ณ ศูนย์กลางเมืองจื้อโหยว ในเวลาเดียวกัน
ลมฟ้าอากาศในช่วงนี้ย่างเข้าสู่ต้นฤดูฝน...ไม่ถือว่าร้อนและหนาวจนเกินไปนัก
เสาอวี่เปิดปากหาวหวอดพลางเอามือดันหน้าต่างกระทุ้งบานเล็กให้เปิดออก ห้องขนาดเล็กที่มีเพียงเตียงและหีบผ้าซึ่งนางใช้เป็นที่ซุกหัวนอนอาจจะดูคับแคบเกินไปในสายตาผู้อื่น แต่สำหรับนางมันก็ดีกว่าการไปนอนอยู่ข้างถนน นับว่านางยังมีโชคหลงเหลืออยู่บ้าง
โชคดีขั้นแรกคือหน้าตาของนางพอมีประโยชน์อยู่บ้าง โชคดีขั้นสองคือหน้าแข้งของนางมีรอยตำหนิ ครั้นบอกอายุปลอมไปว่าอายุสิบเจ็ด นางจึงถูกรับเข้ามาเป็นสาวใช้ในหอบุปผาแดง หอคณิกาเลื่องชื่อที่เต็มไปด้วยบุรุษมากหน้าหลายตาจนโจรสาวน้ำลายสอ
ไม่ใช่เพราะชื่นชมความหล่อเหลา แต่เป็นเพราะคนเหล่านั้นล้วนกระเป๋าหนักด้วยกันทั้งสิ้นต่างหาก!
หลายวันมานี้นางเนียนตอดมาได้หลายถุง แต่ก็ทำได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นกระษัย ไม่ให้เป็นที่สังเกตมากนัก หากมีคนเคยเห็นป้ายประกาศจับของนางจากแคว้นเกาเข้ามาชี้ตัวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจปล่อยให้เรื่องแดงก่อนจะสืบรู้ชาติกำเนิดของตนเอง
มือเพรียวบางยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าที่ยังหลงเหลือเค้าความง่วงงุน ครั้นล้างหน้า ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็ตรงไปยังโถงใหญ่เพื่อกินอาหารเช้า ทันทีที่ถือชามมาทิ้งตัวนั่งบนโต๊ะว่าง เงาร่างบางๆ ก็เข้ามานั่งประกบโดยทันที
“อาเชว่ เจ้าตื่นเร็วจัง วันนี้เป็นวันหยุดของเจ้ามิใช่หรือ” ฟางฟางเป็นฝ่ายพูดก่อน
ก่อนหน้านี้เสาอวี่เห็นฟางฟางแบกถังน้ำจนมือแขนสั่น นางจึงแย่งมาถือเองเพราะไม่อยากเสียเวลา หลังจากนั้นสาวใช้ผู้นี้ก็ตามติดนางพอสมควร น่าเสียดายนักที่นางไม่อาจเปิดใจให้มากกว่าที่เป็นอยู่ หากนางไม่ได้ผ่านการเลี้ยงดูเยี่ยงโจรมาสิบกว่าปีก็คงจะดีมิใช่น้อย
โจรสาวครุ่นคิดพลางเก็บสายตากลับมายังชามข้าวของตน “ข้าว่าจะไปเดินเล่นในเมือง”
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางลอบสังเกตแผ่นหลังของสตรีทั้งหลายในหอคณิกา ไม่ว่าจะเป็นสตรีคณิกาจนกระทั่งสาวใช้คนครัว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีปานรูปนกยูงรำแพนบนแผ่นหลังเลยสักคน พอแกล้งสอบถามกับฟางฟาง นางก็ไม่รู้เรื่องนี้ แถมยังมองว่าเป็นเรื่องประหลาดอัศจรรย์ใจ ดังนั้นทางที่ดีนางควรจะไปหาข้อมูลเอาที่อื่น
ข้อมูลที่ต้องซื้อขาย...
“นั่นสินะ ใกล้จะถึงงานเทศกาลอาหารรัญจวนแล้ว หวังว่าเถ้าแก่เนี้ยจะยอมให้เราลางานไปเที่ยวชมงานบ้าง”
ฟางฟางมีสีหน้าตื่นเต้น ผิดกับผู้ฟังที่สีหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้ายเป็นพิเศษ “ถ้าได้ก็ดี”
มื้อเช้าผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย หลังจากนั้นก็ถึงเวลาแจกจ่ายเบี้ยเลี้ยง ทันทีที่หญิงสาวรับเงินเสร็จก็สวมผ้าคลุมสีทึมมุ่งหน้าออกจากหอบุปผาแดง ท้องถนนสายหลักบัดนี้ถูกปิดมิให้รถม้าเคลื่อนผ่าน ตลอดสองข้างทางเริ่มมีแผงลอยมาตั้งบ้างแล้ว
เมืองที่มีขนาดใหญ่โตเทียบเท่าเมืองสามเมืองแห่งนี้ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นและแข็งแกร่ง ชายแดนฝั่งทางดินแดนทางทิศเหนืออยู่กับแคว้นเกา ทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีความฝู ทิศใต้มีแคว้นอู๋ และหากนั่งเรือผ่านทะเลกระจกไปยังทิศตะวันตกก็จะย่างเข้าสู่ดินแดนแคว้นหยาง เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญที่ผู้คนอยากจะช่วงชิงเนื่องจากทำเลที่ตั้งที่สามารถเชื่อมต่อไปยังแคว้นสำคัญทั้งหลาย
ทว่าแผนผังเมืองอันลึกลับซับซ้อน มีกลไกป้องกันอันแน่นหนาไร้ความปราณี ก็เปรียบเสมือนเกราะคุ้มภัยให้กับเมืองที่มีอาณาเขตใหญ่โตจนอยู่รอดมายาวนานกว่าห้าสิบปี
นางกวาดตามองความเจริญของบ้านเรือนต่างๆ ได้ยินมาว่าผู้ปกครองเมืองผ่านพ้นมาได้สามชั่วอายุคนเท่านั้นแต่กลับสร้างเมืองใหญ่เช่นนี้ได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ความสามารถย่อมไม่ธรรมดาผิดกับนางที่ทุกวันนี้ลำพังเอาตนเองให้รอดยังยากลำบาก ไม่รู้เลยว่าการยืนอยู่เหนือผู้อื่น...ปกครองคนจำนวนมากจำต้องเสียสละความสุขและเวลาส่วนตนไปมากมายเพียงใด
ผู้คิดเดินลัดลอดไปทางท้องถนนจนกระทั่งเลี้ยวโค้งตรงมุมขวา เบื้องหน้าคือสิ่งปลูกสร้างสีขาวขนาดใหญ่สูงสองชั้นปราศจากบานหน้าต่าง สถานที่แห่งนี้คือหอเวหา แหล่งซื้อขายข่าวที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจื้อโหยว
บุรุษแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเห็นเสาอวี่หยุดอยู่ด้านหน้าก็เดินมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับแม่นาง มิทราบว่าท่านมาที่นี่...”
“ข้ามาซื้อข่าว” เสาอวี่ตอบโดยไม่ปลดเสื้อคลุมออกจากศีรษะ
ชายหนุ่มกวาดตามองสำรวจนางเล็กน้อย แม้จะไม่มากจนทำให้รู้สึกอึดอัดแต่แม่โจรสาวก็รู้ว่าเขากำลังประเม็นนางอยู่
“เชิญแม่นางตามข้ามาขอรับ” ในที่สุดชายหนุ่มก็ผายมือเชิญร่างระหงไปยังด้านใน เบื้องหน้าประตูทางเข้าและออกของสถานที่แห่งนี้มีคนยืนคุมอยู่แปดนาย เส้นทางด้านในลึกลับคดเคี้ยวคล้ายเขาวงกต นัยน์ตาเรียวคมสีน้ำตาลแดงพยายามจดจำเส้นทางดังกล่าวแม้จะเป็นไปได้ยาก จนกระทั่งพวกเขาหยุดลงที่หน้าประตูบานหนึ่ง
“เชิญ” ผู้นำทางเปิดประตูพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญ
ร่างในเสื้อคลุมสาวเท้าอย่างไม่รีบร้อน เบื้องหน้าคือภาพของโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ซึ่งมีบุรุษใบหน้าราบเรียบไม่สะดุดตานั่งอยู่ทางด้านหลัง ตรงข้ามคือเก้าอี้ไม้ว่างเปล่าที่คาดว่าน่าจะเป็นที่สำหรับลูกค้า ผู้นำทางเห็นว่าส่งลูกค้าถึงที่หมายก็หันหลังเตรียมเดินกลับ นึกไม่ถึงว่าเสียงของหญิงสาวจะรั้งตัวเขาเอาไว้
“เขาเป็นเจ้านายเจ้า?”
อีกฝ่ายหันใบหน้ากลับมาพร้อมกับโค้งศีรษะเล็กน้อย “มิใช่ขอรับแม่นาง เห็นแม่นางพูดว่าต้องการซื้อขายข่าว คนผู้นี้คือ...”
“ข้าต้องการพบเจ้านายสูงสุดของเจ้า” เสาอวี่แทรกพลางยกมือเท้าลงบนพนักเก้าอี้ การวางมาดแลดูทั้งสูงส่งและหยิ่งยโสในเวลาเดียวกัน ประหนึ่งว่านางมิเห็นผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะใหญ่อยู่ในสายตา
“ระ...เรื่องนี้” เขาเผยสีหน้าลำบากใจ แน่นอนว่าการเข้าพบนายสูงสุดมิใช่ว่าผู้ใดอยากเข้าพบก็พบได้
บุรุษที่นั่งอยู่หลังเก้าอี้ลุกขึ้นยืนบ้าง “แม่นาง เข้าหอเวหาก็ต้องทำตามกฎของหอเวหา อย่าทำให้พวกข้าต้องลำบากใจเลย”
โจรสาวเบือนสายตากลับไปยังผู้พูด มุมปากอวบอิ่มยกขึ้นเล็กน้อย “หมายความว่าเจ้ามีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่านายของเจ้า?”
“ข้า...ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”
เสาอวี่มองท่าทางอึกอักของพวกเขาแล้วยกมือขึ้นมากอดอก ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “แค่ให้ไปบอกนายของพวกเจ้าว่าข้าต้องการเข้าพบคงไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินไปใช่ไหม”
บุรุษทั้งสองหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นำทางจะพยักหน้าช้าๆ “ขอรับ เช่นนั้นเชิญแม่นางรอที่นี่”
เขากล่าวจบก็ปิดประตูพร้อมกับเดินบันไดขึ้นไปยังชั้นสอง ก้าวเดินอยู่ประมาณสามสิบก้าวพร้อมกับเลี้ยวขวาตรงทางแยกครั้งสุดท้ายก็มาถึงที่หมาย