เมื่อดวงตก ดวงไม่ดี เราไปบวชชีกันดีกว่า! เพื่อน ๆ ลงความเห็นกันว่าแค่ทำบุญเก้าวัด คงขจัดความซวยครั้งนี้ไม่หมด หล่อนควรไปบวชชีพราหมณ์เอาฤกษ์เอาชัยเสียเลย
ถือโอกาสช่วงว่างงานไปนั่งสมาธิถือศีล จะได้ไม่ฟุ้งซ่านคิดมาก บางทีอานิสงส์จากการบวชเรียนอาจส่งผลให้ปัญหาทุเลาลงบ้าง อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยเรื่องจิตใจ
แต่!
“นี่วัดที่เก้าแล้วนะ ฉันไม่ได้จะมาทำบุญเก้าวัดนะเจ้ จะบวชชีพราหมณ์ มันลำบากขนาดนี้เลยเหรอ” โสรยาบ่นกระปอดกระแปดด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เดินผ่านประตูวัดแห่งที่เก้าอย่างสิ้นหวัง
ก่อนหน้านี้พวกหล่อนตระเวนไปขอคำปรึกษาเพื่อจะขอบวชชีพราหมณ์ แต่กลับไม่มีวัดไหนรับเลย บ้างก็ว่าเข้าพรรษาทางวัดมีกฎไม่รับบวชชี บ้างก็ว่าเจ้าอาวาสไม่อยู่ บ้างก็หัวหน้าแม่ชีป่วยไม่มีคนเตรียมการให้ สารพัดเหตุผลที่ผ่านมาทั้งแปดวัดทำให้หญิงสาวแทบจะร้องไห้
แม้แต่วัดวาอารามยังไม่ยินดีจะต้อนรับให้พึ่งพิง...
“เอาน่าพี่คุณโส...มันต้องมีสักที่แหละที่เขาอยากได้แม่ชีใหม่” ดาหวันยกมือแตะบ่าให้กำลังใจ
“เออ...วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ค่อยไปหากันใหม่ หรือไม่...ก็กลับต่างจังหวัดไปบวชที่บ้านพ่อบ้านแม่แกสินังคุณโส” ประภาดาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อนไม่ต่างกัน
“ไม่เอาหรอก...อยู่ไกลขนาดนี้พ่อแม่พี่น้องฉันยังโทร. มาด่าทุกวัน ขืนกลับไปสิได้เข้าวัดสมใจแน่”
“ก็ดีแล้วนี่ ก็กำลังหาวัดจะบวชชีกันอยู่” พรชัยโบกพัดมือกวักลมไกว ๆ ด้วยเพราะเป็นช่วงบ่ายที่อากาศร้อนจัด
“จะได้เข้าวัดไปเผาไงพี่ คิดว่าจะทันได้เกาะผ้าขาวเหรอ” หล่อนย้อน ทุกคนก็ทำหน้าแหย ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ
“ขอวัดนี้เป็นวัดสุดท้ายก็แล้วกัน เดี๋ยวไปถามพระท่านดูว่าบวชชีบวชพราหมณ์ได้ไหม ถ้าไม่ได้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที” พรชัยสรุป
โสรยาจึงเดินนำหน้าทุกคนตรงดิ่งไปยังกุฏิเจ้าอาวาสเพราะมีป้ายเขียนบอกเอาไว้ หล่อนหวังจะได้รู้บทสรุปเร็ว ๆ
หญิงสาวก้าวฉับ ๆ ไม่คิดรอใคร ใจมันร้อนรุ่มไปด้วยปัญหาที่รุมเร้า แม้จะอยู่ในวัดก็ไม่อาจสงบเย็นได้อย่างที่ใคร ๆ พูดกัน ยิ่งมากวัดก็ยิ่งทำให้ร้อนใจ เพราะไม่มีวัดไหนต้อนรับเลย!
“กรี๊ด! อีคุณโสระวัง!”
โสรยาชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนในแก๊งกรีดร้องเสียงหลง ขณะที่หล่อนกำลังหันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ หล่อนก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรงโดยไม่ได้ตั้งตัว “โอ๊ย!”
“คุณพระช่วย!” เสียงประภาดาอุทานขึ้น
“พระช่วยแล้ว มาช่วยพระบ้างเถอะโยม อาตมาจะไม่ไหวแล้วนะ”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะหลวงพี่...” ทีมกะเทยยกมือไหว้แล้วรีบปรี่ตรงไปช่วยพระรูปนั้นยกเสาต้นหนึ่งไปวางพิงกำแพงเอาไว้ ด้วยกำลังวังชาชายชาติกุลสตรีไทย เมื่อร่วมมือกันก็สามารถยกเสาปูนต้นใหญ่ได้ไม่ยากไม่เย็นเท่าไหร่เลย
“เกิด...อะไรขึ้น” โสรยานั่งพับเพียบอยู่กับพื้นด้วยอาการมึนงง มือลูบไปตามบริเวณก้นเพราะรู้สึกเจ็บร้าวพลางร้องโอดโอยเบาๆ “เกือบตายแล้วไหมล่ะอีคุณโส เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ เขตเขากำลังก่อสร้างกันอยู่ นี่ถ้าหลวงพี่ไม่ช่วยพยุงเสาไว้ทัน มีหวังทับหัวแกเป็นผีเฝ้าวัดไปแล้ว” พรชัยร่ายยาวในขณะที่คนอื่น ๆ เข้าช่วยประคองให้ลุกขึ้น
ส่วนพรชัยนั้นก็ไปช่วยหลวงพี่ยกเสาร่วมกับคนงานอื่น ๆ ที่กระโดดลงมาจากหลังคาบ้าง วิ่งมาจากด้านหลังบ้าง
“หลวงพี่เป็นอย่างไรบ้างครับ” คนงานคนหนึ่งเอ่ยถามพลางมองสำรวจพระสงฆ์ด้วยความเป็นกังวล
“ยังอยู่ดีโยม...แต่เกือบไปเหมือนกัน อาตมาตกใจหมดเลย สีกาเดินมาสะดุดเชือกเสามันเลยล้ม ดีที่อาตมายืนคุมงานอยู่ตรงนี้” หลวงพี่ถอนหายใจแรง ถอยหลังเดินออกไปจากบริเวณนั้น ในขณะที่เพื่อนของโสรยาก็พยุงพาหล่อนออกมาเช่นกัน
“หนู...ขอโทษนะคะหลวงพี่ หนูไม่เห็นเลยว่ากำลังก่อสร้างกันอยู่” หญิงสาวยกมือไหว้ด้วยความสำนึกผิด มองไปตรงนั้นก็เห็นว่าเป็นเขตก่อสร้างจริง ๆ มีคนงานหลายคนยังทำงานกันอยู่บนอาคารที่คิดว่าน่าจะเป็นศาลาอะไรสักอย่าง มีเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ก่อสร้างวางอยู่เต็มไปหมด
แต่...ก่อนหน้านี้หล่อนไม่เห็นเลยจริง ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ดุ่ม ๆ เข้าในเขตอันตรายหรอก
“ไม่เป็นไรหรอกสีกา คราวหลังก็ระวังหน่อยละกัน แล้วนี่มาทำอะไรกันตรงนี้ล่ะ”
“คือจริง ๆ จะมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องบวชชีพพราหมณ์ค่ะหลวงพี่ ไม่ได้ตั้งใจมาแถวนี้โดยตรงหรอกค่ะ อี...เอ่อ เพื่อนหนูสิคะ มันเดินตัวปลิวไม่ดูไม่ฟังอะไรเลย” ก็เลยมารวมตัวกันราวจะมาสมัครงานก่อสร้างนี่แหละ!
“อ๋อ ต้องไปทางนั้นนะโยม กุฏิเจ้าอาวาส ทางนี้มันศาลาสวดศพ หลังที่เห็นนี่ก็กำลังสร้างเพิ่ม ที่มีอยู่มันไม่พอน่ะ เต็มทุกศาลาเลย”
ทุกคนกวาดสายตามองกว้างไกลไปกว่าเดิม ก็พบว่าที่หลวงพี่พูดมานั้นเป็นจริงทุกประการ บรรยากาศเริ่มตึงเครียด เมื่อถัดไปไม่กี่สิบเมตรเป็นศาลาตั้งศพ และญาติผู้เสียชีวิตที่อยู่เฝ้าก็หันมองพวกหล่อนราวกับตัวประหลาด
“ถ้าอย่างนั้นพวกหนูขอตัวก่อนนะคะหลวงพี่ ขอโทษหลวงพี่อีกครั้ง กราบลาแล้วเจ้าค่ะ” ดาหวันรีบตัดบทแล้วสะกิดกะเทยรุ่นพี่ให้รีบพากันไปจากบริเวณนั้น ทุกคนก็เห็นด้วยและล่ำลาพระเจ้าโดยไม่ร่ำไร
“อีคุณโส...เป็นบ้าอะไรฮึ! เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเกือบได้ตั้งสวดพร้อมกันแล้วไหมล่ะ” ประภาดาบ่นกระปอดกระแปด ทุกคนต่างใจคอไม่ใคร่สู้ดีนัก เพราะพบเจอแต่เรื่องร้าย ๆ มาเยอะ ขนาดเข้าวัดเข้าวาก็ยังมีอุปสรรคไม่หยุดหย่อน
“เลิกกัดกันก่อนได้ไหม ทำธุระให้เสร็จแล้วค่อยว่ากัน” พรชัยกล่าวปราม ทั้งหมดเดินตรงไปยังกุฏิของเจ้าอาวาสตามคำบอกเล่าของพระหลวงพี่ที่คุมการก่อสร้าง เมื่อไปถึงก็เห็นว่ามีคนพูดคุยอยู่กับท่านด้านใน และด้านนอกก็มีรอคิวกันอยู่อีกจำนวนหนึ่ง จึงได้แต่ทำใจและนั่งรอ
โชคดีว่าท่านมีธุระกับคนเหล่านั้นไม่นานนัก...
“มีอะไรกันหรือโยม ดูหน้าตาเคร่งเครียด” พระท่านยิ้มทักขณะที่พวกหล่อนคลานเข่าเข้าไปนั่งกราบพร้อมเพรียง
“คือ...ช่วงนี้เพื่อนมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจค่ะหลวงพ่อ ก็เลยจะมาขอบวชชีพราหมณ์สักระยะ ไม่ทราบว่าที่วัดนี้บวชได้ไหมคะ” ประภาดาเกริ่นนำ “เอ่อ...”
“ไม่รับเหรอคะหลวงพ่อ โถ...นี่ไปมาตั้งแปดเก้าวัดแล้วนะคะ” ดาหวันยกมือไหว้ด้วยสีหน้าและท่าทางขอร้องสุดชีวิต
“เอ่อ...”
“รับหน่อยเถอะค่ะ เพื่อนหนูดวงไม่ดีจริง ๆ ทำอะไรก็มีแต่ปัญหา ขนาดไปขอบวชมาตั้งหลายวัดก็ยังไม่มีวัดไหนรับเลยค่ะหลวงพ่อ” การะเกดช่วยเสริม
“คือ...”
“ถ้าหลวงพ่อไม่รับ เพื่อนหนูมันต้องตายแน่ ๆ ค่ะ เมื่อกี้ก็ผ่านความตายมาหมาด ๆ” ดาหวันถึงกับน้ำตาซึม
“หลวงพ่อคะ...” โสรยาทำท่าจะเอ่ยขึ้นบ้าง แต่พระท่านก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“หยุดก่อนโยม ให้อาตมาได้มีโอกาสพูดบ้างเถอะนะ”
“ขอโทษเจ้าค่ะหลวงพ่อ” ทุกคนเอ่ยพร้อมกันพลางก้มงุดด้วยความละอายใจ
“คืออย่างนี้ จะบวชก็บวชได้นะ แต่สีกาแน่ใจเหรอว่ามันใช่วิธีแก้ปัญหาจริง ๆ อย่างที่ต้องการ”
“ก็...อย่างน้อย ๆ อาจทำให้สบายใจขึ้นค่ะหลวงพ่อ”
“หลวงพ่อดูดวงให้เพื่อนหนูหน่อยได้ไหมคะ ว่ากำลังดวงตก โชคอับ หรือชะตาจะถึงฆาตอะไรแบบนี้ไหมคะ พักนี้มันมีแต่เรื่องแต่ปัญหาค่ะหลวงพ่อ” ประภาดารีบกล่าว เมื่อสังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสมองมายังโสรยาด้วยท่าทีหนักใจ
“ก็เอาสิ...ตรวจชะตาหน่อยก็ดี จะบวชหรือไม่บวชเดี๋ยวค่อยว่ากัน เขียนวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟากมานะสีกา” ว่าพลางท่านก็โยนสมุดเล่มใหญ่พร้อมปากกา เปิดไปยังหน้าที่ต้องการให้หญิงสาวเขียนตามที่บอก
โสรยารับมาแบบงง ๆ เพราะหล่อนตั้งใจมาขอบวชชีพราหมณ์ ไม่ได้คิดถึงการดูดวงตรวจชะตาแต่อย่างใด แต่ก็เริ่มอยากรู้ความเป็นไปของตัวเองอยู่เหมือนกันว่า พระศุกร์จะเข้าพระเสาร์จะแทรกอะไรนักหนา ทุกความโชคร้ายจึงประเดประดังเข้ามาในเวลาไล่เลี่ยกันอย่างนี้
หญิงสาวจดรายละเอียดต่าง ๆ แล้วส่งสมุดให้เพื่อนกะเทยส่งให้พระท่านอีกที เพราะตัวเองเป็นผู้หญิงจึงไม่เป็นการสมควร
ท่านเจ้าอาวาสหยิบแว่นตามาสวม แล้วเขียนอะไรขยุกขยิกในแบบที่พวกหล่อนไม่เข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจราวกับหนักอกนักหนา
“ช่วงนี้ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงชีวิตหรอกไม่ต้องห่วง ให้ระวังคนใกล้ตัวไว้นะ ยิ่งใกล้ยิ่งอันตราย” ท่านว่า
“ยังไงคะหลวงพ่อ อันตรายยังไงคะ”
“เขาจะนำภัยมาให้ อาตมาบอกได้แค่นี้ ดวงลงก็มี ดวงขึ้นก็มี จะปรากฏคนอุปถัมภ์ค้ำจุนช่วยเหลือ เดี๋ยวเขาก็มา ไม่ต้องบวชหรอก สีกายังไม่มีดวงจะได้บวชเรียนทางศาสนา ต่อให้บวชก็ต้องมีเหตุให้ต้องสึกก่อนเวลาอยู่ดี แต่อีกหน่อยจะได้ที่พึ่งเป็นหลักเป็นฐานเชียวละ คนจะอุปถัมภ์เขาเป็นคนดีอยู่นะ”
“จะมีคนอุปถัมภ์...แบบผู้พวกเสี่ย ๆ ป๋า ๆ งี้เหรอคะหลวงพ่อ” พรชัยถามอย่างใคร่รู้ ก่อนจะหันมากระซิบกระซาบกับเจ้าของดวงชะตา “เฮงแล้วอีคุณโส...ไม่ต้องกลัวไม่มีงานไม่มีเงินเพราะจะมีผู้หลักผู้ใหญ่มาอุปถัมภ์เลี้ยงดูแล้ว”
“บ้าสิ ไม่เอา...แบบนั้นไม่ชอบ” ใช่...ถ้าชอบ ป่านนี้ไม่ต้องลำบากลำบนมารับงานรีวิวให้เมื่อยกรามไปนานแล้ว เพราะผู้ชายมากหน้าหลายตาเสนอตัวจะเลี้ยงดูหล่อนมานักต่อนัก หล่อนก็ปฏิเสธไปทุกราย ด้วยรู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถ ไม่จำเป็นต้องหาเงินด้วยวิธีที่ตัวเองไม่ถนัด
แม้สเปกหนุ่มในฝันจะเป็นรุ่นพี่รุ่นป๋ารุ่นเสี่ยก็เถอะ แต่คนเหล่านั้นก็เข้ามาด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ มันไม่ใช่ความรักความผูกพัน เป็นเพียงความกระหายชั่วครู่ชั่วยาม หล่อนจึงไม่เคยคิดต้องการ
“อืม...แต่ตามดวงบอกว่า จะได้เด็กอุปถัมภ์นะโยม”
“เด็ก...” เด็กที่ไหน? ทุกคนอุทานเบิกตาโพลงด้วยความฉงน มีที่ไหนล่ะเด็กอุปถัมภ์ เคยได้ยินแต่ผู้ใหญ่อุปถัมภ์กันทั้งนั้น ดวงชะตาโสรยานี่ดูจะพิกลพิการประหลาดแท้
“เด็กทางศาสตร์นี้ไม่ได้หมายถึงเด็กที่อายุน้อยกว่าเราเพียงอย่างเดียวหรอกนะพวกโยมทั้งหลาย อาจจะดูเด็กกว่าเราแต่อายุมากกว่าก็ได้ หรือความคิดความอ่านเราโตกว่าเขาก็ได้ การวางตัวการใช้ชีวิตดูเด็กกว่าเราก็ได้เช่นกัน” ท่านว่าต่อ
“อ๋อค่ะ...แล้วอย่างนี้หนูก็ไม่ได้ดวงตกถึงกับอันตรายต่อชีวิตจริง ๆ ใช่ไหมคะหลวงพ่อ” หล่อนถามย้ำอย่างต้องการความแน่ใจ เรื่องจะมีเด็กหรือผู้ใหญ่มาเลี้ยงดูนั้นไม่ได้สนใจอะไรนัก
“ไม่หรอก มันเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง มีอะไรหลายอย่างจะเปลี่ยนไป ทั้งหน้าที่การงานและครอบครัว แต่ไม่ตายหรอก”
“แล้วเด็กที่ว่าเนี่ย ใช่เนื้อคู่หรือเปล่าคะหลวงพ่อ” ดาหวันอยากรู้ขึ้นมาทันที ทุกคนมองเจ้าหล่อนเป็นตาเดียวกัน
“อาจจะใช่ก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ แต่จะได้เจอกัน จะได้อยู่ด้วยกัน”
“ว้าย! อีคุณโสจะมีผัว” การะเกดหวีดเบา ๆ ทุกคนยกเว้น โสรยาป้องปากหัวเราะคิกคักอย่างอดไม่ได้ จนท่านเจ้าอาวาสต้องกระแอมเตือน
ทุกนางจึงยกมือที่พนมอยู่ขึ้นสูงจรดหน้าผากเพื่อเป็นการขอโทษท่าน ที่แสดงกิริยาเสียมารยาท
“ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าหนูยังไม่ควรบวชชีตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นหนูขอทำบุญถวายปัจจัยให้กับทางวัด ช่วยสนับสนุนการก่อสร้างศาลาสวดพระอภิธรรมหลังนั้น จะได้หรือเปล่าคะ”
“ได้สิสีกา... เป็นกุศลใหญ่เชียว เอาตามกำลังที่มีนะ เพราะบุญกุศลที่ได้มันอยู่ที่แรงใจและแรงศรัทธา ไม่ใช่แรงเงิน” ท่านเจ้าอาวาสยิ้มให้ทุกคนด้วยความเอ็นดู ทั้งสอนคติธรรมในการใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทอีกหลายอย่าง
โสรยาและเพื่อน ๆ ร่วมถวายปัจจัยจำนวนหนึ่ง เพื่อสมทบทุนสร้างอาคารหลังที่หล่อนเดินผ่าน และเกือบโดนเสาล้มลงมาทับตาย!