เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน [4.1]

1723 คำ
สี่ เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน  “ฮ่าๆ ๆ ” จู่ๆ เสียงหัวเราะกังวาลใสดั่งระฆังแก้วก็ทำลายความเงียบอันแสนสั้น ปัดเป่าเอาบรรยากาศตึงเครียดในห้องใหญ่ให้มลายหายไปได้ในพริบตา เสาอวี่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าสาวงามจะหัวเราะใส่ “ขออภัยด้วย ข้าเพียงแค่ประหลาดใจ” นายหญิงแห่งหอเวหาไหล่สั่นเทาจากการพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ “ปกติโจรควรจะข่มขู่หรือใช้กำลังบีบบังคับให้ข้ายอมปริปากตอบท่านมิใช่หรือ” “โจรใต้หล้าหาได้มีนิสัยเหมือนกันหมด” “มิใช่ว่าไม่อยากก่อเรื่องจนถูกหมายหัวหรอกหรือ” นกยูงสาวผู้นี้เป็นมีคดีติดตัว หากก่อเรื่องที่เมืองจื้อโหยวก็เท่ากับเปิดโปงที่อยู่ให้ศัตรูเก่า แล้วเฮยขงเชว่คิดว่านางจะไม่กล้าแพร่ข่าวการปรากฏตัวที่นี่หรืออย่างไรกัน? “ข้าเกลียดคนรู้ดี” แม่โจรสาวกล่าวทีเล่นทีจริงก่อนจะยักไหล่ “เจ้าจะรับคำท้าของข้าใช่หรือไม่” จิ้งเหม่ยหลินคลี่ยิ้มหวานเมื่อรู้สึกว่าตนเองคลำมาได้ถูกทาง “ถ้าหากว่าข้าไม่รับ...ท่านจะทำอย่างไร” ผู้ฟังกระดิกนิ้วไปมา ท่าทีไม่แยแสแม้จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การวางท่าโอหังถือดี แม้เป็นโจรทว่าศักดิ์ศรีสูงส่งยิ่งกว่าขุนนางบางคนเสียอีก “แล้วถ้าหากคนของเจ้าด้านนอกถูกข้าวางยาพิษทั้งหมดเล่า? ” โฉมสะคราญใบหน้าเปลี่ยนสีผุดลุกยืนขึ้นมาทันควัน ลืมเลือนความสุขุมที่พึงมีไปชั่วขณะ “เจ้ากล้า...!” “นายหญิงแห่งหอเวหา ใต้หล้านี้มีคนสามประเภทที่เจ้าไม่ควรท้าทาย หนึ่งคือกษัตริย์ สองคือคนจนตรอก สามก็คือโจร” หญิงสาวหรี่ตาหรี่ตาลงก่อนจะทรุดกายนั่งลงตามเดิม ยกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย ครั้นหมดถ้วยก็วางมันลงบนโต๊ะ “ท่านอย่าลืมว่าท่านอยู่ในถิ่นของข้า” “ข้ารู้” เสาอวี่เหม่อมองนิ้วเรียวขาวผุดผ่องของอีกฝ่ายก่อนจะดึงกลับมายังแขนซึ่งเป็นผิวสองสีสุขภาพดีของตน “ข้าให้เกียรติเจ้าถึงได้แจ้งให้ทราบ แม้กระทั่งถ้วยชาที่เจ้าดื่มไปเมื่อครู่...ข้าก็ใส่ยาพิษเข้าไป” ครานี้ผู้ที่กำลังจะเติมน้ำชาให้ตนเองนิ่งค้าง จะเป็นไปได้อย่างไร! เบื้องหลังมุ้งใหญ่มีสองสตรีนั่งประจันหน้า คนหนึ่งเบิกตากว้างย่างตะลึงงัน อีกคนหนึ่งมาดมั่นถือดี แลดูแล้วน่ากระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง จิ้งเหม่ยหลินกลั้นหายใจก่อนจะหลุบตาหวังซุกซ่อนความกลัวมิให้อีกฝ่ายเห็น พยายามรักษาสีหน้าให้กลับมาสงบดังเดิมแล้วจึงเงยหน้า รวบรวมความกล้าเพื่อที่จะเจรจากับนางโจรร้ายนี้อีกครั้ง “ข้า...” สภาวะกดดันส่งผลให้ใบหน้าของโฉมงามดูเคร่งเครียด ผิดกับเสาอวี่อ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่าย “ข้าพูดเล่น” “เจ้า! ” นายหญิงแห่งที่นี้ถลึงตามองเดือดดาล สตรีผู้นี้โกหกได้อย่างหน้าตาย สิ่งใดจริงสิ่งใดลวง คาดเดาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ที่ผ่านมาในชีวิตนางมีบุรุษที่น่าปวดหัวอย่างอวิ๋นจิ่นลี่ก็น่าปวดหัวพอแล้ว พอมาเจอเฮยขงเชว่จึงได้รู้ว่าเจ้าคุณชายเสเพลผู้นั้นก็คงเปรียบได้กับโจรปลิ้นปล้อนดีๆ นี่เอง! “อยากถามเรื่องอันใดก็รีบถาม! ” ดูแล้วหากโจรสาวไม่ได้สิ่งที่ต้องการคงไม่ยอมจากไปโดยง่าย เช่นนั้นก็รีบถามรีบตอบจะได้ไปให้พ้นๆ หน้านางเสียที! เสาอวี่หัวเราะเสียงดังลั่น “ยอดเยี่ยม! นายหญิงแห่งหอเวหาช่างใจกว้าง น่าเลื่อมใสๆ ” สตรีผู้นี้น่าขัน ลูกคุณหนูสกุลผู้ดีมักจะมีความอดทนต่ำเสมอ จากสภาพแล้วหากหกล้มขึ้นมาทีนึงคงร้องโวยวายขอให้คนช่วยอย่างไม่ต้องสงสัย “หนึ่ง ข้าต้องการตามหาคน เป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ประมาณห้าฉื่อ[1]ครึ่ง ผมสั้นประบ่า ลักษณะเด่นคือมีรอยสักตั้งแต่หัวไหล่ลากยาวผ่านแผ่นหลังมาถึงเอว” จิ้งเหม่ยหลินที่กำลังหัวเสียชะงักไปเล็กน้อย “รอยสัก? รอยสักอะไร” “ข้าเองก็เห็นไม่ชัด” น้ำเสียงของผู้บอกหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ยามนั้นเป็นเพราะนางเพิ่งฟื้นตัวจึงปล่อยให้เจ้าคนสมควรตายหมายเลขสองผู้นั้นหนีไปได้ “ในเมืองจื้อโหยวไม่มีคนเช่นนั้น” สาวงามตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน สีหน้าแววตานั้นมั่นใจ ตั้งแต่เด็ก...สิ่งที่นางอ่านมาตลอดคือตารำและข่าวสารที่หลั่งไหลเข้ามาสู่หอเวหา แม้เรื่องอื่นอาจจะสู้ผู้อื่นไม่ได้ ทว่าเรื่องข้อมูลนั้นเรียกว่านางสามารถจดจำสิ่งที่อ่านผ่านตาไปเพียงแค่ครั้งเดียวได้อย่างแม่นยำ ใบหน้าของจอมโจรสาวดำคล้ำยิ่งขึ้น “จะไม่มีได้อย่างไร! ” กดเสียงต่ำลงจนน่าขนลุก นัยน์ตาสีน้ำตาลแดงเปล่งประกายอำนาจบางอย่างซึ่งผู้มองสบอธิบายไม่ถูก จิ้งเหม่ยหลินพยายามต่อต้านกลิ่นอายที่คุกคามนางอยู่ “ข้าไม่ได้หมายความว่าที่อื่นไม่มี” เสาอวี่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ดูท่าการมาที่นี่จะไม่ถือว่าเสียเวลาเปล่า “ผู้ที่มีรอยสักยาวมากเพียงนั้น ข้าคิดว่าคนที่ท่านกำลังตามหาคงเป็นคงของชนเผ่าหนึ่งที่หายไปจากยุทธภพ...ชนเผ่าอสรพิษ” “ชนเผ่าอสรพิษ...” นกยูงสาวพึมพำก่อนจะละความสนใจจากมันราวกับไม่ใช่เรื่องที่นางจะเก็บเอาไปใส่ใจ “เรื่องที่สองมันเกี่ยวข้องกับปาน...” จอมโจรสาวหายเข้าไปในหอเวหาตั้งแต่ช่วงเช้า กว่าจะกลับออกมาก็พบว่าท้องฟ้าเปลี่ยนกลายเป็นสีน้ำเงินแล้ว ร่างระหงกระชับผ้าคลุมสีทึมบนศีรษะเพื่อไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็นใบหน้า ครั้นมาถึงหน้าหอบุปผาแดงก็หยุดฝีเท้าพลางครุ่นคิดถึงคำพูดของเจ้าของหอเวหาเมื่อไม่นานมานี้ นางถามว่าปานนกยูงรำพันมีความสำคัญอย่างไรกับเมืองจื้อโหยวโดยไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าตนเองมีมัน นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้กลับเป็นกลอนบทหนึ่ง “...นกยูงรำแพน ป้องแดนเสรี สาดแสงรัศมี บารมีสูงค่า สลักลึกดวงจิต สถิตในวิญญา แซ่ซ้องบูชา ปักษาราชินี...” ‘เจ้าพวกบัณฑิตชอบทำอะไรให้ยุ่งยาก... แค่พูดออกมาตรงๆ มันยากนักหรืออย่างไร’ หญิงสาวพ่นล่มหายใจอย่างเบื่อหน่าย การอยู่กับที่เป็นเวลานานทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินและไม่สบายใจ ต่อให้ข่มขู่จิ้งเหม่ยหลินให้ปิดปากก็มิอาจวางใจได้ทั้งหมด ในเมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว นางก็ควรจะรีบไปเอาของแล้วไปจากหอบุปผาแดง ผู้คิดเตรียมจะใช้วิชาตัวเบาพาตนเองปีนป่ายข้ามกำแพงสูง ทว่าสัญชาตญาณบางอย่างกลับร้องบอกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เงียบเกินไป... ปกติหอบุปผาแดงยามวิกาลมิน่าจะเงียบถึงเพียงนี้ คิ้วเรียวบนใบหน้าสวยคมเลิกสูงขึ้น จนกระทั่งสายลมวูบใหญ่พัดผ่านในจังหวะต่อมา กลิ่นคาวเลือดซึ่งเจือมากับกลิ่นเทียนหอมที่จุดเป็นประจำส่งผลให้กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างแปรเปลี่ยนทันที โจรสาวเผยสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่ ‘...ไม่แน่ว่าอาจมีทรัพย์สมบัติหรือสุราเหลืออยู่บ้าง’ นางตัดสินใจได้ดังนั้นก็เหาะทะยานผ่านกำแพง ครั้นเคลื่อนผ่านไปยังด้านในก็รับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นขึ้น บ่าวรับใช้นอนจมกองเลือดมีให้เห็นอยู่ตามทาง ซากศพที่เพิ่มพูนขึ้นกลับมิอาจทำให้แววตาของผู้มาใหม่สั่นไหวแม้เพียงนิด เสาอวี่ตัดสินใจเดินเข้าเรือนใหญ่ก่อนเป็นอันดับแรก ประตูโถงที่เปิดแง้มอยู่ถูกออกแรงผลักเบาๆ ก็ล้มตึงลงบนพื้น สภาพของพื้นไม้ที่มีของเหลวสีแดงเจิ่งนองเป็นหย่อมๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า แสงจากโคมไฟที่ห้อยอยู่เต็มห้องโถงวูบไหวคล้ายเปลวเพลิงกำลังเริงระบำ เสียงสะอื้นไหวแผ่วหวิวดั่งสายลมหวนภายในถูกขัดจังหวะขึ้นด้วยเสียงฝีเท้าที่ย่ำเดินอย่างสม่ำเสมอ “ฮึก! ฮือๆ ” ร่างเล็กเปราะบางของคนผู้หนึ่งนั่งสะอื้นไห้อยู่ท่ามกลางซากศพและกองเลือดเหล่านั้น ครั้นเจ้าตัวได้ยินเสียงฝีเท้าก็เงยหน้าขึ้นมามองนาง ดวงตาแดงก่ำบวมช้ำจนปูดโปนออกมาจากเบ้า “อาเชว่...” เสาอวี่จมลึกเข้าสู่ห้วงคิด หอบุปผาแดงแห่งนี้มีสาวงามและคนงานกว่าครึ่งร้อย การที่สาวใช้ผู้นี้รอดแต่เพียงคนเดียวก็หมายความว่า... “พวกมัน...พวกมันบุกเข้ามา พวกมันสังหารทุกคนพร้อมกับร้องหาคนที่ชื่อ ‘เฮยขงเชว่’ ทุกคนตายหมด... ตายหมด” เสียงแหบแห้งของฟางฟางกับแรงกอดรัดที่ขาฉุดรั้งสติของจอมโจรสาว ความสำนึกผิดที่ปรากฏขึ้นในแววตาพลันจางหายไป หลงเหลือเพียงความล้ำลึกดั่งห้วงมหาสมุทร “มันไว้ชีวิตข้าเพื่อให้ส่งข่าว...ส่งข่าวให้เฮยขงเชว่ว่าพวกมันจะมาคิดบัญชีกับนาง” ฟางฟางร่ำไห้จนเสียงแหบ สมองของนางขาวโพลนไปหมด เรี่ยวแรงไม่มีแม้แต่จะวิ่งออกไปขอให้คนช่วยหรือไปยังกรมอาญา ร่างระหงสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้น เช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกมันจะหวนกลับมา! “ฟางฟาง ลุกขึ้น! ” เสียงของหญิงสาวที่ตวาดลั่นคล้ายสัตว์คำรามส่งผลให้ฟางฟางที่พยายามประคองสติถึงกับสะดุ้งโหยง “ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่” “อาเชว่...” ดวงตาของฟางฟางระรื่นไปด้วยหยาดน้ำตา “ข้า...ข้ายืนไม่ไหว” คิ้วโก่งขมวดแน่น ก่อนเจ้าตัวจะออกแรงกระชากมีดสั้นออกมาจากซ่อน จังหวะต่อมาร่างที่ตัวสั่นราวกับลูกนกก็ถูกเรียวแขนของอีกฝ่ายกระชากให้ลุกขึ้นมาจากพื้น ฟางฟางเบิกตากว้างอย่างตกตะลึงพร้อมกับกรีดร้องเมื่อพบว่ากลุ่มชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจากไปไม่นานกำลังวิ่งกรูกลับเข้ามาที่เรือนใหญ่แห่งนี้อีกครั้ง! [1] 1 ฉื่อ (*) มีค่าประมาณ 33.33 ซม.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม