“สรรพนามเมื่อครู่ก็ดีนะ อาชอบ” เขาเดินเข้ามาใกล้พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึก
“เอ่อ... ขอโทษนะคะที่ถือวิสาสะเรียกอาจารย์ว่าคุณอา หนูไม่ได้ตั้งใจ”
“ถ้าจะเป็นแฟนกันน่ะต้องเปลี่ยนสรรพนามนะ” เขาเดินเข้าหาอีก เธอเผลอถอยแต่เขารั้งเอาไว้ ตรงนี้เป็นสวนหลังร้านที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงามมีน้ำพุและเก้าอี้สำหรับนั่งรับลม สามารถมายืนชมทัศนียภาพอันสวยสดงดงามและชมดอกไม้หลากหลายชนิดที่ส่งกลิ่นหอมจับจิตจับใจได้ถนัดตา เจ้าของร้านเป็นคนรักธรรมชาติและต้นไม้จึงชอบแต่งสวนให้ลูกค้าชม
“แทนตัวเองว่าไหม เรียกฉันว่าอาเดช ถึงจะเหมาะเป็นแฟนกัน”
“อาเดชเอ่อ... ยอมตอบตกลงแล้วเหรอคะ”
“เป็นแฟนกับอาต้องทำหลายอย่างเลยนะ” น้ำเสียงของเขาฟังแล้วทำให้เธอหัวใจเต้นระทึก
“ไหมไม่ได้จะเป็นแฟนกับอาเดชจริงๆ เสียหน่อย แค่หลอกสองคนนั่นเท่านั้น”
“ทำไมต้องหลอกสองคนนั่นล่ะ”
“วิษณุน่ะเคยเป็นแฟนเก่าของไหม ส่วนยายกาญจน์นั่นเป็นเพื่อนสนิทของไหม แต่เมื่อก่อนนะคะ เดี๋ยวนี้ชิ! คนหน้าไหว้หลังหลอกแบบนั้นไหมไม่รับเป็นเพื่อนหรอก”
“อาไม่ใช่นักแสดงให้ใครนะ” เขาเดินถอยห่างก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะ
“ถ้าเป็นแฟนกันจริงๆ ต้องทำอะไรบ้างคะ” เธอโพล่งถามออกไป จะหน้าแตกต่อหน้าคนทรยศหักหลังสองคนนั่นไม่ได้
“แล้วอาจะบอก”
“สรุปคุณอายอมช่วยไหมหรือยังคะ”
“ครับ” เขาตอบรับน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แววตาทำเอาเธอใจสั่นสะท้าน ใยไหมยิ้มกว้าง หัวใจเต้นผิดจังหวะยามเห็นร่างสูงสง่าที่เดินกลับไปที่โต๊ะด้วยท่วงท่าน่ามอง เธอเผลอมองแผ่นหลังตั้งตรง ช่วงขาเพรียวแข็งแรงที่สัมผัสกับกางเกงเนื้อดียามเขาขยับต้นขาเดินอย่างเชื่องช้า
ดนุเดชเป็นผู้ชายที่สะอาดสะอ้านดูมีเสน่ห์อย่างล้ำลึก กลิ่นกายของเขาหอมกรุ่นทำเอาหัวใจของเธอร้อนระอุอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอไม่ชอบผู้ชายสูบบุหรี่เพราะไม่ชอบกลิ่นของมัน แต่เดาเอาว่าเขาไม่ได้สูบบุหรี่อาจเพราะปากของเขามันน่าจูบน่ะสิ
บ้า! เหรอ เธอไปคิดว่าปากของเขาน่าจูบได้ยังไงกัน หญิงสาวเม้มปากกะพริบตาปริบๆ เอามือตบที่ปากตัวเองเบาๆ ว่าห้ามคิดฟุ้งซ่าน
“อาหารมาแล้วค่ะอาจารย์” ติรกาญจน์ยิ้มแย้มเมื่อเห็นอาจารย์หนุ่ม ใยไหมมองอย่างหมั่นไส้ ถ้าไม่เพราะอยากแสดงให้รู้ว่าถึงไม่มีวิษณุเธอก็สามารถมีผู้ชายคนอื่นมาชอบเหมือนกันคงไม่ให้สองคนนี่ร่วมโต๊ะเด็ดขาด
“อาจารย์ยังไม่ตอบเลยนะคะว่าอยู่บ้านใกล้กัน เจอกันปิ๊งกันเลยเหรอคะ”
“ครับ” ดนุเดชตอบรับเสียงราบเรียบติดจะสุภาพและไว้ตัว เขาไม่อธิบายไม่พูดมาก แต่คำเดียวทำให้คนทั้งสองที่อยากรู้หนักหนานิ่งอึ้งไปเลย วิษณุกำหมัดแน่น เขารู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูก คบกับติรกาญจน์มาระยะหนึ่ง ความน่ารักอ่อนหวานของเธอหายไป เหลือแต่ความน่ารำคาญ สิ่งเดียวที่เขาได้จากเธอคือความร้อนแรงจากเซ็กซ์ แต่อย่างอื่นเขาไม่เห็นในตัวเธอเลย ครั้งแรกที่เขาคิดว่ารักเธอคือความหลงใหลได้ปลื้มแค่นั้นเอง ติรกาญจน์เทียบกับใยไหมไม่ได้เลย มันเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด
เป็นอีกครั้งที่วิษณุนึกเปรียบเทียบหญิงสาวสองคนในใจ อีกคนแสนดี แม้จะหวงเนื้อหวงตัวแต่เธอก็หวงเนื้อหวงตัวไม่ไปยุ่งกับผู้ชายคนอื่นด้วย เธอช่วยเขาหลายอย่างเพราะฐานะทางบ้านเขาไม่ดีด้วย เธอไม่เคยรบกวนเงินของเขา กินอาหารด้วยกันก็ช่วยแชร์ แถมเวลามีรายงานหรือมีงานต้องส่งอาจารย์เธอก็ช่วยทำให้ ในขณะที่ติรกาญจน์ใช้เงินฟุ่มเฟือยให้เขาออกค่าใช้จ่ายตลอดทั้งๆ ที่กินด้วยกันแถมบางทีก็พาเพื่อนมาด้วยหลายคน นอกจากเธอไม่ช่วยเขาประหยัดแล้วยังไม่เคยช่วยเขาทำรายงานหรืองานส่งอาจารย์เมื่อเขาต้องทำงานพิเศษและทำอะไรไม่ทัน
ติรกาญจน์ไม่เรียบร้อย ไปบ้านของเขาก็ไม่เคยหยิบจับงานบ้านอะไรเลยนอกจากทำรกยิ่งกว่าเดิม แตกต่างจากใยไหม เธอช่วยเขาทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า เธอเรียบร้อยและจริงใจ
เขามีบ้านหลังเก่าๆ เป็นมรดกตกทอดจากบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว และรถคันเก่าๆ อีกหนึ่งคัน ใยไหมไม่เคยพูดจาดูถูก แต่ติรกาญจน์บ่นเสมอว่าเขาจะซื้อรถใหม่ ในขณะที่เขายังเรียนไม่จบ
“อาหารมาพอดีเลยค่ะอาเดช หิวจังเลย” ใยไหมหันไปพูดกับดนุเดชไม่อยากสนใจคนทั้งสองอีก แต่แอบสะใจเล็กๆ ที่คนทรยศทั้งสองนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ตรงหน้าเธอ
ติรกาญจน์เห็นอาหารบนโต๊ะแล้วกลืนน้ำลายพร้อมเบือนหน้าหนี เธอกินเผ็ดไม่ได้และใยไหมก็รู้เรื่องนี้ด้วย
ใยไหมจึงแอบสะใจเล็กๆ
“เอาจ้ะกาญจน์ ฉันตักให้นะ” ใยไหมตักผัดเผ็ดกบให้อีกฝ่าย ติรกาญจน์ใบหน้าเหยเกในทันที
“อาเดชลองชิมสิคะ อาจจะเผ็ดนิดหนึ่งแต่รับรองว่าอร่อยมากเลยค่ะ” เธอตักแกงป่าให้เขา ดนุเดชตักมาชิม เขารับประทานเผ็ดได้ คนที่ลุ้นว่าเขาจะกินได้ไหมเม้มปากเล็กน้อย
“อร่อย” เขาตอบเธอ ใยไหมคิดว่าจะได้แกล้งเขาด้วยแต่ผิดหวัง เขาหันมามองสบตา สายตารู้ทันของเขาทำให้เธอหลบวูบ
ติรกาญจน์มองคนที่รับประทานอาหารเผ็ดจัดทั้งสามคนอย่างหงุดหงิดใจในขณะที่เธอนั่งเขี่ยอาหารไปมา
“ไม่กินเหรอครับ” ดนุเดชเป็นคนเอ่ยถาม
“กาญจน์ไม่กินเผ็ดน่ะค่ะ”
“ไม่สั่งอาหารอย่างอื่นล่ะครับ” เขาเอ่ยถามก่อนจะเรียกพนักงานให้นำเมนูมาให้ ติรกาญจน์หันไปเหยียดยิ้มให้ใยไหม
“กินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่เห็นต้องมานั่งในร้านนี้เลย ร้านนี้เขามีแต่อาหารป่า อาหารเผ็ดค่ะอาเดช” เธอพูดกับติรกาญจน์แต่หันไปมองดนุเดช
“คงต้องกินไข่เจียวล่ะมั้ง”
ใยไหมกรอกตาไปมา สมัยก่อนอีกฝ่ายไม่อยากจ่ายค่าอาหารเองก็ตามติดเธอมารับประทานอาหาร ด้วยความที่เธอเห็นใจเพื่อน สงสารเพื่อนเลยสั่งไข่เจียวมาให้ พอพูดออกไปแบบนั้นก็ยิ่งเจ็บใจ เธอเคยดูแลติรกาญจน์อย่างดี แต่อีกฝ่ายกลายมาเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดแย่งแฟนไปหน้าด้านๆ ต่อหน้าทำตัวน่าสงสารจนเธอหลงเชื่อว่าดีจริง ไม่เหมือนอรสาฝ่ายนั้นตรงไปตรงมาไม่ต้องนั่งเดาว่าคิดอะไรอยู่ให้ปวดหัว
“ไข่เจียวก็ได้ค่ะ แหม... ไหมนี่น่ารักจังเลยยังจำได้”
“จำได้สิเพราะเธอชอบตามฉันกับอรมากินอาหารที่ร้านนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าเผ็ดเพราะไม่อยากจ่ายค่าอาหารเอง เลยต้องมาทนนั่งกินไข่เจียว” ใยไหมตอกกลับ ติรกาญจน์หน้าซีดเผือดนึกแค้นเคืองในใจ
“พี่คะ เอาไข่เจียวให้เพื่อนของฉันหน่อยค่ะ ใส่สตอเยอะๆ นะคะ” ใยไหมหันไปสั่งก่อนจะเน้นย้ำคำว่า “สตอ” ใส่หน้า ติรกาญจน์ หญิงสาวอยากจะกรีดร้องแต่ติดว่ามีผู้ชายอีกสองคนนั่งอยู่ถ้าไม่เพราะต้องรักษาภาพพจน์เธอคงลุกขึ้นไปตบใยไหมให้หน้าหันแล้ว แถมวิษณุก็ไม่สนใจจะปกป้องเธอเลย
“ใส่สตอเหรอครับ” พนักงานชะงักเกาหัวไปมา ใยไหมยักคิ้วให้ติรกาญจน์ อีกฝ่ายรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“ไม่ใช่สตอค่ะ เพื่อนเขาล้อเล่นน่ะค่ะ” ติรกาญจน์แค่นยิ้มให้พนักงาน อีกฝ่ายพยักหน้าเดินถอยห่างออกไปอย่างสุภาพ
“อาเดชชิมอันนี้สิคะ แซ่บอย่าบอกใครเลยค่ะ ผัดเผ็ด สตอกุ้งสด” คนตักหันไปเน้นคำว่า “สะตอ” ใส่ติรกาญจน์
“อาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์เหรอครับ” วิษณุเอ่ยถาม รู้สึกว่าแฟนใหม่ของอดีตคนรักภาษีดีกว่าตนเยอะ เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกเสียดายใยไหมจับใจ เห็นท่าทีเอาอกเอาใจนั้นแล้วเขาแทบทนไม่ไหว ใยไหมกอดแขนของดนุเดชตักอาหารให้ หล่อนไม่เคยทำแบบนี้กับเขา เธอหวงเนื้อหวงตัวกับเขาเสมอ ให้มากสุดแค่จับมือเท่านั้น
“ครับ” ดนุเดชตอบรับเสียงสุภาพ เขามองเด็กหนุ่มที่อายุห่างกันหลายปีด้วยสายตาเรียบเฉย วิษณุหลบสายตาไม่กล้าสู้แรงตาสีเทาเข้มคู่คมนั้น
“อาเดชคะ แกงไตปลารสชาติแซ่บถึงทรวงค่ะ ร้านนี้อร่อยมากนะคะ หอมด้วยไม่คาว” เธอตักมาจ่อที่ปากของเขาก่อนจะยิ้มหวานส่งไปให้ เขาอ้าปากรับมาเคี้ยวเบาๆ ด้วยกิริยาสุภาพเรียบร้อย