ห้า
นกยูงปีกหัก
รุ่งเช้าวันนี้สายลมดูผิดแปลก ไร้เสียงนกร้อง ไร้เสียงไก่ขัน ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหมอกแลดูอึดครึมไร้ชีวิตชีวา การค้าของหอเวหายังคงคึกคักดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ทว่าสีหน้าของนายหญิงกลับเคร่งเครียดราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอย่างมิอาจปล่อยวางได้
‘ถ้าเจ้าไม่อยากให้แผนผังหอเวหาแห่งนี้ถูกข้าแพร่สะพัดไปทั่วเมืองล่ะก็...หวังว่าเรื่องที่ข้ามาพบเจ้าที่นี่จะเก็บเป็นความลับ หากข้าได้ยินชื่อของข้าเล็ดลอดจากปากผู้ใดด้านนอกแม้แต่คำเดียว...ข้าจะถือเสียว่าเจ้ายกเลิกข้อตกลงของเรา’
คำพูดของนกยูงดำวนเวียนอยู่ในห้วงคิดของนางมาตั้งแต่เมื่อวาน จอมโจรจากแคว้นเกาผู้นั้นเป็นคนต่างถิ่นแท้ๆ แต่กลับมีสีหน้ามั่นใจราวกับไม่รู้จักความกลัว จนป่านนี้แล้วนางก็มิอาจสลัดภาพดวงตาสีน้ำตาลแดงทรงอำนาจคู่นั้นไปได้
ข้อแรกนางถามเกี่ยวกับคนของชนเผ่าอสรพิษ
ข้อสองนางถามเกี่ยวกับปานรูปนกยูงรำแพน
ข้อสามนางถามเกี่ยวกับจอมโจรวิญญูชน
ทั้งสามอย่างดูไม่เห็นจะเกี่ยวพันกันตรงไหน โดยเฉพาะข้อสาม...เรื่องของจอมโจรวิญญูชน
จิ้งเหม่ยหลินสั่งให้ลูกน้องไปสืบข่าวเกี่ยวกับเฮยขงเชว่แล้ว ทว่าข่าวสารนอกเมืองจื้อโหยวจำต้องใช้เวลานานกว่าในการเก็บรวบรวม หอเวหาเป็นแหล่งซื้อขายข่าวอันดับหนึ่งในเมืองจื้อโหยวก็จริงอยู่ แต่ที่นี่กลับเทียบไม่ได้เลยกับแหล่งซื้อข่าวในแคว้นอื่นๆ ที่มีเส้นสายแทรกซึมได้ลึกซึ้งและมีจำนวนมากกว่า
“นายหญิงเจ้าคะ แขกที่ท่านรอมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของลู่ซูดังขึ้นจากด้านนอก นายหญิงแห่งหอเวหารู้สึกตัวก็รีบจัดแจงเสื้อหน้าผมให้เรียบร้อยในเวลาอันสั้น
แม้นางจะขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามอันดับสองของเมืองจื้อโหยวแต่กลับทำตัวประหนึ่งสาวน้อยที่ไร้ความมั่นใจ ท่าทีเขินอายประหนึ่งบุปผาแรกแย้มเช่นนี้มีเพียงไม่กี่คนที่จะมีโอกาสได้เห็น
นางกระแอมไอหนึ่งทีก่อนจะเดินไปนั่งรอตรงเก้าอี้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูห้อง “ให้เข้ามาได้”
“เชิญคุณชาย”
บานประตูเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มในชุดสีเทาเข้มผู้เป็นขวัญใจของสตรีแทบทั้งเมืองเป็นอันดับแรก
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นไม่ได้มีจิ้งเหม่ยหลินรวมอยู่ด้วย...
“จิ่นลี่” จิ้งเหม่ยหลินลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรีบร้อนก่อนจะชะเง้อคอยาวราวกับรอคอยการมาของใครบางคน
“ฮุ่ยเฉิงเขาไม่มาหรอก” อวิ๋นจิ่นลี่ซึ่งเดินไปทิ้งตัวลงบนตั่งยาวกล่าวเสริมโดยที่อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องถาม
“ขะ...ข้าไม่ได้รอเขาเสียหน่อย” นายหญิงแห่งหอเวหาปฏิเสธทันควัน แต่ถึงกระนั้นความผิดหวังในน้ำเสียงก็มิอาจรอดพ้นสายตาของชายหนุ่มไปได้อยู่ดี
นางคงไม่รู้เลยว่าเขามองดูนางมานานกว่าสิบห้าปี... นานพอๆ กับที่จิ้งเหม่ยหลินจ้องมองแผ่นหลังของซ่างกวนฮุ่ยเฉิงอย่างเลื่อมใสศรัทธา
“ข่าวที่เจ้าส่งพิราบมาแจ้งเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนหน้านี้ฮุ่ยเฉิงไปพักรักษาอาการอยู่นอกเมือง เมื่อได้ข่าวจากเจ้าเขาก็เร่งเดินทางกลับมา พอส่งกลับเขาถึงเรือน เจ้านั่นก็ถูกทางการเรียกตัวไปประชุมด่วน”
หญิงสาวเบือนหน้ากลับมายังผู้พูดทันที “หมายความว่าท่านอ๋องห้าแห่งแคว้นอู๋จะยกกำลังพลมาที่นี่จริงใช่หรือไม่”
“ข่าวสารเจ้าน่าจะไวกว่าข้ามิใช่หรือ?”
“เมื่อวานนี้ข้าวุ่นวายมาทั้งวัน ข่าวสารใหม่ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา...ข้ายังไม่มีเวลาได้อ่านหรอก” จิ้งเหม่ยหลินพาลคิดไปถึงจอมโจรนกยูงดำแล้วชักสีหน้าหงุดหงิดรำคาญราวกับอีกฝ่ายเป็นฝูงแมลงวัน พอปรายตามองบุรุษเจ้าสำราญก็พบว่าเขาทิ้งตัวนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนตั่งของนางราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“ฮึ! เจ้าน่ะ...ถูกตามล่าแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” หญิงสาวบ่นอุบอิบ
“หมายความว่าอย่างไร? ”
“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”
อวิ๋นจิ่นลี่ไม่เคยพูดว่าเขาคือ ‘จอมโจรวิญญูชน’ แต่ทุกครั้งที่คุณชายเสเพลผู้นี้หายไปจากเมืองจื้อโหยวทีไร... จอมโจรวิญญูชนก็จะปรากฏตัวที่ใดสักแห่งหนึ่งทุกครั้ง
เฮยขงเชว่ผู้นั้นก็ร้ายกาจไม่เบา หากปะทะกันสักหน่อยคงจะเป็นอะไรที่น่าดูชมอยู่ไม่น้อย
คิดๆ ไปแล้วก็เพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ว่าจอมโจรสาวผู้นั้นรู้แผนผังของหอเวหาหมดแล้ว จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้...มันอันตรายเกินไป!
“จิ่นลี่! เจ้าต้องช่วยวางค่ายกลในหอเวหาให้ข้าใหม่”
รูปประโยคที่ดูเป็นคำสั่งมากกว่าคำขอร้องทำเอาชายหนุ่มเลิกคิ้ว “มีเรื่องเกิดขึ้นในระหว่างที่ข้าไม่อยู่รึ”
“ใครบอกเจ้าเล่าว่ามี มิได้มีเสียหน่อย” คนร้อนตัวรีบปฏิเสธ “งานเทศกาลวันมะรืนคงมีคนทั่วทั้งยุทธภพหลั่งไหลเข้ามา ข้าไม่อยากให้พวกเขามาก่อความวุ่นวาย”
จ้างให้นางก็ไม่ยอมบอกหรอกว่าเฮยขงเชว่กำลังตามหาจอมโจรวิญญูชนอย่างเขาอยู่ ปล่อยให้ไม่ระวังตัวเช่นนี้ไปแหละดีแล้ว...นางล่ะหมั่นไส้บุรุษผู้นี้นัก!
“จริงสิ ระหว่างทางมาที่นี่ข้าเห็นชาวบ้านมุงอยู่ที่หน้าหอบุปผาแดง คนจากกรมอาญากำลังลำเลียงศพกันออกมา เรื่องนี้คงทำให้ใต้เท้าตี๋ปวดหัวน่าดู”
“แต่ไหนแต่ไร เมืองจื้อโหยวก็ไม่ค่อยมีเรื่องคดีภายในร้ายแรง กองกำลังทหารส่วนใหญ่จึงจะถูกใช้ไปกับการป้องกันเมือง เรื่องนี้อีกไม่นาน...บิดาของท่านคงจะถูกขอร้องให้ให้ความร่วมมือ”
“ไม่หรอก” อวิ๋นจิ่นลี่ส่ายหน้าแทบจะทันที “ยามนี้แคว้นอู๋เคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีแล้ว ไม่ว่าคดีภายในจะร้ายแรงเพียงใดก็คงต้องพักไว้ก่อนจนกว่าศึกภายนอกจะผ่านพ้น”
“คุณชายเสเพล หากเจ้ารับราชการแล้วช่วยแบ่งเบาภาระบิดาของเจ้าบ้างก็คงมีประโยชน์กับเมืองจื้อโหยวไม่น้อย” สาวงามอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนม อวิ๋นจิ่นลี่เป็นบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพอวิ๋นฮว้าซึ่งปีนี้ก็อายุห้าสิบห้าแล้ว แต่ที่อีกฝ่ายไม่ยอมเกษียณก็เพราะไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมพอจะมารับช่วงต่อ
อวิ๋นจิ่นลี่ผู้นี้มีความสามารถแต่ใช้ไม่ได้ สู้พี่ฮุ่ยเฉิงของนางก็ไม่ได้... ต่อให้เขาจะพิการต้องนั่งรถเข็นแต่ก็ยังรับราชการ เป็นขุนนางผู้แสนภักดี คอยรับใช้บ้านเมือง
“จะให้ข้าไปนั่งรอฟังคำสั่งของเจ้าเมืองอ่อนแอผู้นั้นน่ะรึ! หึ...การศึกครั้งนี้ยังไม่รู้เลยว่านางมีวิธีรับมืออย่างไร” ชายหนุ่มส่ายหัวพลางทำสีหน้าเอือมระอา “เอาเป็นว่าข้ามีแนวทางรับใช้บ้านเมืองในแบบของข้าก็แล้วกัน”
“คนอย่างเจ้าเอาแต่เข้าหอโคมเขียว” สาวงามกล่าวพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย ขณะที่อวิ๋นจิ่นลี่หยิบผลส้มขึ้นมาจากตะกร้าสานเบื้องหน้ามาโยนเล่น กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงกว่าเดิม
“ช่างเรื่องซูเฉิ้งหนานไปก่อน ที่ข้าแวะมาหาเจ้าก็เพราะมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามเสียหน่อย”
จิ้งเหม่ยหลินเดินมาฉวยส้มผลนั้นในระหว่างที่มันลอยอยู่กลางอากาศ “ค่าซื้อข่าว ข้าขอเรียกเงินสักสิบตำลึงทอง”
ร่างในอาภรณ์สีเทาเข้มดีดกายขึ้นมานั่งก่อนจะคว้าผลส้มกลับคืนมา “จริงๆ ก็ไม่เชิงว่าข้าอยากรู้ แต่เป็นพี่ฮุ่ยเฉิงของเจ้าต่างหากที่อยากรู้”
คำพูดของชายหนุ่มประหนึ่งมีมนต์คาถา พริบตาเดียวสีหน้าบึ้งตึงของร่างบางก็แปรเปลี่ยนไปโดยทันที “พี่ฮุ่ยเฉิงอยากรู้เรื่องอันใดหรือ”
อวิ๋นจิ่นลี่ยกยิ้มบางเบาให้กับท่าทีกระตือรือร้นของอีกฝ่าย เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับวางผลส้มลงบนศีรษะของจิ้งเหม่ยหลินด้วยความมันเขี้ยว
“...ข่าวคราวเกี่ยวกับจอมโจรนกยูงดำ”