สี่
เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน
“ฮ่าๆ ๆ ”
จู่ๆ เสียงหัวเราะกังวาลใสดั่งระฆังแก้วก็ทำลายความเงียบอันแสนสั้น ปัดเป่าเอาบรรยากาศตึงเครียดในห้องใหญ่ให้มลายหายไปได้ในพริบตา
เสาอวี่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าสาวงามจะหัวเราะใส่
“ขออภัยด้วย ข้าเพียงแค่ประหลาดใจ” นายหญิงแห่งหอเวหาไหล่สั่นเทาจากการพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ “ปกติโจรควรจะข่มขู่หรือใช้กำลังบีบบังคับให้ข้ายอมปริปากตอบท่านมิใช่หรือ”
“โจรใต้หล้าหาได้มีนิสัยเหมือนกันหมด”
“มิใช่ว่าไม่อยากก่อเรื่องจนถูกหมายหัวหรอกหรือ” นกยูงสาวผู้นี้เป็นมีคดีติดตัว หากก่อเรื่องที่เมืองจื้อโหยวก็เท่ากับเปิดโปงที่อยู่ให้ศัตรูเก่า
แล้วเฮยขงเชว่คิดว่านางจะไม่กล้าแพร่ข่าวการปรากฏตัวที่นี่หรืออย่างไรกัน?
“ข้าเกลียดคนรู้ดี” แม่โจรสาวกล่าวทีเล่นทีจริงก่อนจะยักไหล่ “เจ้าจะรับคำท้าของข้าใช่หรือไม่”
จิ้งเหม่ยหลินคลี่ยิ้มหวานเมื่อรู้สึกว่าตนเองคลำมาได้ถูกทาง “ถ้าหากว่าข้าไม่รับ...ท่านจะทำอย่างไร”
ผู้ฟังกระดิกนิ้วไปมา ท่าทีไม่แยแสแม้จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การวางท่าโอหังถือดี แม้เป็นโจรทว่าศักดิ์ศรีสูงส่งยิ่งกว่าขุนนางบางคนเสียอีก
“แล้วถ้าหากคนของเจ้าด้านนอกถูกข้าวางยาพิษทั้งหมดเล่า? ”
โฉมสะคราญใบหน้าเปลี่ยนสีผุดลุกยืนขึ้นมาทันควัน ลืมเลือนความสุขุมที่พึงมีไปชั่วขณะ “เจ้ากล้า...!”
“นายหญิงแห่งหอเวหา ใต้หล้านี้มีคนสามประเภทที่เจ้าไม่ควรท้าทาย หนึ่งคือกษัตริย์ สองคือคนจนตรอก สามก็คือโจร”
หญิงสาวหรี่ตาหรี่ตาลงก่อนจะทรุดกายนั่งลงตามเดิม ยกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย ครั้นหมดถ้วยก็วางมันลงบนโต๊ะ “ท่านอย่าลืมว่าท่านอยู่ในถิ่นของข้า”
“ข้ารู้” เสาอวี่เหม่อมองนิ้วเรียวขาวผุดผ่องของอีกฝ่ายก่อนจะดึงกลับมายังแขนซึ่งเป็นผิวสองสีสุขภาพดีของตน “ข้าให้เกียรติเจ้าถึงได้แจ้งให้ทราบ แม้กระทั่งถ้วยชาที่เจ้าดื่มไปเมื่อครู่...ข้าก็ใส่ยาพิษเข้าไป”
ครานี้ผู้ที่กำลังจะเติมน้ำชาให้ตนเองนิ่งค้าง จะเป็นไปได้อย่างไร!
เบื้องหลังมุ้งใหญ่มีสองสตรีนั่งประจันหน้า คนหนึ่งเบิกตากว้างย่างตะลึงงัน อีกคนหนึ่งมาดมั่นถือดี แลดูแล้วน่ากระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง
จิ้งเหม่ยหลินกลั้นหายใจก่อนจะหลุบตาหวังซุกซ่อนความกลัวมิให้อีกฝ่ายเห็น พยายามรักษาสีหน้าให้กลับมาสงบดังเดิมแล้วจึงเงยหน้า รวบรวมความกล้าเพื่อที่จะเจรจากับนางโจรร้ายนี้อีกครั้ง
“ข้า...”
สภาวะกดดันส่งผลให้ใบหน้าของโฉมงามดูเคร่งเครียด ผิดกับเสาอวี่อ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่าย
“ข้าพูดเล่น”
“เจ้า! ” นายหญิงแห่งที่นี้ถลึงตามองเดือดดาล
สตรีผู้นี้โกหกได้อย่างหน้าตาย สิ่งใดจริงสิ่งใดลวง คาดเดาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ที่ผ่านมาในชีวิตนางมีบุรุษที่น่าปวดหัวอย่างอวิ๋นจิ่นลี่ก็น่าปวดหัวพอแล้ว พอมาเจอเฮยขงเชว่จึงได้รู้ว่าเจ้าคุณชายเสเพลผู้นั้นก็คงเปรียบได้กับโจรปลิ้นปล้อนดีๆ นี่เอง!
“อยากถามเรื่องอันใดก็รีบถาม! ” ดูแล้วหากโจรสาวไม่ได้สิ่งที่ต้องการคงไม่ยอมจากไปโดยง่าย เช่นนั้นก็รีบถามรีบตอบจะได้ไปให้พ้นๆ หน้านางเสียที!
เสาอวี่หัวเราะเสียงดังลั่น “ยอดเยี่ยม! นายหญิงแห่งหอเวหาช่างใจกว้าง น่าเลื่อมใสๆ ” สตรีผู้นี้น่าขัน ลูกคุณหนูสกุลผู้ดีมักจะมีความอดทนต่ำเสมอ จากสภาพแล้วหากหกล้มขึ้นมาทีนึงคงร้องโวยวายขอให้คนช่วยอย่างไม่ต้องสงสัย
“หนึ่ง ข้าต้องการตามหาคน เป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ประมาณห้าฉื่อ[1]ครึ่ง ผมสั้นประบ่า ลักษณะเด่นคือมีรอยสักตั้งแต่หัวไหล่ลากยาวผ่านแผ่นหลังมาถึงเอว”
จิ้งเหม่ยหลินที่กำลังหัวเสียชะงักไปเล็กน้อย “รอยสัก? รอยสักอะไร”
“ข้าเองก็เห็นไม่ชัด” น้ำเสียงของผู้บอกหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ยามนั้นเป็นเพราะนางเพิ่งฟื้นตัวจึงปล่อยให้เจ้าคนสมควรตายหมายเลขสองผู้นั้นหนีไปได้
“ในเมืองจื้อโหยวไม่มีคนเช่นนั้น” สาวงามตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน สีหน้าแววตานั้นมั่นใจ ตั้งแต่เด็ก...สิ่งที่นางอ่านมาตลอดคือตารำและข่าวสารที่หลั่งไหลเข้ามาสู่หอเวหา แม้เรื่องอื่นอาจจะสู้ผู้อื่นไม่ได้ ทว่าเรื่องข้อมูลนั้นเรียกว่านางสามารถจดจำสิ่งที่อ่านผ่านตาไปเพียงแค่ครั้งเดียวได้อย่างแม่นยำ
ใบหน้าของจอมโจรสาวดำคล้ำยิ่งขึ้น “จะไม่มีได้อย่างไร! ” กดเสียงต่ำลงจนน่าขนลุก นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเปล่งประกายอำนาจบางอย่างซึ่งผู้มองสบอธิบายไม่ถูก
จิ้งเหม่ยหลินพยายามต่อต้านกลิ่นอายที่คุกคามนางอยู่ “ข้าไม่ได้หมายความว่าที่อื่นไม่มี”
เสาอวี่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ดูท่าการมาที่นี่จะไม่ถือว่าเสียเวลาเปล่า
“ผู้ที่มีรอยสักยาวมากเพียงนั้น ข้าคิดว่าคนที่ท่านกำลังตามหาคงเป็นคงของชนเผ่าหนึ่งที่หายไปจากยุทธภพ...ชนเผ่าอสรพิษ”
“ชนเผ่าอสรพิษ...” นกยูงสาวพึมพำก่อนจะละความสนใจจากมันราวกับไม่ใช่เรื่องที่นางจะเก็บเอาไปใส่ใจ “เรื่องที่สองมันเกี่ยวข้องกับปาน...”
จอมโจรสาวหายเข้าไปในหอเวหาตั้งแต่ช่วงเช้า กว่าจะกลับออกมาก็พบว่าท้องฟ้าเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำเงินแล้ว
ร่างระหงกระชับผ้าคลุมสีทึมบนศีรษะเพื่อไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็นใบหน้า ครั้นมาถึงหน้าหอบุปผาแดงก็หยุดฝีเท้าพลางครุ่นคิดถึงคำพูดของเจ้าของหอเวหาเมื่อไม่นานมานี้
นางถามว่าปานนกยูงรำพันมีความสำคัญอย่างไรกับเมืองจื้อโหยวโดยไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าตนเองมีมัน นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้กลับเป็นกลอนบทหนึ่ง
“...นกยูงรำแพน ป้องแดนเสรี
สาดแสงรัศมี บารมีสูงค่า
สลักลึกดวงจิต สถิตในวิญญา
แซ่ซ้องบูชา ปักษาราชินี...”
‘เจ้าพวกบัณฑิตชอบทำอะไรให้ยุ่งยาก... แค่พูดออกมาตรงๆ มันยากนักหรืออย่างไร’
หญิงสาวพ่นล่มหายใจอย่างเบื่อหน่าย การอยู่กับที่เป็นเวลานานทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินและไม่สบายใจ ต่อให้ข่มขู่จิ้งเหม่ยหลินให้ปิดปากก็มิอาจวางใจได้ทั้งหมด ในเมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว นางก็ควรจะรีบไปเอาของแล้วไปจากหอบุปผาแดง
ผู้คิดเตรียมจะใช้วิชาตัวเบาพาตนเองปีนป่ายข้ามกำแพงสูง ทว่าสัญชาตญาณบางอย่างกลับร้องบอกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
เงียบเกินไป... ปกติหอบุปผาแดงยามวิกาลมิน่าจะเงียบถึงเพียงนี้
คิ้วเรียวบนใบหน้าสวยคมเลิกสูงขึ้น จนกระทั่งสายลมวูบใหญ่พัดผ่านในจังหวะต่อมา
กลิ่นคาวเลือดซึ่งเจือมากับกลิ่นเทียนหอมที่จุดเป็นประจำส่งผลให้กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างแปรเปลี่ยนทันที โจรสาวเผยสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่
‘...ไม่แน่ว่าอาจมีทรัพย์สมบัติหรือสุราเหลืออยู่บ้าง’
นางตัดสินใจได้ดังนั้นก็เหาะทะยานผ่านกำแพง ครั้นเคลื่อนผ่านไปยังด้านในก็รับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นขึ้น บ่าวรับใช้นอนจมกองเลือดมีให้เห็นอยู่ตามทาง ซากศพที่เพิ่มพูนขึ้นกลับมิอาจทำให้แววตาของผู้มาใหม่สั่นไหวแม้เพียงนิด
เสาอวี่ตัดสินใจเดินเข้าเรือนใหญ่ก่อนเป็นอันดับแรก ประตูโถงที่เปิดแง้มอยู่ถูกออกแรงผลักเบาๆ ก็ล้มตึงลงบนพื้น สภาพของพื้นไม้ที่มีของเหลวสีแดงเจิ่งนองเป็นหย่อมๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
แสงจากโคมไฟที่ห้อยอยู่เต็มห้องโถงวูบไหวคล้ายเปลวเพลิงกำลังเริงระบำ เสียงสะอื้นไหวแผ่วหวิวดั่งสายลมหวนภายในถูกขัดจังหวะขึ้นด้วยเสียงฝีเท้าที่ย่ำเดินอย่างสม่ำเสมอ
“ฮึก! ฮือๆ ” ร่างเล็กเปราะบางของคนผู้หนึ่งนั่งสะอื้นไห้อยู่ท่ามกลางซากศพและกองเลือดเหล่านั้น ครั้นเจ้าตัวได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้นมามองนาง ดวงตาแดงก่ำบวมช้ำจนปูดโปนออกมาจากเบ้า “อาเชว่...”
เสาอวี่จมลึกเข้าสู่ห้วงคิด หอบุปผาแดงแห่งนี้มีสาวงามและคนงานกว่าครึ่งร้อย การที่สาวใช้ผู้นี้รอดแต่เพียงคนเดียวก็หมายความว่า...
“พวกมัน...พวกมันบุกเข้ามา พวกมันสังหารทุกคนพร้อมกับร้องหาคนที่ชื่อ ‘เฮยขงเชว่’ ทุกคนตายหมด... ตายหมด” เสียงแหบแห้งของฟางฟางกับแรงกอดรัดที่ขาฉุดรั้งสติของจอมโจรสาว
ความสำนึกผิดที่ปรากฏขึ้นในแววตาพลันจางหายไป หลงเหลือเพียงความล้ำลึกดั่งห้วงมหาสมุทร
“มันไว้ชีวิตข้าเพื่อให้ส่งข่าว...ส่งข่าวให้เฮยขงเชว่ว่าพวกมันจะมาคิดบัญชีกับนาง” ฟางฟางร่ำไห้จนเสียงแหบ สมองของนางขาวโพลนไปหมด เรี่ยวแรงไม่มีแม้แต่จะวิ่งออกไปขอให้คนช่วยหรือไปยังกรมอาญา
ร่างระหงสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้น เช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกมันจะหวนกลับมา!
“ฟางฟาง ลุกขึ้น! ” เสียงของหญิงสาวที่ตวาดลั่นคล้ายสัตว์คำรามส่งผลให้ฟางฟางที่พยายามประคองสติถึงกับสะดุ้งโหยง “ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่”
“อาเชว่...” ดวงตาของฟางฟางระรื่นไปด้วยหยาดน้ำตา “ข้า...ข้ายืนไม่ไหว”
คิ้วโก่งขมวดแน่น ก่อนเจ้าตัวจะออกแรงกระชากมีดสั้นออกมาจากซ่อน จังหวะต่อมาร่างที่ตัวสั่นราวกับลูกนกก็ถูกเรียวแขนของอีกฝ่ายกระชากให้ลุกขึ้นมาจากพื้น ฟางฟางเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงพร้อมกับกรีดร้องเมื่อพบว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจากไปไม่นานกำลังวิ่งกรูกลับเข้ามาที่เรือนใหญ่แห่งนี้อีกครั้ง!
[1] 1 ฉื่อ (*) มีค่าประมาณ 33.33 ซม.