ขณะกำลังจะเริ่มการประมูล แม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างก็กระตือรือร้น พวกเขาส่วนหนึ่งเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่ จึงมีกำลังทรัพย์อยู่มาก ส่วนหนึ่งวันนี้ได้รับการ ปูนบำเหน็จจากฮ่องเต้มาพอสมควร ทุกคนจึงแลดูคึกคัก
“เอาเหล้ามาเพิ่มอีก คืนนี้ท่านแม่ทัพจะได้อิงแอบสาวงาม ฮ่าๆ” มู่หลี่เฉียงหัวเราะลั่น เขาเป็นคนมีรูปกายกำยำสูงใหญ่เกือบเท่าจวิ้นอ๋อง มักจะเสียงดังและเอะอะโผงผาง
เสี่ยวเอ้อฟ่านรีบนำเอากาสุราใหม่มาวางต่อหน้าหมิงจิ้นเหอ เขารินเหล้าแล้วกระดกเข้าปากแล้วจ้องมองไปบนเวที เขามิได้หมายตาคุณหนูบ้านใด บรรดาบ่าวและนางกำนัลในวังยิ่งไม่คิดจะแตะต้อง แม้จะอยู่หัวเมืองเหนือแต่จวนแม่ทัพของเขาก็แทบจะไม่มีบ่าวรับใช้เป็นสตรี ส่วนหนึ่งเพราะเขาต้องระวังตัว และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขายังไม่อยากผูกพันกับสตรีนางใด หากจะต้องหลับนอนกับผู้หญิงคนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า นานไปเขาย่อมรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ เลือกนอนกับนางโลมที่คัดสรรมาแล้วเพียงครั้งสองครั้งแก้ขัดก็น่าจะเพียงพอระบายความพลุ่งพล่านของวัยฉกรรจ์
เมื่อเจ้าหอจันทร์ฉายกรีดกรายออกมาประกาศให้ชายหนุ่มทั้งหลายเตรียมตัว เสียงโห่ฮาดังสนั่น “เริ่มการประมูลได้!”
แม่นางหลี่รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ส่วนหน้าอกนั้นมีขนาดอวบอัดแน่นจนทำให้สาบเสื้อส่วนบนปริ เมื่อนางเดินเยื้องกรายผ่านบรรดาทหารหนุ่ม ทุกคนล้วนลอบกลืนน้ำลาย ดวงตาลุกโชนเหมือนมองเห็นศัตรูตรงหน้า ต่างหมายจะตรงเข้าไปขย้ำให้ สิ้นซาก บั้นท้ายงอนงามของนางกระเพื่อมโยกย้ายไปตามจังหวะการเดินได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
นายกองผู้หนึ่งลุกขึ้นเสนอราคา “ข้าให้ห้าพันตำลึง” สิ้นเสียงนั้น ทหารอีกโต๊ะ ส่งเสียงโห่ลั่น
“ข้าให้หกพันตำลึง” เหล่าทหารม้าอีกโต๊ะไม่ยอมแพ้
“เจ็ดพัน” อีกโต๊ะลุกขึ้นยืนประกาศ ทำเอาสองโต๊ะแรกหันมามองพร้อมกัน สุราแรงฤทธิ์ทำให้พวกเขาล้วนเริ่มมึน จนลุกชี้หน้ากันเย้ยอีกฝ่ายที่ให้ราคาน้อย
“แปดพัน” นายทหารราบโต๊ะใกล้ๆ กับจวิ้นอ๋องตะโกนขึ้น เสียงโห่ยิ่งดังสนั่น ในเมื่อคืนนี้ทั้งหมดโดนเหมาโดยกองทัพภาคเหนือ ย่อมต้องเต็มไปด้วยเสียงเอ็ดอึง ด่าทอกันหยาบคายตามประสาผู้นิยมใช้กำลัง
รองแม่ทัพฉินหันมา “ท่านแม่ทัพราคากำลังขึ้น ท่านว่ายังไง?”
หมิงจิ้นเหอยิ้มเย็น เขารอให้ทุกคนเริ่มสู้ราคาไม่ไหวแล้วค่อยตบราคาเพียงครั้งเดียวก็พอ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา “หนึ่งหมื่นตำลึงน่าจะพอ”
“ใจเย็นฉินอี๋นั่ว เจ้าไม่ต้องห่วง ระดับท่านแม่ทัพถ้าบอกว่าจะเอา ยังไงคืนนี้ก็ต้องได้” มู่หลี่เฉียงยกจอกเหล้าขึ้นชูต่อหน้าแล้วกระดกลงไป
หมิงจิ้นเหอกระดกเหล้าอีกจอก รู้สึกแปลกใจในรสชาติ เขาชำเลืองมองไปด้านข้างเห็นเสี่ยวเอ้อหน้าขาวที่ยืนอยู่เยื้องไปคล้ายจะมีรอยยิ้มเยาะติดอยู่ริมฝีปากยิ่งมองยิ่งรู้สึกมึนงงมากขึ้นจนเปลือกตาหนักอึ้ง ชายหนุ่มพยายามยันกายลุกขึ้นยืนเพื่อประมูลเป็นคนสุดท้าย “หนึ่ง.....”
พั่บ!
“ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพ!” มู่หลี่เฉียงเขย่าร่างจวิ้นอ๋องในชุดนายทหารเต็มยศ แต่อีกฝ่ายกลับไปขยับเขยื้อน
“ข้าว่าท่านแม่ทัพไม่ไหวแล้ว ฉินหวังหย่ง เจ้าส่งท่านแม่ทัพกลับจวนเถิด” ชายหนุ่มในชุดทะมัดทะแมงสองคนที่ไม่รู้มาจากที่ใด จู่ๆ ก็ปรากฏกายอยู่ข้างหลัง ฟ่านซิ่วอิง เดินออกมาประคองจวิ้นอ๋องออกไปด้านนอก
‘หึ! ดีนะที่ใส่ผงนิทรามากหน่อย ช้าอีกเพียงนิดท่านคงเอ่ยราคาทันแล้ว’ นางเป่าลมออกจากปากเบาๆ แสร้งเดินตามไปดูแลจนถึงรถม้า คุณหนูฟ่านรื่นรมย์ใจเดินกลับเข้าไปดูบรรยากาศในหอจันทร์ฉายต่อ คืนนี้นางจะต้องแอบดูบรรดาสาวงามออดอ้อนออเซาะชายหนุ่มสักนิดหน่อยแล้วค่อยกลับจวน
จวิ้นอ๋องลืมตา ยังรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย เมื่อมองเห็นเพดานคุ้นตา ก็เริ่มทบทวนความจำ เมื่อวานเขากำลังประมูลหญิงงามอยู่ แล้วทำไมถึงกลับมานอนที่นี่ได้
“เจ้าออกมานี่สิ” เขาเรียกไม่ดังนัก แต่อีกฝ่ายกลับมาอยู่ต่อหน้าอย่างรวดเร็ว ในฐานะองครักษ์เงา ฉินหวังหย่งกับฉินจางหย่งสองพี่น้องมีหน้าที่คอยอารักขาจวิ้นอ๋องตลอดเวลา
“ขอรับ”
“เมื่อวานเกิดเรื่องใดขึ้น”
ฉินหวังหย่งเล่าเหตุการณ์ให้ท่านอ๋องฟัง จวิ้นอ๋องนึกเอะใจ “ข้าโดนผงนิทราเป็นแน่ เจ้าเสี่ยวเอ้อตัวแสบนั่น ให้คนไปสืบเดี๋ยวนี้”
องครักษ์คู่ใจรับคำ แล้วออกไปสั่งการให้ฉินจางหย่งผู้น้อง นำคนไปสืบหา เสี่ยวเอ้อหน้าขาว
‘นอกจากจะไม่ได้เชยชมหญิงงามแล้ว ยังต้องมาเสียท่าให้เจ้าเสี่ยวเอ้อนั่นอีก ถ้าไม่ได้แก้แค้นเห็นทีข้าจะไม่ควรเป็นปีศาจภูเขา’
คุณหนูฟ่านตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น (03.00-04.59 น.) นางแต่งกายแบบบ่าวรับใช้ออกไปตลาดในยามเหม่า (05.00-06.59 น.) เพื่อซื้อวัตถุดิบในการทำอาหาร ในช่วงที่อยู่หัวเมือง นางมักจะขอให้แม่ครัวเหลยสอนทำอาหารจึงพอมีฝีมือติดตัว และชมชอบการไปเดินเลือกซื้อของด้วยตนเอง นางเพิ่งกลับมาเมืองหลวงได้ไม่ถึงสิบวัน ได้เวลาทำอาหารให้ท่านย่ากับท่านพ่อได้ชิมฝีมือของนางบ้าง
ครั้นเดินผ่านร้านขายซาลาเปา นางกลับได้ยินชื่อที่ทำให้นางสะดุดหู
“นี่ ข้าแถมให้เจ้า ดีใจจริงๆ ที่จวิ้นอ๋องปราบพวกรุกรานได้อีกแล้ว”
“ท่านอ๋องของข้าเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกรนี่นา” อีกฝ่ายยิ้มรับอาหารใส่ลงในกล่องไม้ มีบ่าวติดตามอีกสามคนข้างหลัง
“ข้าได้ข่าวมาว่า ท่านอ๋องปฏิเสธการหมั้นคุณหนูท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายหรือ?”
“เจ้าไปได้ยินมาจากไหน?”
“คนเขาโจษจันกันทั่วเมืองนั่นแหละ บอกว่านางขี้ริ้ว ไม่รู้หนังสือ แถมยังไม่รู้กริยากุลสตรี ท่านอ๋องจึงรังเกียจ”
บ่าวจากวังจวิ้นอ๋องหัวเราะร่า “ก็แน่ล่ะสิ ท่านอ๋องของเราทั้งสง่างามและเก่งกาจ จะให้รับพระชายาเอกแบบนั้นได้ยังไง ยังมีคุณหนูโฉมงาม ตระกูลสูงศักดิ์อีกมากชม้ายตารอให้ท่านอ๋องสนใจ”
“อืม....ข้าได้เห็นท่านอ๋องครั้งแรกวันที่ขบวนทหารเดินทัพเข้ามานั่นล่ะ นึกว่าจะเหมือนฉายาปีศาจภูเขา ที่ไหนได้หล่อเหลาสง่างามจนสาวน้อยสาวใหญ่อยากจะโยนผ้าเช็ดหน้าให้เป็นแถว”
ฝ่ายฟังหัวเราะชอบใจ “เจ้าไม่รู้อันใด จวนเสนาบดีน่ะ ตามตื้อน่าดู อยากจะได้ท่านอ๋องเป็นเขย”
“อ้อ....สงสัยคุณหนูฟ่านคนนี้จะขายไม่ออก”
เสียงหัวเราะประสานกันดังลั่น คนที่อยู่ล้อมรอบต่างก็มารอฟังด้วยความสนใจ เรื่องของจวิ้นอ๋อง หมิงจิ้นเหอกลายเป็นเรื่องที่ทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวงล้วนกล่าวขวัญถึง นับตั้งแต่การชนะศึกใหญ่แล้วยกพลเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ชาวเมืองหลวงล้วนประทับใจกับรูปโฉมอันงามสง่าและความเก่งกาจของพระอนุชาที่ลือกันว่า ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานยิ่งกว่าผู้ใด
คุณหนูฟ่านเผลอกำหมัดแน่น ‘นี่เรื่องของข้า กลายเป็นเรื่องนินทาของชาวเมืองไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นเพราะท่านแท้ๆ จวิ้นอ๋อง หากท่านไม่มาปรากฏตัวที่นี่จนเอิกเกริกเรื่องปฏิเสธการหมั้นคงไม่กลายเป็นเรื่องสนุกปากของผู้คนเช่นนี้’ นางนึกถึงรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าคมคร้าม ดวงตาดำสนิทที่จ้องมองมา ‘ถ้ามีโอกาสอีกครั้งข้าจะต้องเอาคืนให้สาสม ที่ท่านทำให้ข้าถูกผู้คนหัวเราะเยาะเช่นนี้’
*********************