร่างกายหรือแย่งขนมกับของเล่นของน้องฮาร์ฟเลยใช่ไหมล่ะครับ เพราะฉะนั้นมัมว่าน้องบลูจะต้องเสียใจมากแน่ ๆ เลยครับ” ฟาร์รังโยงกลับเข้าเรื่องจนทำเอาคนเด็กที่แสนฉลาดอยู่แล้วถึงบางอ้อได้ทันที
“เข้าใจแล้วฮ่ะ” เจ้าลูกชายตอบรับพร้อมออกแรงกระชับ โอบกอดคนเป็นแม่แน่น ๆ แสดงความขอบคุณด้วยอ้อมกอด
“ถ้างั้นไปเลือกช็อกโกแลตกับขนมให้น้องบลู แล้วไปขอโทษน้องบลูกันครับ” ฟาร์รังยกยิ้มพร้อมกับกระชับอ้อมกอดลูกชายแน่นๆ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลายผละตัวออกจากกัน
“ครับ” เสียงตอบรับขึงขังจริงจังขึ้นมาทันที
ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งมือออกไปรอจับจูงข้อมือเล็กๆ ของพ่อนายแบบคนเก่ง เพื่อจะได้เดินไปเลือกช็อกโกแลตกับขนมด้วยกัน แล้วจะได้เอาไปง้อ น้องบลู.. ตามความประสงค์ของน้องฮาร์ฟกันเลย Let’ s Go..!
เอ่..ว่าแต่น้องบลูคนนี้ จะเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของผผมรึเปล่าน้า ?
#ทุ่มเทเพื่อรัก