เหมาชิวถัง ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเขาเป็นนักการเมืองที่ชื่นชอบคนสวย เขาควงดาราสาวไม่ซ้ำหน้ากันในแต่ละวัน นอกจากธุรกิจของตระกูลที่ทำให้เขาร่ำรวยแล้ว ยังมีธุรกิจมืดคือการค้ายาและการค้าอาวุธที่ช่วยส่งเสริมให้ตระกูลของเขาร่ำรวยมากยิ่งขึ้นไปอีก
จางหนิงเอ๋อขบคิดถึงวิธีการที่จะนำลายนิ้วมือของเหมาชิวถังออกมาด้วยอยู่สักพัก จึงได้ข้อสรุปว่าจะปลอมตัวเข้าไปร่วมงานเลี้ยงและแอบลักลอบนำแก้วไวน์ที่เหมาชิวถังเคยจับไว้ออกมาด้วย เพราะเธอทราบมาว่าเหมาชิวถังนั้นคลั่งไคล้ในการดื่มไวน์เป็นอย่างมาก
และแก้วไวน์นี่คงพอจะใช้ส่งงานให้นายจ้างได้ ซึ่งเธอก็ไม่ทราบแน่ชัดว่านายจ้างนั้นคือใคร ทุกอย่างล้วนเป็นความลับหมดทั้งสิ้น
คิดได้ดังนั้นแล้วจางหนิงเอ๋อจึงไปอาบน้ำและแต่งตัวด้วยชุดราตรีสีโรสโกลด์โชว์แผ่นหลังขาวผ่อง แต่งหน้าฉ่ำ ๆ ด้วยลุคที่ดูเซ็กซี่เย้ายวนใจ พร้อมทั้งใส่ส้นสูงห้านิ้วสีชมพูอ่อนที่ดูเข้ากันกับชุดเป็นอย่างดี ออกไปขึ้นรถแท็กซี่หน้าคอนโดที่เธอเช่าเอาไว้ตอนมาทำงานได้เงินเดือนแรก
เมื่อแท็กซี่ขับรถมาจอดยังหน้าบริษัทเหมาแล้ว เธอจึงก้าวเท้าลงจากรถด้วยท่วงท่าที่สง่าผ่าเผยพร้อมทั้งส่งยิ้มน้อย ๆ เมื่อพบเจอกับผู้คนตลอดทางเดินเข้างาน
โชคดีเป็นของเธอ เมื่องานเลี้ยงของบริษัทที่จัดขึ้น ไม่มีการคัดกรองคนเข้าร่วมงาน เนื่องจากเหมาชิวถังต้องการซื้อใจพนักงาน โดยการจับสลากของรางวัลชิ้นใหญ่หนึ่งร้อยรางวัล และอนุญาตให้พนักงานทุกคนนำคนในครอบครัวเข้ามาร่วมงานได้
จางหนิงเอ๋อ เข้ามาร่วมงานเลี้ยงในขณะที่เหมาชิวถังกำลังจับฉลากรายชื่อผู้โชคดีคนที่สามสิบห้าขึ้นมารับรางวัลพอดี เธอรอจนกระทั่งการจับฉลากดำเนินไปจนถึงคนที่ห้าสิบ พิธีกรบนเวทีจึงประกาศคั่นรายการโดยการแสดงโชว์ชุดพิเศษจากนักร้องชื่อดังขึ้นมาร้องเพลงให้ความสุขกับเหล่าผู้คนภายในงาน เหมาชิวถังจึงเดินลงจากเวทีและเดินไปนั่งยังโต๊ะผู้บริหาร
จางหนิงเอ๋อสังเกตพบว่าเขาชอบดื่มไวน์องุ่นเป็นพิเศษ เธอจึงรอจนกระทั่งเขาลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วจึงเดินตามหลังเขาไปติด ๆ พร้อมกับถือแก้วไวน์ที่มีไวน์องุ่นอยู่ครึ่งแก้วไปด้วย เมื่อเห็นว่าเหมาชิวถังเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว จางหนิงเอ๋อจึงเริ่มทำตามแผนของตนทันที
“โอ๊ยยย!” จางหนิงเอ๋อร้องขึ้นพลางกระเด็นไปข้างหลังเล็กน้อย
“คุณไม่เป็นอะไรนะครับ?” เหมาชิวถังถามหลังจากประคองจางหนิงเอ๋อไว้ในอ้อมแขน
“ไม่เป็นไรค่ะท่านประธาน ต้องขอโทษด้วยที่ฉันซุ่มซ่ามเดินไม่ระวังจนชนกับท่านประธานเข้า” จางหนิงเอ๋อตอบพลางหลุบตาลงมองพื้น
"คุณชอบดื่มไวน์เหมือนกันเหรอครับ?" เหมาชิวถังถามขึ้นเมื่อมองเห็นว่าจางหนิงเอ๋อถือแก้วไวน์ติดมือมาด้วย พลางใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังหญิงสาวไปมาเบา ๆ
“ชอบมากเลยค่ะท่านประธาน สนใจดื่มไวน์ด้วยกันสักแก้วไหมคะ?”
จางหนิงเอ๋อกัดฟันตอบอย่างพยายามควบคุมความโมโหที่ตนถูกลวนลามเอาไว้อยู่ภายในใจ
“ผมต้องสนใจดื่มไวน์กับคนสวยอยู่แล้ว ถ้าคุณไม่รังเกียจ เราเข้าไปดื่มไวน์ข้างในกันดีกว่าไหมครับ?” เหมาชิวถังกล่าวชวน
“ได้ค่ะ แต่ขอเป็นที่ลับตาคนหน่อยนะคะ เพราะฉันยังไม่อยากเป็นข่าวและตกเป็นเป้าสายตาของใครค่ะ” จางหนิงเอ๋อตอบ
“ได้ครับ เชิญ” เหมาชิวถังพูดพร้อมกับเดินนำเข้าไปข้างในงาน และเลือกที่นั่งตรงคนไม่พลุกพล่านโดยมีกองของขวัญตั้งบังสายตาผู้คนไว้อีกชั้นหนึ่ง
“ขอไวน์องุ่นขาวสองแก้ว”
เหมาชิวถังสั่ง บริกรที่อยู่บริเวณนั้นจึงรีบมารับออร์เดอร์และนำไวน์องุ่นขาวสองแก้วมาให้ด้วยความรวดเร็ว
เมื่อจิบไวน์ไปได้สักพัก เหมาชิวถังก็ถูกเชิญตัวให้ขึ้นไปจับฉลากของรางวัลอีกสิบรางวัลพร้อมกับมอบของขวัญให้กับพนักงานผู้โชคดีอยู่บนเวที
จางหนิงเอ๋อรีบเทไวน์จากแก้วของเหมาชิวถังทิ้ง และใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อแก้วไวน์ใส่ไว้ในกระเป๋าใบใหญ่ที่เธอเตรียมมาด้วยอย่างเบามือพร้อมกับทิ้งกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ไว้ให้เหมาชิวถังดูต่างหน้าว่า ขอโทษด้วยที่เธอเสียมารยาทขอกลับก่อน เนื่องจากมีธุระด่วน และรีบเดินออกมานำกระเป๋าไปฝากไว้ที่หน้าเคาน์เตอร์ทันที พร้อมกับได้ขึ้นรถแท็กซี่ที่หน้าบริษัทกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดต่อ
เวลา 22.40 น.
กริ๊งงงงง กริ๊งงงงง!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล ว่าไงแก” จางหนิงเอ๋อกดรับโทรศัพท์และกรอกเสียงลงมาตามสาย
“ฉันกำลังจะออกจากบ้านนะ แกทำอะไรอยู่ให้ฉับขับรถไปรับแกที่คอนโดไหม?” เสี่ยวซีถาม
“ไม่เป็นไรแก ฉันนั่งรถแท็กซี่ไปเองได้ ฉันกำลังจะออกจากคอนโดไปตอนนี้แหละ แล้วเจอกันนะ” จางหนิงเอ๋อตอบพร้อมกับสะพายกระเป๋าเดินไปขึ้นแท็กซี่ที่หน้าคอนโด
เมื่อเดินทางมาถึงยังภัตตาคารที่นัดกันไว้แล้ว จางหนิงเอ๋อก็พบว่าเสี่ยวซีกำลังก้มหน้าก้มตาดูเมนูอาหารอยู่ พร้อมกับมีเสียงไวโอลินแว่วมาจากโต๊ะไกล ๆ ทางขวามือ เสี่ยวซีเงยหน้าขึ้นมาพบกับจางหนิงเอ๋อเข้าพอดี เธอจึงกวักมือเรียกเพื่อนด้วยความดีใจ
“หนิงเอ๋อ ๆ ทางนี้แก มานั่งตรงนี้” เสี่ยวซีเรียกจางหนิงเอ๋อจึงเดินไปนั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเสี่ยวซีและเอ่ยขึ้นมาว่า
“เสี่ยวซีแกสั่งอาหารได้เต็มที่เลยนะ เดี๋ยววันนี้ฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงแกเอง พอดีฉันได้เงินจากการทำงานพิเศษนิดหน่อยน่ะ” จางหนิงเอ๋อคิดถึงยอดเงินสามหมื่นหยวนในบัญชีที่นายจ้างนิรนามโอนเข้าบัญชีของเธอเมื่อตอนสี่ทุ่มแล้วก็อดรู้สึกใจฟูขึ้นมาไม่ได้
“โอเค งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ”
เสี่ยวซีพูดพลางเรียกบริกรมารับออร์เดอร์
“ขอหูฉลามสองที่ ซุปรังนกสองที่ ปลาแซลมอนและไข่ปลาคาเวียร์อย่างละสองที่ ส่วนน้ำดื่มขอเป็นน้ำส้มคั้นสองแก้วค่ะ” เสี่ยวซีสั่งอาหารเสียงดังฟังชัด พร้อมกับเอ่ยเสียงหวานว่า
“ฉันสั่งเผื่อแกด้วยนะเพื่อนรัก แล้วที่ฉันแนะนำละครดังหลังข่าวภาคค่ำแสนสนุก แกดูรึยัง?” เสี่ยวซีถามพร้อมกับทำหน้าตาลุ้นฟังคำตอบไปด้วย
“เนื้อเรื่องก็งั้น ๆ แหละแก ฉันได้ดูถึงตอนที่นางสนมคนที่ถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น ถูกลอบวางยาพิษในอาหาร แล้วนางกำนัลก็ร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจตายตามไปด้วยอีกคน แค่นั้นเอง”
“สมควรแล้วแก เห็นว่าก่อนหน้านี้นางสนมคนนี้ก็ทำกับนางสนมคนอื่นไว้เยอะ สงสัยกรรมคงจะตามทันแล้ว ฉันล่ะหมั่นไส้ เป็นแค่ตัวประกอบบทไม่สำคัญดันหน้าตาสวยกว่าคนอื่น หึยยยย หมั่นไส้!!” เสี่ยวซีพูดอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ใจเย็น ๆ ก่อนไหมแกเสี่ยวซี อาหารมาเสิร์ฟโน่นแล้ว”
จางหนิงเอ๋อพูดปนหัวเราะกับอาการอินจัดของเพื่อน
“เอาจริง ๆ ถ้าฮ่องเต้ไม่หล่อฉันไม่ดูจริง ๆ นะแก น่ารำคาญจะตาย พวกสนมจะเยอะไปไหน” เสี่ยวซีพูดพลางซดน้ำซุปหูฉลามไปด้วย
“เรื่องธรรมดาแก ผู้ชายคนเดียวแย่งกันทั้งวังหลัง ต่างฝ่ายต่างก็ต้องงัดกลยุทธ์ต่าง ๆ นานาออกมาฟาดฟันกันเพื่อการแย่งชิงเป็นธรรมดา บางคนบ้างก็หวังในอำนาจลาภยศสรรเสริญ บางคนหวังในตำแหน่งอันจอมปลอม ส่วนบางคนก็หวังในความรักอันฉาบฉวยจากองค์ฮ่องเต้ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครที่จะมีความสุขที่แท้จริงสักคนหรอก ขนาดแกยังอยากจะแย่งชิงฮ่องเต้กับเหล่าพระสนมเลยนี่นา ไม่งั้นจะมีคำกล่าวที่ว่า หญิงแค้นมากล้นวังใน ได้ยังไงกันล่ะจริงไหม?” จางหนิงเอ๋อแสดงความคิดเห็นอีกแง่มุมหนึ่ง
สองสาวกินไปคุยกันไปด้วยความสนุกสนาน จนกระทั่ง…..
“แค่ก ๆ ๆ” อยู่ดี ๆ จางหนิงเอ๋อก็พลันรู้สึกจุกแน่นคอหอย หายใจไม่ออก หลังจากกินไข่ปลาคาเวียร์ไปได้เพียงไม่กี่คำ
“หนิงเอ๋อ ๆ!! แกเป็นอะไรไป?” เสี่ยวซีถามเพื่อนด้วยความตกอกตกใจ พร้อมกับก้มลงไปประคองจางหนิงเอ๋อที่ลงไปนั่งกุมหน้าอกข้างซ้ายและทำหน้าพะอืดพะอมอยู่ที่พื้น
“ฉันแน่นหน้าอก จุกแน่นคอหอย หายใจไม่ออกเลยแก สงสัยอาหารจะเป็นพิษ” จางหนิงเอ๋อพูดพลางหายใจหอบพยายามเอาอากาศเข้าปอดอย่างสุดความสามารถ
“เรียกรถพยาบาลที!! ใครก็ได้ ช่วยด้วย!! ช่วยเพื่อนฉันที!!” เสี่ยวซีร้องหาคนช่วยไม่หยุด
ก่อนที่สติของจางหนิงเอ๋อจะดับวูบลง พลันได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบาจากที่ไกล ๆ ดังขึ้นมาว่า “พระสนมเพคะ พระสนม ทรงฟื้นขึ้นมาสิเพคะ พระสนม”